ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 22-28 มิ.ย.2557  (อ่าน 766 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9789
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 22-28 มิ.ย.2557
« เมื่อ: 21 กรกฎาคม 2014, 01:40:41 »
1. “บิ๊กตู่” เผย ร่าง รธน.ชั่วคราวเสร็จแล้ว เตรียมเคาะก่อนทูลเกล้าฯ พร้อมปัด แชต-ไลน์ “สุเทพ” ล้มรัฐบาล!

       เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้กล่าวในรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ถึงการทำงานของ คสช.ว่า จะใช้เวลาประมาณ 300 วัน ในการปฏิรูปทุกด้าน โดยให้ประชาชนทุกภาคส่วนได้มีส่วนร่วม
       
        พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวถึงโรดแมปของ คสช.ด้วยว่า ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.เป็นต้นมา คสช.ได้แก้ปัญหาต่างๆ ควบคู่กับการร่างรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว) เพื่อใช้ในการบริหารประเทศตามหลักนิติรัฐ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้มีสภาปฏิรูปแห่งชาติมาทำหน้าที่ปฏิรูปประเทศทุกด้าน และนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับถาวร โดยยึดข้อเสนอแนะของสภาปฏิรูปแห่งชาติเป็นหลัก พล.อ.ประยุทธ์ เผยด้วยว่า “การยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวได้จัดทำเสร็จสิ้นแล้ว และผ่านการพิจารณาตรวจแก้โดยผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมายอยู่ในขณะนี้ และสัปดาห์หน้าจะเป็นการพิจารณาของ คสช.ว่า จะต้องแก้ไขอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ หากมีการแก้ไขข้อขัดข้องต่างๆ ในการบริหารประเทศ ซึ่งต้องใช้อำนาจพิเศษ ก็จะนำร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรภิไธย ให้มีผลบังคับใช้ภายในเดือน ก.ค.นี้”
       
        ส่วนระยะที่ 2 พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า เมื่อประกาศใช้รัฐธรรมนูญในเดือน ก.ค.แล้ว จะใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติและคณะรัฐมนตรี(ครม.) ซึ่งจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ในเดือน ก.ย.2557 สำหรับสภาปฏิรูปแห่งชาติ ต้องใช้กระบวนการสรรหาเพื่อให้ได้ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้มีประสบการณ์จากทุกภาคส่วนทุกจังหวัดมาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปฯ ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 2 เดือน หลังจากประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว โดยคาดว่าสภาปฏิรูปฯ จะเริ่มปฏิบัติหน้าที่ได้ในช่วงต้นเดือน ต.ค.2557 “รัฐธรรมนูญชั่วคราวกำหนดให้มีการปฏิรูปในทุกๆ ด้าน โดยสภาปฏิรูปฯ จะจัดทำข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะต้องจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรให้แล้วเสร็จ โดยใช้เวลาในการปฏิรูประยะที่ 2 ประมาณ 10 เดือน ต้องใช้เวลาในการจัดตั้ง 2 เดือน หลังจากวันที่สภาปฏิรูปฯ ปฏิบัติหน้าที่ ทั้งหมดคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 12 เดือน นับจากวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว คือเดือน ก.ค.2558”
       
        หลังจากนั้น ระยะที่ 3 เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับถาวรมีผลบังคับใช้ จะต้องใช้เวลาอีกประมาณ 3 เดือน ในการจัดการเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาให้เป็นไปโดยบริสุทธิ์ยุติธรรม เพื่อเป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งของระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เป็นระบบการเมืองที่สร้างสรรค์ ไม่ใช่การเมืองที่มีแต่ความขัดแย้งเช่นที่ผ่านมา “ขอให้ใจเย็นๆ เพราะต้องใช้เวลาในการปฏิรูป ทุกอย่างน่าจะเสร็จสิ้นภายในปี 2558 ท่านจะได้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยสมบูรณ์”
       
        ทั้งนี้ สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีปฏิกิริยาในทางลบจากต่างชาติต่อ คสช. โดยเมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศสหภาพยุโรป(อียู) ที่ประเทศลักเซมเบิร์ก ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ผู้นำทหารคืนการปกครองตามหลักประชาธิปไตยด้วยการเลือกตั้ง พร้อมเรียกร้องให้ทหารปล่อยตัวผู้ที่ถูกควบคุมทางการเมืองทั้งหมด รวมทั้งหลีกเลี่ยงการจับกุมที่มีเหตุผลทางการเมืองและยกเลิกการควบคุมสื่อ
       
        แถลงการณ์ของสหภาพยุโรป ยังระบุด้วยว่า เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ สหภาพยุโรปจึงจำเป็นต้องทบทวนความสัมพันธ์กับไทย โดยจะระงับการเยือนอย่างเป็นทางการระหว่างกัน และจะไม่ลงนามความตกลงว่าด้วยความเป็นหุ้นส่วนและความร่วมมือกับประเทศไทย จนกว่าจะมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง รวมทั้งจะเริ่มทบทวนความร่วมมือทางทหารกับประเทศไทยด้วย
       
        ด้านกระทรวงการต่างประเทศของไทย รีบเชิญนายเฆซูส มิเกล ซานส์ เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป(อียู) ประจำประเทศไทยเข้าหารือในวันต่อมา(24 มิ.ย.) โดยแสดงความผิดหวังที่อียูด่วนสรุป พร้อมจี้ให้อียูทบทวนการดำเนินการดังกล่าว ขณะที่ คสช.ได้เรียกร้องให้อียูทบทวนมาตรการต่างๆ ที่ได้ประกาศออกมาเช่นกัน
       
        ส่วนท่าทีของสหรัฐฯ นายสก็อต มาร์เชียล รองผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออก ได้ส่งสัญญาณว่า สหรัฐฯ กำลังพิจารณาว่าจะทบทวนการซ้อมรบร่วมทางทหาร “คอบร้าโกลด์” ซึ่งจัดขึ้นทุกปีในประเทศไทยช่วงเดือน ก.พ.หรือไม่ หลังมีแนวโน้มว่า การรัฐประหารในไทยครั้งนี้ส่อยืดเยื้อนานกว่าการรัฐประหารเมื่อปี 2549
       
        ด้าน พ.อ.วีรชน สุคนธปฏิภาค ทีมโฆษก คสช.ได้เชิญผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย เข้ารับฟังเหตุผลและความจำเป็นที่ คสช.ต้องเข้าควบคุมสถานการณ์ รวมทั้งแนวทางการบริหารประเทศของ คสช.เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ซึ่งเป็นการชี้แจงรอบที่สองแล้ว โดยมีผู้ช่วยทูตทหารเข้ารับฟัง 15 ประเทศ จาก 22 ประเทศ
       
        ทั้งนี้ วันเดียวกัน(25 มิ.ย.) คสช.ได้เผยแพร่วิดีโอ “สรุปผลงานในรอบ 1 เดือน” ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ สรุปว่า ในรอบ 1 เดือนตั้งแต่ คสช.ได้เข้าควบคุมอำนาจเมื่อวันที่ 22 พ.ค. นอกจากภารกิจในการรักษาความสงบเรียบร้อยแล้ว ยังมีภารกิจหลักในการปฏิรูปด้วย เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์และยั่งยืน โดย คสช.ได้แบ่งการขับเคลื่อนประเทศหรือโรดแมปเป็น 3 ระยะ คือ 1.สร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เร็วที่สุด 2.ใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวและจัดตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และ 3.จัดการเลือกตั้ง คสช.ยังชี้ด้วยว่า แนวทางของ คสช.ได้รับการตอบรับอย่างดีจากประชาชน แต่เนื่องจากปัญหาสะสมมานาน จึงต้องใช้เวลาในการแก้ไข และอยากให้ทุกภาคส่วนร่วมมือกันแก้ปัญหาด้วย
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา มีประเด็นใหญ่ที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง คือกรณีที่หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ฉบับวันจันทร์ที่ 23 มิ.ย. ได้เล่นข่าวใหญ่ โดยระบุว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ได้กล่าวในงานเลี้ยง “ดินเนอร์กับกำนันสุเทพ” เพื่อหารายได้ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากการชุมนุม ซึ่งจัดขึ้นที่แปซิฟิก คลับ โดยระบุว่า นายสุเทพเป็นผู้แนะนำ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. มาตั้งแต่ปี 2553 ว่าทำอย่างไรจึงจะถอนรากถอนโคนระบอบทักษิณ ,ต่อต้านคอร์รัปชั่น และสลายสีเสื้อทางการเมือง ซึ่งแบ่งแยกประเทศไทย
       
        บางกอกโพสต์ ยังรายงานด้วยว่า นายสุเทพเผยเบื้องหลังการยึดอำนาจของกองทัพว่า ตนได้ติดต่อกับ พล.อ.ประยุทธ์อย่างสม่ำเสมอผ่านทางไลน์และแอพพลิเคชั่นแชตอื่นๆ “ก่อนการประกาศกฎอัยการศึก พล.อ.ประยุทธ์ บอกกับผมว่า ‘คุณสุเทพกับมวลมหาประชาชนผู้สนับสนุน เหนื่อยเกินไปแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่กองทัพจะรับหน้าที่ทำภารกิจต่อไป’ เราใช้เงินเกือบ 1,400 ล้านบาท ไปกับการเคลื่อนไหวของเราในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เงินจำนวนนี้ 400 ล้าน มาจากครอบครัวและเพื่อนๆ ของแกนนำผู้ประท้วง อีก 1,000 ล้านบาท มาจากเงินบริจาคจากผู้สนับสนุน”
       
        นายสุเทพ กล่าวในงานดินเนอร์ฯ อีกว่า ขณะนี้ กปปส.ได้จัดตั้งมูลนิธิขึ้นมา เพื่อช่วยเหลือผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต รวมทั้งผลักดันให้เกิดการปฏิรูปขึ้นในประเทศ และเตรียมจัดงานดินเนอร์ทุกๆ วันเสาร์ โดยจะใช้แปซิฟิก คลับ เป็นสำนักงานของมูลนิธิดังกล่าว พร้อมประกาศว่า จะไม่หวนกลับไปเล่นการเมืองอีก
       
        ทั้งนี้ หลังบางกอกโพสต์ตีพิมพ์ข่าวนายสุเทพ ปรากฏว่า พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก ในฐานะทีมโฆษก คสช.ได้แถลงปฏิเสธข่าวดังกล่าว โดยยืนยัน ไม่เคยมีการพูดคุยหรือสื่อสารกันเป็นการส่วนตัว ระหว่างนายสุเทพกับ พล.อ.ประยุทธ์ มีเพียงการรับมอบหมายจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ให้ดำเนินการในฐานะหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อหาทางเจรจากัน แต่ก็ไม่เคยสำเร็จ และมีการสื่อสารเพื่อแจ้งเตือนทุกกลุ่มให้หลีกเลี่ยงการกระทำผิดกฎหมายและให้ดำเนินการใดๆ อย่างระมัดระวัง เพื่อให้ประชาชนปลอดภัยเท่านั้น
       
        ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ออกมาปฏิเสธผ่านรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ว่า ไม่เคยแชตหรือไลน์กับนายสุเทพตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด พร้อมย้ำ 6 เดือนที่ผ่านมา มีบทบาทหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ บังคับใช้กฎหมายและปฏิบัติตามคำสั่งของรัฐบาลในขณะนั้น ไม่ได้ร่วมคิดร่วมปฏิบัติกับฝ่ายใดทั้งสิ้น พล.อ.ประยุทธ์ ยังห้ามนายสุเทพจัดงานดินเนอร์ทอล์กแบบที่ผ่านมาอีก “ขอห้ามไว้ตรงนี้ว่า ห้ามการจัดงานลักษณะเช่นนี้อีก เช่น การจัดการพูดคุยทางการเมือง รับประทานอาหารระดมทุน ไม่ว่าจะไปช่วยเหลือใคร สิ่งนี้ยังไม่ถึงเวลา ...ถ้าอยากพูดคุย ต้องไปคุยที่บ้านเงียบๆ สองคน ถ้าออกมาจัดการชุมนุมหรือจัดงานเลี้ยงข้างนอกไม่ได้ เพราะผิดข้อกำหนดของ พ.ร.บ.กฏอัยการศึก ถ้าทำอีก จะถูกเรียกตัวทุกคนที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดี ฐานฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.”
       
       ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. คสช.ได้มีคำสั่งโยกย้ายข้าราชการระดับปลัดกระทรวงครั้งใหญ่หลายตำแหน่ง ตำแหน่งที่น่าสนใจ ได้แก่ ให้ พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก พ้นจากตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม และให้ดำรงตำแหน่งประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม ,ให้นายอรรถพล ใหญ่สว่าง พ้นจากตำแหน่งอัยการสูงสุด และให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ,ให้ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ พ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ,ให้นายธงทอง จันทรางศุ พ้นจากตำแหน่ง ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ,ให้ พ.ต.อ. ทวี สอดส่อง พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้(ศอ.บต.) และให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ,ให้ นายสุวิจักขณ์ นาควัชระ พ้นจากตำแหน่งเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร และให้ดำรงตำแหน่งเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฯลฯ
       
       2. “จารุพงศ์-จักรภพ” แถลงตั้ง “เสรีไทย” ต้าน คสช. ด้าน ตร.จ่อขอตัว “จักรภพ” ผู้ร้ายข้ามแดน หลังศาลออกหมายจับพัวพันอาวุธสงคราม!

       เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้โพสต์ภาพและข้อความผ่านเฟซบุ๊กลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.เพื่อไปเรียกร้องประชาธิปไตยและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอผ่านเฟซบุ๊กและยูทูบ ในนาม “องค์กรเสรีไทย” โดยออกแถลงการณ์ฉบับที่ 1 ประกาศไม่ยอมรับการเข้าควบคุมอำนาจการปกครองของ คสช.
       
        ทั้งนี้ นายจารุพงศ์ ได้ประกาศจัดตั้งองค์กรเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย ซึ่งมีตนเป็นเลขาธิการ และว่า องค์กรนี้จะรองรับแนวคิดและปฏิบัติการทุกชนิดของผู้ที่มุ่งมั่นในเจตนารมณ์ประชาธิปไตยจากทั่วทุกมุมโลก โดยต้องเป็นแนวคิดและปฏิบัติการที่ไม่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน หลักกฎหมาย และไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ
       
        นายจารุพงศ์ ยังเผยวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งองค์กรเสรีไทยฯ ด้วยว่า มี 6 ข้อ คือ ต่อต้านเผด็จการ ,เสริมสร้างประชาธิปไตย ,เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ,ส่งเสริมระบบเศรษฐกิจเสรีและเป็นธรรม ,ปฏิรูปวัฒนธรรมไทยให้สอดรับกับประชาธิปไตย และพัฒนาคุณภาพประชาชนสู่ความเป็นสากล
       
        ขณะที่นายจักรภพ เพ็ญแข อดีตแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และจำเลยหลายคดี ได้อ่านแถลงการณ์ขององค์กรเสรีไทยฯ เป็นภาษาอังกฤษในคลิปวิดีโอดังกล่าว
       
        ด้าน พ.อ.วีรชน สุคนธปฏิภาค ทีมโฆษก คสช.ได้กล่าวกับผู้ช่วยทูตทหารต่างประเทศประจำประเทศไทยเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ถึงการเคลื่อนไหวของนายจารุพงศ์และนายจักรภพ โดยชี้แจงว่า นายจารุพงศ์และนายจักรภพทำผิดกฎหมายไทยและมีหมายจับ ใครดูแลและให้ความช่วยเหลือ หรืออำนวยความสะดวก ย่อมมีความผิด และว่า หัวหน้า คสช.ได้มีนโยบายในการดำเนินการกับบุคคลดังกล่าว โดยขอความร่วมมือจากต่างประเทศ และใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องของกระทรวงการต่างประเทศในการประสานเพื่อขอความร่วมมือ
       
        วันต่อมา(26 มิ.ย.) นายจารุพงศ์ ยังคงเผยแพร่คลิปวิดีโอผ่านยูทูบ โดยใช้ชื่อ “องค์กรเสรีไทย จารุพงศ์ สัมภาษณ์โดย จอม เพชรประดับ 25 มิ.ย.2557” โดยนอกจากยืนยันว่าจะไม่ยอม คสช.แล้ว ยังจะทวงคืนความชอบธรรมให้รัฐบาลด้วย พร้อมประกาศ จะเดินสายฟ้องนานาประเทศ และฟ้องต่อองค์กรสิทธิมนุษยชนของยูเอ็นว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย
       
        ขณะที่สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานโดยอ้างคำให้สัมภาษณ์ของนายจักรภพ เพ็ญแข จากฮ่องกง ระบุว่า เตรียมจัดตั้งองค์กรเสรีไทยฯ ซึ่งจะมีสำนักงานใหญ่ในประเทศตะวันตกภายในเดือน ก.ค.นี้ โดยมีนายจารุพงศ์ เป็นเลขาธิการใหญ่
       
        ด้านตำรวจได้เตรียมประสานต่างประเทศเพื่อขอตัวนายจักรภพในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนแล้ว โดย พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยเมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ว่า ศาลทหารได้อนุมัติหมายจับนายจักรภพ เพ็ญแข กับพวกรวม 4 คน ในข้อหามีอาวุธสงครามไว้ในครอบครอง หลังพบข้อมูลว่า นายจักรภพพัวพันกับอาวุธสงครามที่ตรวจยึดได้ในหลายพื้นที่ และว่า หลังจากนี้จะดำเนินการขอตัวผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศที่มีสนธิสัญญา ซึ่งพบว่านายจักรภพหลบหนีอยู่ที่ฮ่องกง
       
        พล.ต.อ.สมยศ เผยด้วยว่า ก่อนหน้านี้ นายจักรภพมีหมายจับคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แต่ตำรวจยังไม่สามารถขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนได้ เนื่องจากประเทศที่ผู้ต้องหาหลบหนีไม่มีกฎหมายฉบับนี้ แต่สำหรับคดีอาวุธสงครามเป็นคดีสากล ทุกประเทศมีกฎหมายใช้บังคับ ดังนั้นสามารถดำเนินการขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนได้ ส่วนการเอาผิดนายจารุพงศ์ ที่แถลงตั้งองค์กรเสรีไทยฯ นั้น พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ขณะนี้มีการหารือกับทหารพระธรรมนูญอย่างรอบคอบ และสามารถเอาผิดบุคคลกลุ่มนี้ได้หลายข้อหา แต่ตำรวจไม่อยากให้สังคมมองว่าเร่งรีบที่จะเอาผิด ดังนั้นจะดำเนินการอย่างรัดกุมตามอายุความของคดี
       
       3. คสช. อ้างเหตุปิดทีวีดาวเทียมต่อ เพราะมีภาพขัดแย้ง ด้าน “สนธิ” ลั่น จะไม่ยอมเชลียร์ผู้มีอำนาจ แลกกับการเปิด ASTV !

       เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. พ.อ.นที ศุกลรัตน์ รองประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ในฐานะประธานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์(กสท.) เผยผลการประชุมบอร์ด กสท.ในวันเดียวกันว่า ได้มีการพิจารณาผังรายการของผู้ประกอบการที่ได้รับใบอนุญาตทีวีดิจิตอลช่อง LOCA และช่องไทยทีวี(THV) โดยที่ประชุมมีมติให้ทั้ง 2 ช่องดังกล่าวกลับไปปรับผังรายการใหม่ ให้เป็นไปตามสัดส่วนผังรายการที่ กสทช.กำหนด โดยระหว่างที่ปรับผังรายการ ยังสามารถออกอากาศได้ตามปกติ
       
        นอกจากนี้ที่ประชุมยังอนุญาตให้ช่องรายการทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีจำนวน 57 ช่องกลับมาออกอากาศได้อีกครั้งจากช่องดาวเทียมทั้งหมด 143 ช่อง ได้แก่ ช่อง Super บันเทิง ,สถานีโทรทัศน์ ไทยมุสลิม ฯลฯ ส่วนอีก 42 ช่อง ให้คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ เชิญมาทำความเข้าใจและกำหนดแนวทาง เพื่อดำเนินการให้ถูกต้อง ก่อนเสนอที่ประชุม กสท.พิจารณาครั้งต่อไป ขณะที่อีก 19 ช่องส่งเทปรายการและหลักฐานไม่ถูกต้อง ให้ส่งใหม่เพื่อพิจารณาอีกครั้ง ส่วนอีก 21 ช่องยังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณา
       
        สำหรับสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมที่ยังถูกระงับออกอากาศอีกสิบกว่าช่อง เช่น สถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV ,สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมบลูสกาย ,สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเอเชียอัพเดท ฯลฯ ซึ่งถูกปิดตามประกาศ คสช.นั้น แม้จะมีการยื่นขอปรับผังรายการใหม่แล้ว แต่ที่ประชุมยังไม่ได้นำเข้าพิจารณาแต่อย่างใด โดย กสทช.ยืนยันว่า เป็นอำนาจของ คสช. ดังนั้นต้องให้นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช.เข้าเจรจากับ คสช.อีกครั้ง
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า คสช.ได้มีคำสั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 5 ชุดเพื่อติดตามการทำงานของสื่อทุกแขนง โดยให้คณะทำงานมีหน้าที่ชี้แจงประชาชนและสื่อมวลชนให้เข้าใจการทำงานของ คสช.รวมทั้งให้ระงับการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จและกระทบต่อการทำงานของ คสช.
       
        ด้าน พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ คสช.ได้ประชุมทำความเข้าใจกับผู้บริหารสื่อมวลชนกว่า 40 สำนักเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. โดยยืนยันว่า การตั้งคณะกรรมการดังกล่าวขึ้นมา ไม่ได้ต้องการลิดรอนสิทธิเสรีภาพสื่อ แต่เป็นการช่วยกันดูแลความถูกต้องมากกว่า ส่วนสื่อที่ยังถูกปิดอยู่นั้น พล.อ.อุดมเดช บอกว่า ยังมีความจำเป็นต้องปิดอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากยังมีภาพหรือสัญลักษณ์แห่งความขัดแย้งอยู่ จึงต้องขอปิดจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น และว่า หากสื่อแม้เพียงหนึ่งเดียวโจมตีทาง คสช.ก็ไปไม่รอด
       
        ทั้งนี้ แหล่งข่าวในที่ประชุมเผยว่า พล.อ.อุดมเดช ได้กล่าวถึงสื่อทีวีดาวเทียมที่ถูกปิดตามคำสั่ง คสช. โดยขอความกรุณาให้ชะลอการออกอากาศไว้ก่อน เพราะยังมีสัญลักษณ์ของการแบ่งฝ่าย ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้น แต่จะเรียกแต่ละช่องมาพูดคุยอีกครั้งใน 2 - 3 เดือนหลังจากนี้ อย่างไรก็ตาม จะดำเนินการให้แต่ละสถานีดำเนินการออกอากาศได้เร็วที่สุด เพราะเข้าใจว่าแต่ละสถานีมีภาระค่าใช้จ่ายที่ต้องดูแล และต่างประเทศจับตามองอยู่
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า ขณะที่ คสช.ให้เหตุผลในการปิดสถานีโทรทัศน์ดาวเทียม ASTV ,บลูสกาย และอีกนับสิบช่องต่อไป โดยอ้างว่าเนื่องจากยังมีภาพของความขัดแย้งหรือสัญลักษณ์ของการแบ่งฝ่ายอยู่นั้น คสช.กลับอนุญาตให้สถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวีและสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมทีนิวส์ ที่มีสถานะไม่ต่างกัน ออกอากาศได้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา
       
        ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งและที่ปรึกษาสื่อในเครือ ASTVผู้จัดการ กล่าวเมื่อวันที่ 22 มิ.ย.ในงานพระอาทิตย์แฟร์ เพื่อช่วยเหลือ ASTV ที่ถูกระงับออกอากาศมาครบ 1 เดือนว่า ตนก็ไม่ทราบว่า ASTV จะได้เปิดเมื่อไหร่ แต่ถ้าต้องแลกการเปิด ASTV กับการเสียศักดิ์ศรีด้วยการต้องให้ไปเอาอกเอาใจผู้มีอำนาจ ตนไม่เปิดดีกว่า “ไหนๆ มาแล้ว จะบอกพี่น้องหน่อย ขออนุญาต ASTV เปิดเมื่อไหร่ ผมไม่รู้ แต่ถ้าเปิดแล้วมีเงื่อนไขทำให้ผมพูดความจริงไม่ได้ กูก็ไม่เปิด เพราะถ้าเปิดแล้ว ต้องไปเชลียร์มันเนี่ย เสียศักดิ์ศรีพวกเราใช่มั้ย เพราะถ้าเราเปิดแล้ว เราต้องพูดความจริงได้ เพราะฉะนั้นแล้วพวกผมจะไม่ยอมแพ้ ถ้ามึงปิดกูแล้วเปิดแล้วมีเงื่อนไข กูไม่เปิด แต่กูจะอยู่สู้กับมึง วัดใจกันว่า ระหว่างใจของคนสู้เพื่อความเป็นธรรม กับใจของอธรรม ใครจะยาวกว่ากัน ใครจะอึดกว่ากันใช่มั้ยพี่น้อง”
       
       4. ศาล พิพากษาจำคุก “เสี่ยเปี๋ยง” 6 ปี คดียักยอกข้าวจีทูจี 2 หมื่นตัน ด้าน “หมอวรงค์” ชี้ กรรมเริ่มตามทันคนทุจริตข้าวแล้ว!

       เมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ศาลแขวงสมุทรปราการ ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการ ฝ่ายคดีศาลแขวงสมุทรปราการ เป็นโจทก์ฟ้องบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด และนายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือเสี่ยเปี๋ยง อายุ 50 ปี อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัท เพรซิเดนท์ฯ เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ซึ่งเป็นข้าวสารขาวของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องส่งมอบให้ประเทศอิหร่านจำนวน 2 หมื่นตัน มูลค่า 200 ล้านบาท รวม 2 สำนวน ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ
       
        ด้านศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ระหว่างวันที่ 8 มิ.ย.-16 ก.ค.2550 จำเลยทั้งสองรับข้าวสารขาวจากกรมการค้าต่างประเทศมาไว้ในครอบครอง เพื่อนำไปปรับปรุงคุณภาพจากข้าวสารขาว 10% ให้เป็นข้าวสารขาว 5% โดยมีเจตนาทุจริตเบียดบังข้าวดังกล่าวเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต เพราะช่วงเวลาดังกล่าว จำเลยได้ขายข้าว 2 หมื่นตันให้ประเทศอื่นในนามบริษัทตนเอง ทำให้ไม่สามารถส่งข้าวสารให้ประเทศอิหร่านตามที่กำหนดไว้ได้ ซึ่งเป็นการผิดสัญญาต่อรัฐ จำเลยทั้งสองจึงมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ พิพากษาลงโทษจำคุกนายอภิชาติ จำเลยที่ 2 สำนวนละ 3 ปี รวม 6 ปี และปรับบริษัท เพรซิเดนท์ฯ จำเลยที่ 1 สำนวนละ 6,000 บาท รวม 12,000 บาท รวมทั้งให้จำเลยคืนข้าวสารจำนวนกว่า 2 หมื่นตันให้กรมการค้าต่างประเทศ หากไม่สามารถคืนข้าวสารได้ ให้ชดใช้เป็นเงิน 229 ล้านบาท
       
        หลังฟังคำพิพากษา นายอภิชาติได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสด 2 ล้านบาทเพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี ซึ่งศาลอนุญาตตามที่ขอ
       
        ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ทราบกรณีที่ศาลพิพากษาจำคุกนายอภิชาติ หรือเสี่ยเปี๋ยง คนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รวม 6 ปี ปรับ 12,000 บาท ในคดียักยอกข้าวกระทรวงพาณิชย์ 2 หมื่นตันแล้ว ซึ่งส่วนตัวมองว่า กรรมกำลังตามผู้ที่มีส่วนทุจริตข้าวไทยแล้ว แต่แปลกใจว่า คนที่มีคดีทุจริตเรื่องข้าวกับรัฐบาลทักษิณในอดีต ยังมามีอิทธิพลเรื่องข้าวในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ อดีตนายกฯ อีก แสดงว่าเสี่ยเปี๋ยงต้องไม่ธรรมดาจริงๆ และเป็นไปไม่ได้ที่ฝ่ายการเมืองจะไม่รู้ “นี่ขนาดเป็นการยักยอกข้าว 2 หมื่นตัน ถ้าพิจารณาถึงการระบายข้าวแบบจีทูจีในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะหนักยิ่งกว่านี้ เพราะนับแล้วหลายล้านตัน ผมหวังว่า คดีจีทูจีจะไม่ใช่เสี่ยเปี๋ยงคนเดียว อย่างน้อยฝ่ายการเมืองที่สมรู้ร่วมคิดจะต้องโดนด้วย”
       
        ทั้งนี้ มีรายงานว่า ในช่วงรัฐบาลพรรคไทยรักไทย นายอภิชาติและบริษัท เพรซิเดนท์ฯ สามารถประมูลซื้อข้าวจากรัฐบาลได้ถึง 1.7 ล้านตัน แต่ไม่สามารถหาเงินมาชำระและรับมอบข้าวได้ จึงถูกปรับและยกเลิกสัญญา นอกจากนี้บริษัท เพรซิเดนท์ฯ ยังได้นำคำสั่งซื้อข้าวไปขอวงเงินกู้จากธนาคารหลายแห่ง โดยไม่มีการส่งมอบข้าวจริง กระทั่งถูกธนาคารฟ้องล้มละลาย ระหว่างนั้นนายอภิชาติได้ตั้งบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ขึ้นมา ซึ่งภายหลัง ได้ใช้บริษัทดังกล่าวประมูลซื้อข้าวจากรัฐบาลและรับปรับปรุงคุณภาพข้าวจีทูจีในสมัยรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอยู่หลายครั้ง นอกจากนี้นายอภิชาติและบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ยังถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์