1. สนช.ปล่อยผี ไม่ถอดถอน 38 อดีต ส.ว. กรณีแก้ รธน.ที่มา ส.ว.ไม่ชอบ!
เมื่อวันที่ 12 มี.ค. ได้มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เพื่อลงมติถอดถอนหรือไม่ถอดถอนอดีตสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) 38 คน ออกจากตำแหน่ง กรณีแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว.ไม่ชอบ ตามมาตรา 6 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ปี 2557 ประกอบมาตรา 64 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 โดยมีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช.คนที่ 1 เป็นประธานการประชุม ทั้งนี้ กระบวนการลงมติ ได้ให้สมาชิกลงคะแนนลับในคูหา ซึ่งสมาชิกจะได้รับบัตรลงคะแนน 4 ใบ 4 สี ในบัตรแต่ละสีจะมีรายชื่ออดีต ส.ว.ที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดโดยแยกตามฐานความผิด ซึ่งทุกกลุ่มมีพฤติการณ์เข้าชื่อเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว. โดยกลุ่มแรก บัตรสีฟ้า เป็นอดีต ส.ว.ที่มีร่วมลงมติในวาระ 3 มี 2 คน คือ นางภารดี จงสุทธนามณี อดีต ส.ว.เชียงราย และ พล.ท.พงศ์เอก อภิรักษ์โยธิน อดีต ส.ว.พะเยา
กลุ่มสอง บัตรสีส้ม เป็นอดีต ส.ว.ที่ร่วมลงมติในวาระ 1, 2 และ 3 มี 22 คน คือ นายประสิทธิ์ โพธสุธน อดีต ส.ว.สุพรรณบุรี, นายสมชาติ พรรณพัฒน์ อดีต ส.ว.นครปฐม, พล.ต.ต.องอาจ สุวรรณสิงห์ อดีต ส.ว.เลย, นายดิเรก ถึงฝั่ง อดีต ส.ว.นนทบุรี, นายประวัติ ทองสมบูรณ์ อดีต ส.ว.มหาสารคาม, นายกฤช อาทิตย์แก้ว อดีต ส.ว.กำแพงเพชร, พล.ต.ท.พิชัย สุนทรสัจบูลย์ อดีต ส.ว.อุดรธานี, นายภิญโญ สายนุ้ย อดีต ส.ว.กระบี่, นายไพบูลย์ ซำศิริพงษ์ อดีต ส.ว.ปทุมธานี, นายสุเมธ ศรีพงษ์ อดีต ส.ว.นครราชสีมา, พ.ต.ท.จิตต์ ศรีโยหะ มุกดาธนพงศ์ อดีต ส.ว.มุกดาหาร, นายสุรพงษ์ ตันธนศรีกุล อดีต ส.ว.กาญจนบุรี, นายพีระ มานะทัศน์ อดีต ส.ว.ลำปาง, นายสิทธิศักดิ์ ยนต์ตระกูล อดีต ส.ว.กาฬสินธุ์, นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง อดีต ส.ว.ชลบุรี, นายสุวิศว์ เมฆเสรีกุล อดีต ส.ว.สมุทรสาคร, นายรักพงษ์ ณ อุบล อดีต ส.ว.หนองบัวลำภู, นายบวรศักดิ์ คณาเสน อดีต ส.ว.อำนาจเจริญ, นายจตุรงค์ ธีระกนก อดีต ส.ว.ร้อยเอ็ด, นายสิงห์ชัย ทุ่งทอง อดีต ส.ว.อุทัยธานี, นายยุทธนา ยุพฤทธิ์ อดีต ส.ว.ยโสธร และนายชูชัย เลิศพงศ์อดิศร อดีต ส.ว.เชียงใหม่
กลุ่มสาม บัตรสีขาว เป็นอดีต ส.ว.ที่ร่วมลงมติในวาระ 1 และ 3 มี 13 คน คือ นายประเสริฐ ประคุณศึกษาพันธ์ อดีต ส.ว.ขอนแก่น, นายโสภณ ศรีมาเหล็ก อดีต ส.ว.น่าน, นายต่วน อับดุลเล๊าะ ดาโอ๊ะมารียอ อดีต ส.ว.ยะลา, พล.ต.อ.โกวิท ภักดีภูมิ อดีต ส.ว.อ่างทอง, นายประดิษฐ์ ตันวัฒนะพงษ์ อดีต ส.ว.สกลนคร, พล.ต.กลชัย สุวรรณบูรณ์ อดีต ส.ว.ชุมพร, นายวรวิทย์ บารู อดีต ส.ว.ปัตตานี, นายสุโข วุฑฒิโชติ อดีต ส.ว.สมุทรปราการ, นายทวีศักดิ์ คิดบรรจง อดีต ส.ว.บุรีรัมย์, นายสุริยา ปันจอร์ อดีต ส.ว.สตูล, นายถนอม ส่งเสริม อดีต ส.ว.อุบลราชธานี, นายบุญส่ง โควาวิสารัช อดีต ส.ว.แม่ฮ่องสอน และนายวรวิทย์ วงษ์สุวรรณ อดีต ส.ว.ลพบุรี และกลุ่มสี่ บัตรสีเขียว เป็นอดีต ส.ว.ที่ร่วมลงมติในวาระ 2 มี 1 คน คือ นายวิทยา อินาลา อดีต ส.ว.นครพนม
ทั้งนี้ การจะถอดถอนออกจากตำแหน่งได้ ต้องใช้คะแนนไม่น้อยกว่า 3 ใน 5 ของจำนวนสมาชิก สนช.ที่มีอยู่ทั้งหมด หรือ 132 จาก 220 คน ซึ่งผลการลงมติปรากฎว่า สนช.มีมติไม่ถอดถอน 38 อดีต ส.ว. เนื่องจากเสียงถอดถอนมีไม่ถึง 132 เสียง ซึ่งประธาน สนช. จะแจ้งผลการลงมติให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในฐานะผู้กล่าวหา และ 38 อดีต ส.ว.ในฐานะผู้ถูกกล่าวหา รวมทั้งสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ทราบต่อไป
2. ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด 250 อดีต ส.ส.แก้ที่มา ส.ว.ไม่ชอบ เตรียมส่ง สนช.ถอดถอน พร้อมฟันอาญา อุดมเดช-คมเดช-นริศร สลับร่าง รธน.-เสียบบัตรแทนกัน!
เมื่อวันที่ 12 มี.ค. นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เผยผลประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาความเห็นขององค์คณะไต่สวน กรณีถอดถอนอดีต ส.ส. 250 คน จัดทำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว. โดยมิชอบว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดอดีต ส.ส. 250 คน โดยแบ่งผู้ถูกกล่าวหาออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก 239 คน มีพฤติการณ์ร่วมลงชื่อเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว. รวมทั้งได้ร่วมพิจารณาและลงมติในวาระที่ 1 , 2 และ 3 คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 ว่า การกระทำดังกล่าวมีมูลความผิดฐานส่อจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 291 (1) วรรคหนึ่ง
กลุ่มที่สอง มีผู้ถูกกล่าวหา 1 คน ที่ร่วมลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของ ส.ว. ซึ่งแม้จะไม่ได้มีมติรับหลักการในวาระ 1 แต่ได้พิจารณาในวาระ 2 และลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวในวาระ 3 คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 ว่า มีมูลความผิดฐานส่อจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ กลุ่มที่สาม มีผู้ถูกกล่าวหา 10 ราย ที่ร่วมลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว. รวมทั้งได้ร่วมพิจารณาและลงมติในวาระ 1 แม้จะไม่ได้ร่วมพิจารณาในวาระ 2 แต่ก็ได้ลงมติในวาระ 3 คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 ว่า มีมูลความผิดฐานส่อจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ จึงมีมติรวบรวมพยานหลักฐานส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อดำเนินการถอดถอนต่อไปภายใน 15 วัน
นอกจากนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยังมีมติให้แจ้งข้อกล่าวหาอดีต ส.ส. 3 คน ในความผิดทางอาญาด้วย ได้แก่ นายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย มีพฤติการณ์ว่าสลับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งไม่เป็นไปตามขั้นตอนของมติแก้ไขรัฐธรรมนูญ ส่วนอีก 2 ราย คือนายคมเดช ไชยศิวามงคล อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย และนายนริศร ทองธิราช อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย มีพฤติการณ์เสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน จึงมีมติให้แยกเรื่องนี้ไปดำเนินการทางอาญาต่อไป
ขณะที่นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย จากการไต่สวนข้อเท็จจริงปรากฏพฤติการณ์ว่า มีส่วนร่วมกระผิดทางอาญา โดยการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกันในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว. คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติควรสงสัยว่าบุคคลดังกล่าวกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ตามมาตรา 66 ของ พ.ร.บ.ป.ป.ช. จึงให้ดำเนินการไต่สวนต่อไป
เลขาธิการ ป.ป.ช. เผยด้วยว่า มีอดีต ส.ส. อีก 2 คน (นายยุรนันท์ ภมรมนตรี อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย และนายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ อดีต ส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนา) ที่ร่วมลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว. ซึ่งแม้จะร่วมพิจารณาและลงมติในวาระ 1 แต่ไม่ได้ลงมติในวาระ 2 และ 3 คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 ว่า ข้อกล่าวหาไม่มีมูล เห็นควรให้ข้อกล่าวหาเป็นอันตกไป ขณะเดียวกันยังมีอดีต ส.ส. อีก 3 ราย ที่ร่วมลงชื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มา ส.ว. รวมทั้งได้ลงมติในวาระ 1, 2 และ 3 ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ว่าการกระทำดังกล่าวมีมูลความผิดฐานส่อจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 291 (1) วรรคหนึ่ง แต่เนื่องจากทั้ง 3 คนเสียชีวิตแล้ว จึงจำหน่ายคดีออกจากสารบบ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในบรรดาอดีต ส.ส. 250 คน ที่ถูก ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดครั้งนี้ มี พ.ต.อาณันย์ วัชโรทัย อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ปัจจุบันเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) รวมอยู่ด้วย
3. รวบแก๊งบึ้มศาลอาญา พบเป็นแนวร่วมเสื้อแดง-ทำเป็นขบวนการ วางแผนก่อเหตุทั่ว ปท. พบสมุดบันทึกมีชื่อ ชัยสิทธิ์-คำรณวิทย์!
เมื่อคืนวันที่ 7 มี.ค. เวลาประมาณ 20.00 น. ได้มีคนร้ายเป็นชาย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ผ่านหน้าศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก จากนั้นได้ปาระเบิดเข้าไปยังศาลอาญา โดยระเบิดตกบริเวณลานจอดรถ โชคดีไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จากนั้นคนร้ายได้พยายามหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ที่ได้รับการข่าวก่อนหน้านี้และซุ่มดูอยู่ รีบไล่ตาม จนเกิดการปะทะกันเล็กน้อย เนื่องจากคนร้ายมีอาวุธปืนและยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ ก่อนถูกจับกุมในที่สุด
ด้าน พ.ต.อ.กำธร อุ่ยเจริญ ผู้กำกับการกลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด(อีโอดี) เผยว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบกระเดื่องระเบิด RGD5 รหัส 57 ซึ่งเป็นระเบิดชนิดเดียวกับที่ปาใส่ผู้ชุมนุมกลุ่ม กปปส.ที่ถนนบรรทัดทอง โดยครั้งนั้น เป็นระเบิด RGD5 เลขรหัส 48
สำหรับคนร้าย 2 คนที่เจ้าหน้าที่จับได้ ทราบชื่อคือ นายยุทธนา เย็นภิญโญ อายุ 34 ปี ชาว จ.ปทุมธานี เป็นคนปาระเบิด โดยมีรายงานว่า นายยุทธนาเป็นกลุ่มฮาร์ดคอร์ มีแนวคิดทางการเมืองสนับสนุนกลุ่มคนเสื้อแดง ก่อนจะรู้จักกลุ่มเสื้อแดงหัวรุนแรงในเฟซบุ๊กและพัฒนามาติดต่อกันทางไลน์ ส่วนอีกรายคือ นายมหาหิน ขุนทอง อายุ 34 ปี ชาว จ.ยโสธร เป็นคนขี่รถจักรยานยนต์ ด้านตำรวจได้นำตัวคนร้ายทั้งสองมาซักถามต่อหน้าสื่อมวลชน โดยนายมหาหิน บอกว่า ได้รับการว่าจ้างจากนางเดียร์ ซึ่งเข้าใจว่าอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย ให้ก่อเหตุระเบิดที่ศาลอาญา เพื่อให้องค์การสหประชาชาติ(ยูเอ็น) เข้ามาแทรกแซงสถานการณ์ในไทย ส่วนระเบิดรับมาจากคนชื่อ ใหญ่ พัทยา จากพื้นที่ลำลูกกา จ.ปทุมธานี ได้ค่าจ้าง 20,000 บาท นายมหาหิน ยังบอกด้วยว่า ทางแกนนำกลุ่มที่นัดหมายกันทางไลน์ได้นัดประชุมในวันที่ 10 มี.ค. เพื่อวางแผนก่อเหตุป่วนทั่วทุกภาคในวันที่ 15 มี.ค.ด้วย
ทั้งนี้ จากการสอบขยายผล เจ้าหน้าที่สามารถจับกุม น.ส.ณัฎฐ์พัชร์ อ่อนมิ่ง ภรรยาของนายมหาหิน และ น.ส.ธัชพรรณ ปกครอง ภรรยาของนายยุทธนา ในฐานะผู้มีส่วนร่วมในขบวนการ นอกจากนี้ยังได้หลักฐานที่น่าสนใจเพิ่มเติมจากการตรวจค้นบ้านพักผู้ต้องหา ทั้งโทรศัพท์มือถือ สมุดบันทึก โดยในโทรศัพท์นายมหาหินมีข้อความไลน์คุยกับ น.ส.ณัฏฐพัชร์ ภรรยาถึงขั้นตอนในการก่อเหตุ หากสำเร็จจะมีบุคคลชื่อ ใหญ่ พัทยา นำเงินมาให้จุดละ 2 หมื่นบาท ขณะที่สมุดจดบันทึก มีชื่อเขียนด้วยปากกาว่า "ท่านชัยสิทธิ์ ชินวัตร" และ "ท่านคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง" พร้อมเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งนายมหาหิน ยอมรับว่า ภรรยาเคยทำงานกับ พล.อ.ชัยสิทธิ์ และ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ นอกจากนี้ยังมีรายชื่อและเบอร์โทรศัพท์สมาชิกในกลุ่มเสื้อแดงและเครือข่ายกลุ่มฮาร์ดคอร์ด้วย รวมทั้งมีผ้าพันคอเขียนว่าอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ (อพปช.) ของกลุ่มคนเสื้อแดง และเอกสารที่เชื่อมโยงไปยังผู้สั่งการ และผู้เกี่ยวข้องอีกจำนวนหนึ่ง
ซึ่งต่อมา ตำรวจได้ทยอยขอศาลทหารออกหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้นับสิบราย ได้แก่ นายมหาหิน ขุนทอง ,นายยุทธนา เย็นภิญโญ ,น.ส.ณัฏฐพัชร์ อ่อนมิ่ง ภรรยานายมหาหิน ,น.ส.ธัชพรรณ ปกครอง ภรรยานายยุทธนา ,นายณเรศ อินทรโสภา เจ้าของร้านหมูปิ้งนมสด จ.ขอนแก่น ซึ่งเป็นสถานที่ประชุมวางแผนก่อเหตุ ,นายสรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน ผู้ร่วมประชุมวางแผน ,นายวิชัย อยู่สุข หรือตั้ม ผู้ร่วมประชุมวางแผน ,นายชาญวิทย์ จริยานุกูล ผู้ร่วมประชุมวางแผน ,นายวิระศักดิ์ โตวังจร หรือใหญ่ พัทยา ผู้ร่วมประชุมวางแผนและผู้จัดหาระเบิด โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้หลายรายแล้ว รวมทั้ง น.ส.สุภาพร มิตรอารักษ์ หรือเดียร์ ผู้ว่าจ้างให้ปาระเบิด ซึ่งถูกจับกุมเมื่อวันที่ 12 มี.ค. ที่ จ.มุกดาหาร นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังเตรียมออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอีกหลายราย
ด้าน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แถลงเมื่อวันที่ 13 มี.ค.ว่า ผู้ต้องหากลุ่มนี้เป็นกลุ่มเดียวกับที่ก่อเหตุระเบิดที่ทางเชื่อมสถานีรถไฟฟ้าสยามและหน้าห้างสยามพารากอน แต่แยกกันกระทำความผิด เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญต่างกัน ทั้งนี้ วันเดียวกัน ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่หน้าศาลอาญาแล้ว
ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พูดถึงเหตุปาระเบิดใส่ศาลอาญาว่า เจ้าหน้าที่เฝ้าดูทุกวัน ขอให้ประชาชนช่วยกันเฝ้าระวังด้วย ผู้สื่อข่าวถามว่า ประชาชนยังฝากความหวังไว้กับนายกฯ ได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า ถามแบบนี้ไม่สร้างสรรค์ ไปลงอุโมงค์เถอะ ผมมั่นใจว่าทำได้ และผมจะไม่ยอมคนเลว และทุกวันนี้ก็ไม่ยอมอยู่แล้ว ถ้ายอม เลิกไปนานแล้ว นี่ไม่ยอม
ด้าน พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ญาติผู้พี่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หลังมีชื่อพร้อมเบอร์โทรศัพท์ในสมุดบันทึกของผู้ต้องหาปาระเบิดใส่ศาลอาญา ก็ได้เปิดแถลงข่าว(9 มี.ค.) โดยพูดทำนองยอมรับว่าเคยให้เงินผู้ต้องหาใช้ เพราะใครเดือดร้อน มาหาตน ตนก็ช่วยไปตามอัตภาพ บางคนมาขอเงิน มาขอกินข้าว ก็ให้ไป พล.อ.ชัยสิทธิ์ ยังขู่ด้วยว่า ใครก็ตามอย่าลากตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้น ใครทำให้ตนเสียหาย จะฟ้องร้องทั้งหมด
ขณะที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งมีชื่อพร้อมเบอร์โทรศัพท์ในสมุดบันทึกของผู้ต้องหาด้วย ก็ขู่ฟ้องคนที่พาดพิงให้ตนเสียหายเช่นกัน โดยยืนยันว่า ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ตั้งแต่เกษียณ ก็มุ่งหน้ารักษาคนป่วย ไม่เคยไปมาหาสู่ใครเลย
ด้านแกนนำ นปช.และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงต่างพร้อมใจกันออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับเหตุปาระเบิดใส่ศาลอาญาเช่นกัน โดยนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้ อีสาน อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย และอดีตประธานผู้ก่อตั้งอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ(อพปช.) ซึ่งผู้ต้องหามีผ้าพันคอ อพปช.ด้วยนั้น นายสุภรณ์ ยืนยันว่า ตนได้ยุติการเคลื่อนไหวทางการเมืองแล้ว และประกาศยุบ อพปช.ตั้งแต่วันที่ 31 พ.ค.2557 หากใครแอบอ้างชื่อ อพปช. ขอให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฎหมายอย่างเข้มงวด