ผู้เขียน หัวข้อ: เกือบสะใจคนถาม “มีทหารไว้ทำไม”! อังกฤษจะไม่ให้ไทยมีกองทัพหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒  (อ่าน 328 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9785
    • ดูรายละเอียด
ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ให้ญี่ปุ่น ไม่ให้มีกระทรวงกลาโหมและกองทัพ มีแต่กองกำลังป้องกันตนเองซึ่งเป็นพลเรือน ห้ามปฏิบัติการนอกประเทศ นอกจากเขาจะเรียกใช้ให้ไปช่วยที่ไหน แม้ญี่ปุ่นพอแข็งแรงขึ้นขยายกองกำลังป้องกันตนเองใหญ่ขึ้นได้ แต่ก็ไม่เข้มแข็งเหมือนกองทัพลูกพระอาทิตย์ จึงต้องตามก้นอเมริกาต่อไป

ที่น่าขมขื่นอีกอย่างก็คือ สินค้าญี่ปุ่นที่ผลิตออกมาขายตอนนั้น ไม่ได้ติดว่า “Made in Japan” เหมือนวันนี้ แต่ต้องติดว่า “Made in Occupied Japan” ประจานไปทั่วว่าเป็นญี่ปุ่นที่ถูกยึดครอง ตอนนั้นรถยนต์ที่วิ่งอยู่ในเมืองไทย ขอบยางที่ทำมาจากญี่ปุ่นก็มีคำว่า “Made in Occupied Japan” ติดไว้หรา เห็นอยู่ทั่วไป

ไทยซึ่งเซ็นสัญญาร่วมรบกับญี่ปุ่นก็เกือบไม่รอดเรื่องนี้ ความจริงไทยเราก็เหมือนกับฝรั่งเศส ที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายฟิลิป แปแตง ทำสัญญาร่วมรบกับญี่ปุ่น แต่นายพลชาร์ล เดอโกล หลบไปตั้งขบวนการฝรั่งเศสเสรีร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตร เหมือนขบวนการเสรีไทยของเรา ฝรั่งเศสจึงรอดพ้นเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม นายพลเดอ โกลได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี แต่อังกฤษนักล่าอาณานิคมที่จะยึดไทยเป็นเมืองขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ ไม่สำเร็จ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ฝ่ายสัมพันธมิตรกำหนดให้เป็นผู้เข้ามา
ปลดอาวุธทหารญี่ปุ่นในไทย ก็ยังหลงยุคถือโอกาสจะข่มขืนเอาให้ได้อีก โดยยื่นข้อเสนอ ๒๑ ข้อต่อผู้แทนรัฐบาลไทยในการเจรจากันตั้งแต่ครั้งแรกที่เมืองแคนดี ประเทศศรีลังกา เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๔๘๘ ข้อ ๑ ก็เริ่มเลย

“ให้ยุบองค์การทหาร องค์การกึ่งทหาร องค์การการเมือง ซึ่งกระทำการโฆษณาเป็นปฏิปักษ์ต่อสหประชาชาติ”

ไม่ให้มีทหารไว้ป้องกันประเทศ จะได้ข่มขู่ข่มเหงได้ง่ายๆ ทุกวันนี้นโยบายนี้นักล่าอาณานิคมยุคใหม่ก็ยังใช้ ปั่นหัวสมุนให้มาทำลายความเข้มแข็งของกองทัพและสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักของชาติให้อ่อนแอลง

ทั้งข้อต่อมายังจะเข้าควบคุมหนังสือพิมพ์ ตรวจข่าววิทยุ ควบคุมการคมนาคม สื่อสารทุกอย่างในประเทศ รวมทั้งควบคุมการปกครอง โดยต้องปฏิบัติตามความประสงค์ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสัมพันธมิตร ต้องเกณฑ์แรงงานให้เมื่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารสัมพันธมิตรแสดงความประสงค์มา เรือสินค้าไทยไม่ว่าอยู่ในน่านน้ำสากลหรือน่านน้ำไทยต้องอยู่ในความควบคุมของฝ่ายสัมพันธมิตร ห้ามนำข้าว ดีบุก ยาง ไม้สักออกนอกประเทศ และสัมพันธมิตรจะเข้าควบคุมกิจการต่างๆตามที่สัมพันธมิตรต้องการ ฯลฯ
ถ้าเซ็นไปก็เท่ากับการยอมรับเป็นเมืองขึ้น ผู้แทนไทยจึงไม่ยอมเซ็น

สุดท้าย อเมริกา “มหามิตร” ก็เข้ามาแทรกแซง ทำให้ไทยไม่ต้องเซ็นสัญญานี้ แต่อังกฤษก็ยังเอาอีกจนได้ ให้ไทยต้องส่งข้าวให้จำนวน ๑.๕ ล้านตันโดยไม่คิดราคา ทั้งต้องจ่ายค่าบำรุงรักษาเชลยศึกและค่าพินาศของทรัพย์สิน

ไทยเราก็เลยต้องยอมเสียข้าว ดีกว่าเสียอธิปไตย ทำให้ตอนนั้นคนไทยต้องมีบัตรปันส่วนแบ่งข้าวสารกันกิน

การรอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของไทยในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ นี้ ต้องถือว่าอเมริกาเข้ามาคานอำนาจ ทั้งนี้ก็เพื่อต้องการจะสร้างความนิยมเข้ามาเป็นผู้มีอิทธิพลในย่านนี้

แต่ที่ว่ารอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมในสมัยรัชกาลที่ ๕ เพราะเราใช้อังกฤษกับฝรั่งเศสคานอำนาจกันนั้นไม่ใช่ ทั้ง ๒ มหาอำนาจจับมือกันแบ่งประเทศไทยกันเรียบร้อย แล้วเล่นละครตบตา แต่สมเด็จพระปิยะมหาราชทรงอ่านเสือสองตัวนี้ทะลุ จึงเสด็จไปประพาสยุโรปเพื่อเปิดโฉมหน้าประเทศสยามให้นานาประเทศรู้จัก ที่สำคัญคือเสด็จไปทรงฉายพระรูปคู่กับซาร์นิโคลัส ที่ ๒ แห่งรัสเซีย ซึ่งเคยมาเป็นราชอาคันตุกะเมื่อครั้งยังเป็นสมเด็จพระยุพราช ภาพที่ ๒ กษัตริย์ฉายพระรูปคู่กันที่แพร่อยู่บนหน้า ๑ หนังสือพิมพ์ทั่วยุโรปนั้น ทำให้สุนัขจิ้งจอกขยาดไปตามกัน

นี่ก็เป็นพระอัจฉริยภาพของพระมหากษัตริย์ไทย ที่ทรงนำชาติรอดพ้นวิกฤติครั้งสำคัญมาได้ ทำให้ประเทศร่มเย็นผาสุกมาจนถึงวันนี้

14 เม.ย. 2564 13:52   โดย: โรม บุนนาค
https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000035565