ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อ Deepstate “รัฐราชการ” เอาแต่ปกป้องพวกพ้อง-ผลประโยชน์ของบ่อน  (อ่าน 322 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9785
    • ดูรายละเอียด
**เมื่อ Deepstate “รัฐราชการ” เอาแต่ปกป้องพวกพ้อง-ผลประโยชน์ของบ่อน แล้วลุงที่วอนให้คนไทย “ล็อกดาวน์ตัวเอง” มันใช่หรือ ?

เปิดทำงานวันแรกของปีฉลูด้วยสถิติผู้ป่วยโควิดสูงสุดใหม่ 745 ราย นับเป็นภาวะที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจ-จิตตก ตึงเครียด อย่างหนักกันไปทั่วประเทศ

แน่นอนว่า ตัวเลขที่พุ่งพรวดมาจากการผลตรวจเชิงรุกแรงงานที่สมุทรสาคร และ จาก “ซูเปอร์สเปรดเดอร์” เชื่อมโยงบ่อนพนัน โดยเฉพาะตัวการหลังมีแนวโน้มจะพบผู้ป่วยสูงขึ้นไปอีก จากบ่อนที่ “จันทบุรี-ตราด” ที่ตามหลังบ่อนระยองมาติดๆ
เรียกว่า สถานการณ์ด้านบูรพาของประเทศน่าเป็นห่วงที่สุดในเวลานี้
ขณะที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ก็ไม่ได้ดีกว่าเทาไหร่นัก ว่าด้วย “ซูเปอร์สเปรดเดอร์” จากบ่อนก็เป็นเช่นกัน ดังที่ “ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ” หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก รพ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โพสต์เฟซบุ๊ก เรียกว่าเป็น “Walking spreader” รอบนี้คนไข้ไม่เหมือนเดิม มีทั้งปกปิดและไม่ให้ความร่วมมือ
ไทม์ไลน์ไปไหนอย่างไรก็ไม่ยอมบอก แต่เมื่อเค้นไปเค้นมาถึงได้ยอมว่าไปเล่นพนันที่บ่อนมา
งานนี้ ที่โควิดอาละวาดหนัก นั่นเพราะมีผีพนันเดินเพ่นพ่านไปทั่วนั่นเอง !

แล้วก็ถามต่อกันว่า ผู้ติดเชื้อไปบ่อนที่ไหน ถ้าไม่ใช่ในกรุงเทพฯ? รับรู้กันดีว่า กทม.เมืองหลวงเรานี้อุดมไปด้วยแหล่งอบายมุข โดยที่ยากจะปฏิเสธ แต่แทนที่ราชการจะขวนขวาย หาทางกำจัดบ่อน สืบเบาะแสและปราบปราม กลับมีผู้หลักผู้ใหญ่ที่ดูแลฝ่ายความมั่นคงของรัฐบาลลุงตู่ที่คุณก็รู้ว่าเป็นใคร? กล้าพอที่ปฏิเสธว่า “ไม่มี๊..ไม่มี กรุงเทพฯ ยังไงก็ไม่มีบ่อน เพราะมันผิดกฎหมาย” แถมยังเหน็บ คุณหมอโอภาส ออกสื่อด้วยว่า หากหมอรู้ว่าที่ไหนมีบ่อนให้มาบอก ...กลายเป็นนาทีนี้ หน้าที่ในการหาเบาะแสบ่อนเป็นหน้าที่ของหมอไปซะงั้น !
ต้องบอกว่า วันนี้สังคมตระหนักรู้ถึงพิษสงของการคงอยู่ของ “บ่อน” ที่เป็นตัวการแพร่ระบาดรอบใหม่ อยากจะเห็นรัฐบาลโดยเฉพาะ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ สั่งการจัดการเรื่องนี้อย่างเด็ดขาดและเร่งด่วน แต่จากการติดตามของสื่อ และสังคมบนโลกโซเชียลฯ กลับยังไม่เห็นอะไรที่คืบหน้าไปมากกว่าการเด้งตำรวจออกจากพื้นที่ ที่เป็น “ธรรมเนียมปฏิบัติ” คล้ายๆ กับเรืองนี้เกิดขึ้นในสถานการณ์ปกติ ทั้งๆ ที่เวลานี้เป็นภาวะฉุกเฉิน หน้าสิ่วหน้าขวาน ประชาชนไม่ปลอดภัย และจะมีอีกกี่คนที่ติดเชื้อที่แพร่มาจากบ่อน
บ่อนระยองที่ว่ากันว่า รู้ว่าเป็นของ “หลงจู๊สมชาย” ผ่านมาหลายวันจนถึงวันนี้ก็ยังทำอะไรไม่ได้ บ่อนที่จันทบุรี หรือที่ตราด ผบ.ตร. “พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข” ก็ยังมะงุมมะหงาหรา ขอเวลาตรวจสอบต่ออีกหลายวัน
นี่ไม่ต้องพูดถึงบ่อนในกรุงเทพฯ ที่แน่นอนว่า มีมากมายหลายแห่งที่ถูกขี้เป้าโดยหมอ หรือโซเชียลฯ ก็ถูก “ตัดตอน” ไม่ยอมรับด้วยคำพูดของผู้มีอำนาจออกรับแทนแล้วว่าไม่มี ประหนี่งว่า มีนอกมีในอะไรกัน
สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้สังคมเชื่อกันว่า ผลประโยชน์ของบ่อนกับเจ้าหน้าที่รัฐนั้น มีเอี่ยวเกี่ยวพันกันมานาน ล้วนพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะสีเขียว หรือ สีกากี อยู่ในวงจรอุบาทว์ที่ฝังรากลึกมานาน
หากเจ้าหน้าที่รัฐไม่รู้เห็นเป็นใจ หรี่ตาให้ข้างหนึ่ง บ่อนพนันย่อมไม่มีทางเปิดได้ ส่วยที่ส่งก็ส่งกันเป็นทอดๆ จากล่างขึ้นไประดับบน พื้นที่ที่มีบ่อนทำเงินสูงโดยเฉพาะนอกจาก กทม. ว่ากันว่า ระยอง ชลบุรี ว่ากันว่าเดิมพันกันสูง ถึงฤดูโยกย้ายก็วิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งกันมือหนัก ในวงราชการรู้ๆ กัน เพียงเพื่อให้ได้อยู่ในศูนย์กลางของผลประโยชน์บ่อน และแหล่งอบายมุข จะจ่ายหลักหลายสิบล้าน หรือร้อยล้านก็คุ้ม !

ยิ่งยุค “ไทยแลนด์ 4.0” บ่อนเองก็พัฒนาไปไกล บ่อนถูกดีไซน์ในเชิงธุรกิจให้อยู่ร่วมกับชุมชน ทั้งแบบอาศัยสถานที่ที่ตำรวจอ้างว่า “สถานที่ลักลอบเล่นการพนัน” ทั้งแบบแฟรนไซส์ และเครือข่าย กระทั่งบ่อนออนไลน์ มีให้เลือกได้ตามชอบ
เชื่อหรือไม่ว่า จากข่าวย้อนหลังไปไล่ดูได้ทุกพื้นที่ที่มีบ่อนถูกทลาย และขัดแย้งผลประโยชน์มักเชื่อมโยงไปถึงเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงอยู่เบื้องหลัง บ่งบอกว่าเครือข่ายผลประโยชน์จากบ่อนนั้นฝังแน่นอยู่ในอำนาจรัฐ เป็นอำนาจแฝง “Deepstate” ที่มีอำนาจเหนือรัฐบาล มีอิทธิพลต่อแวดวงราชการอย่างลับๆ
เชื่อว่า ลุงๆ ที่เคยรับราชการมาย่อมรู้ไส้ รู้ปัญหาดี แต่จากท่าทีที่ลุงๆ ผู้มีอำนาจในรัฐบาลชุดนี้ปล่อยปัญหาให้คงอยู่ต่อไป คนก็ยิ่งคิดว่า ลุงๆ ทั้งหลาย ก็ถือข้าง Deepstate เหล่านี้ให้โอหังลำพองเบ่งบารมีต่อไป เป็น “รัฐราชการ” ที่เมื่อเจ้าหน้าที่รัฐทำผิดพลาด ก็แค่ออกคำสั่งย้าย ลงดาบฟันปลาซิวปลาสร้อยให้ตายแทนบรรดาตัวใหญ่ตัวการ เรียกว่า เอาแต่ปกป้องพวกพ้องกันเองแทนที่ปกป้องประชาชน
โควิดระบาดหนักรอบนี้ ไม่น่าแปลกใจที่ประชาชนคับแค้นใจกว่าที่ผ่านมา
พลันที่ “ลุงตู่” พูดคำเว้าวอนอ้อนเรตติ้งว่า “ไม่อยากล็อกดาวน์ประเทศ แต่ขอให้คนไทยช่วยกันล็อกดาวน์ตัวเอง” จึงไม่น่าแปลกใจที่ โซเชียลฯ จะก่นด่าไล่หลังว่า ฟังดูระคายหูสะเทือนใจประชาชนมากกว่าจะปลุกขวัญกำลังใจสู้ภัยกันในยามนี้
เนื่องเพราะมันตอกย้ำว่า ผู้นำรัฐราชการ ตัวจริงเสียงจริงอย่าง “ลุงตู่” กำลังปกป้องใครอยู่...และ ...ประชาชน ร้านค้า ธุรกิจทำผิดอะไร จะให้ล็อกดาวน์ตัวเอง มันใช่หรือ ?

** “หมอทวีศิลป์” หนังหน้าไฟในสถานการณ์โควิดระบาดรอบใหม่ ถูกฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลบิดเบือนคำพูด ลากเข้าประเด็นการเมืองจนได้ !!

โควิด-19 ระบาดรอบที่แล้ว คนไทยต่างชื่นชมในการทำหน้าที่โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ของ “หมอทวีศิลป์” นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน เป็นอย่างมาก ที่นอกจากจะแถลงสถานการณ์การระบาดของโรคอย่างผู้รู้ พร้อมมาตรการป้องกันต่างๆ อย่างกินร้อน ช้อนกลาง รักษาระยะห่าง หมั่นล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย แล้วยังมีคำพูดที่เต็มไปด้วยการให้กำลังใจ บอกกับประชาชนว่า “การ์ดอย่าตก” จนเป็นคำพูดที่ติดปาก และประชาชนก็ให้ความร่วมมือจนจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงเป็นศูนย์ แล้ว “หมอทวีศิลป์” ก็หายหน้าไปจากจอ

ครั้นโควิด-19 ระบาดรอบใหม่ ที่ จ.สมุทรสาคร “หมอทวีศิลป์” ก็ต้องมาทำหน้าที่โฆษก ศบค. ออกหน้าจออีกครั้งเพื่อรายงานสถานการณ์การแพร่ระบาด พร้อมมาตรการป้องกัน และให้กำลังใจผู้ติดเชื้อ
โดยเฉพาะแรงงานเมียนมา ที่ถูกโซเชียลฯ “บูลลี่” ถูกรังเกียจ ว่าเป็นผู้นำเชื้อมาแพร่ “หมอทวีศิลป์” ก็ยังพูดให้กำลังใจแรงงานเมียนมา พร้อมเตือนสติคนในสังคมว่า... คนเมียนมาที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทยตอนนี้ ขอให้พี่น้องชาวไทยมองเขาว่า เขาเป็นคนมาร่วมชะตากันกับเรา ในฐานะที่เขาเข้ามาใช้แรงงาน เขามาเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเรา... วันนี้เราเป็นญาติกัน เป็นพี่น้องกัน ในเมื่อเขาเจ็บไข้ได้ป่วย เขาเกิดเหตุนี้ขึ้นมา ขอความเข้าใจพี่น้องประชาชนของเรา ได้ดูแลซึ่งกันและกัน ยามเจ็บป่วยไข้เราดูแลเขา เราจะได้ใจ และได้คนมาทำงานในส่วนที่เราหายไป เขากับเราจะอยู่เป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน ฝากความรู้สึกดีๆ นี้เผื่อแผ่ไปถึงทุกคน...ทำเอาแรงงานเมียนมาซาบซึ้ง ฟังไปเช็ดน้ำตากันไป ป้อย ป้อย
ต่อมาเกิดโควิดระบาดจาก “บ่อนระยอง” คราวนี้ลุกลามออกไปในลักษณะ “ซูเปอร์สเปรดเดอร์” จนต้องประกาศพื้นที่สีแดงเกือบ 30 จังหวัด และมีมาตรการควบคุมที่เข้มข้นขึ้น ประชาชนก็ตื่นตระหนก วิตกกังวล ว่าจะมีการ “ล็อกดาวน์” เหมือนครั้งที่แล้วหรือไม่ เพราะถ้ามีการล็อกดาวน์ เรื่องที่ตามมาก็คือมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบ
“หมอทวีศิลป์” ซึ่งปกติจะแถลงถึงเรื่องที่เกี่ยวกับ “โรค” การแพร่ระบาด และมาตรการป้องกัน ก็ต้องมาตอบคำถามที่ไม่เกี่ยวกับโรคไปด้วย

... อย่างเมื่อสองวันก่อน หลังแถลงเรื่องโรคเสร็จก็มีคำถามตามมาว่า ... เหตุผลที่ไม่ใช้คำว่าล็อกดาวน์ คืออะไร และมีมาตรการเยียวยา ชดเชยเรื่องของการปิดกิจการต่างๆ มีแนวทางวางไว้แล้วหรือยัง ?



ความจริงแล้วคำถามดังกล่าว คนที่ตอบควรจะเป็นผู้ที่รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล หรือนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานศูนย์บริหารสถานการเศรษฐกิจ จากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 (ศบศ.) เพราะเกี่ยวพันไปถึงเรื่องงบประมาณซึ่งอยู่นอกเหนือการตัดสินใจของหมอทวีศิลป์ ... แต่ “หมอทวีศิลป์” เมื่อยืนบนโพเดียมในฐานะโฆษก ศบค. ก็ต้องตอบเรื่องนี้ โดยตอบไปว่า ...
...ก็มีคำตอบอยู่ในคำถาม เมื่อไรก็ตามที่ทาง ศบค. ต้องประกาศว่าเป็นการล็อกดาวน์ นั่นหมายถึงว่า คำสั่งนี้จะทำให้กระทบต่อปัญหาทางเศรษฐกิจ กระทบต่อการหารายได้ของทุกท่าน ก็ต้องมีการเยียวยา ซึ่งนี่เป็นภาระของภาษีเงินของทั้งประเทศ ซึ่งตอนนี้ก็อย่างที่บอก เราก็เผชิญอยู่ในภาวะตกต่ำของเศรษฐกิจทั้งโลก แล้วก็ของไทยกันเองก็ต้องเจอตรงนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้นการที่จะใช้มาตรการต่างๆ เหล่านี้มีค่าใช้จ่ายต้องเสีย ต้องเป็นภาพที่ทำให้ทุกคนลำบากกันไปทั้งหมด เพราะฉะนั้นถ้า ณ ตอนนี้เราสามารถที่จะกระจายความรับผิดชอบร่วมมือกันไปได้ ทุกคนล้วนแล้วแต่อยากจะทำมาหากิน แล้วก็อยู่ในชีวิตวิถีที่เป็นประจำวัน ที่เคยทำกันมา แต่ต้องเป็นรูปแบบของชีวิตวิถีใหม่ อันนี้ก็ต้องทำ ต้องปฏิบัติ...
จากคำตอบนี้ ก็ถูกสื่อที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล จับไปโยงเป็นประเด็นการเมืองทันที ...พาดหัวตัวโตว่า “ลั่นไม่อยากเยียวยา” พร้อมตัวโปรยว่า “ประยุทธ์โดนด่ายับ โควิดพุ่งจ่อพัน ทวีศิลป์ชี้ประชาชนคือภาระ ทำประเทศพังแต่ไม่อยากเยียวยา”
ทำเอา “หมอทวีศิลป์” ต้องออกมาโพสต์ถึงเรื่องนี้ว่า...“ขอความเป็นธรรม...ไม่สร้างความเกลียดชัง เนื่องจากมิได้ใช้คำพูดตามที่สื่อนี้ออกมาพาดหัวข่าวเลย...ขอบคุณทุกท่านที่เข้าใจ และช่วยกันในยามยากเช่นนี้ครับ # ผมกรองทุกคำที่จะกล่าวออกมาด้วยเจตนาเพื่อส่วนรวมเสมอ มิได้คิดร้ายใดๆ ต่อใคร ขอทุกคนร่วมมือกันนะครับ”
ความจริงแล้ว ในสถานการณ์โควิด มี “ศูนย์เฉพาะกิจ” ที่ดูแลเรื่องนี้คือ “ศบค. และ ศบศ.” โดย ศบค.จะประชุม ตัดสินใจ กำหนดมาตรการเรื่องโรค ส่วน ศบศ. ตัดสินใจในประเด็นเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งทั้งสองศูนย์มีนายรัฐมนตรีเป็นประธานทั้งคู่ ...แต่ที่ช่วงที่โควิดระบาดรอบใหม่นี้ ยังไม่มีข่าวการประชุม ศบศ.เลย
ดังนั้น นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ศบศ. ควรเรียกประชุมและกำหนดมาตรการด้านเศรษฐกิจออกมา เพื่อคลายความวิตกกังวลของประชาชนโดยด่วน อย่าปล่อยให้หมอทวีศิลป์ต้องเป็น “หนังหน้าไฟ” ถูกจับคำพูดไปโยงเป็นประเด็นการเมืองสร้างความเกลียดชัง อย่างนี้ !!

5 ม.ค. 2564  ผู้จัดการออนไลน์