ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 27 ธ.ค.2557- 4 ม.ค.2558  (อ่าน 816 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9785
    • ดูรายละเอียด
 1. “ในหลวง” พระราชทานพรปีใหม่ให้ประชาชนมีความสุขความเจริญ พร้อมพระราชทาน ส.ค.ส.ภาพพระมหาชนก!
       
       เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระราชดำรัสในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2558 แก่ปวงชนชาวไทย ความว่า ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย บัดนี้ถึงวาระจะขึ้นปีใหม่ ข้าพเจ้าขอส่งความปรารถนาดีมาอวยพรแก่ท่านทุกคน ให้มีความสุขความเจริญ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา ในปีใหม่นี้ ขอให้ประชาชนชาวไทยตั้งใจให้เที่ยงตรงแน่วแน่ ไม่ว่าจะทำการสิ่งใด ให้คิดให้ดีให้รอบคอบและรอบด้าน เพื่อให้การกระทำนั้นบังเกิดผลเป็นความสุขความเจริญที่แท้จริงและยั่งยืนทั้งแก่ตนเองและประเทศชาติ ขออานุภาพพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์จงคุ้มครองรักษาท่านทุกคนให้มีความสุขสวัสดี พร้อมด้วยพรอันเป็นมงคลทุกประการ
       
       ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทาน ส.ค.ส.ปีใหม่แก่ประชาชนชาวไทยด้วย โดยเป็นภาพพระราชนิพนธ์พระมหาชนกฉบับการ์ตูน เป็นเหตุการณ์ขณะเรือที่กำลังแล่นไปสุวรรณภูมิล่ม พระมหาชนกต้องอดทนว่ายน้ำอยู่ในมหาสมุทรนานถึง 7 วัน 7 คืน และนางมณีเมขลาได้มาอำนวยพรให้ ขณะที่กลางภาพ ส.ค.ส. มีพรพระราชทานจากพระราชนิพนธ์เรื่องนี้ว่า ขอจงมีความเพียรที่บริสุทธิ์ ปัญญาที่เฉียบแหลม กำลังกายที่สมบูรณ์ ด้านล่างของภาพด้านขวา มีข้อความภาษาไทยว่า ขอจงมีความสุขความเจริญ และข้อความภาษาอังกฤษว่า Happy New Year และชื่อพระราชนิพนธ์พระมหาชนก The Story of MAHAJANAKA ด้านซ้ายบนของ ส.ค.ส.มีตราพระมหาพิชัยมงกุฎและผอบทองประดับ มีตัวอักษรข้อความว่า ส.ค.ส.พ.ศ.2558 และข้อความ สวัสดีปีใหม่ ขณะที่มุมล่างซ้ายของ ส.ค.ส. มีข้อความ ก.ส.9 ปรุง 301021 ธ.ค.2557 ส่วนมุมด้านขวามีข้อความว่า มหาวิทยาลัยปูทะเลย์ มิถิลา 2557
       
       2. “บิ๊กตู่” นำ ครม.-ผบ.เหล่าทัพเข้าอวยพรปีใหม่ “ป๋าเปรม” ขณะที่ “ป๋าเปรม” ชม “บิ๊กตู่” ที่ยึดอำนาจ ชี้ทำเพื่อชาติ!

        เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้นำคณะรัฐมนตรี(ครม.) พร้อมด้วยผู้บัญชาการเหล่าทัพและผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าอวยพรปีใหม่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์
       
        โอกาสนี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนและ ครม.ขออำนวยพรและแสดงมุทิตาจิตต่อ พล.อ.เปรม ด้วยความเคารพยิ่ง เพราะตระหนักดีว่า พล.อ.เปรมเป็นผู้มีคุณูปการต่อประเทศชาติ รวมทั้งถวายความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด เกียรติประวัติและผลงานของ พล.อ.เปรม ถือเป็นแบบอย่างและแนวทางที่พวกตนจะยึดถือในการบริหารราชการด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อนำพาประเทศให้ก้าวหน้าและมั่นคงอย่างยั่งยืน
       
        ด้าน พล.อ.เปรม ได้อวยพรให้ พล.อ.ประยุทธ์และ ครม.ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องการทำ เพื่อตอบแทนบุญคุณของชาติ และถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมขอให้พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คุ้มครองให้รัฐบาลและ คสช.มีแต่ความสุขความเจริญ ก้าวหน้า และประสบความสำเร็จ ที่เสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองในครั้งนี้
       
        ทั้งนี้ พล.อ.เปรม ได้กล่าวชื่นชม พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 ด้วยว่า เป็นการทำเพื่อชาติ ซึ่งคนในชาติภูมิใจมาก “ถ้าพวกเราจำเหตุการณ์ในวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมาได้ คงจะภูมิใจ และคนในชาติก็จะภูมิใจมากที่นายกฯ ลุงตู่เข้ายึดอำนาจการปกครองมาจากรัฐบาล ถือเป็นการกระทำให้ชาติบ้านเมืองสงบเรียบร้อย... วันนั้นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ทหารและกองทัพ รวมทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เมื่อถึงคราวที่จำเป็น เราก็ต้องออกไปทำ และออกไปดูแลชาติบ้านเมือง พวกเราคงจะภูมิใจที่ได้กระทำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นในวันที่ 22 พ.ค. ถือเป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่ เป็นการตอบแทนบุญคุณชาติบ้านเมือง แสดงความจงรักภักดีที่ยิ่งใหญ่มาก คิดว่าคนไทยส่วนใหญ่เขาจะเห็นด้วยและพอใจ ภูมิใจในการกระทำของนายกฯ ลุงตู่”
       
        นอกจากนี้ พล.อ.เปรม ยังกล่าวให้กำลังใจ พล.อ.ประยุทธ์ ให้เดินหน้าต่อไป พร้อมขอให้ทหารทุกเหล่าทัพเป็นกำลังใจให้นายกฯ และรัฐบาลด้วย “ผมได้พูดกับนายกฯ ลุงตู่เป็นการส่วนตัวว่า เราออกมาแล้ว เราคงจะถอยไม่ได้ จะต้องเดินหน้าต่อไปอย่างองอาจและกล้าหาญ เดินหน้าไปอย่างสุภาพบุรุษ... และต้องเดินหน้าไปเพื่อลูกหลานของเรา... ผมรู้ว่าทุกคนเหนื่อย แต่ทุกคนเหนื่อยเพื่อชาติ เพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และคนไทยทุกคน... ผมใคร่ขอให้พี่น้องทหารเหล่าทัพต่างๆ ช่วยเป็นกำลังใจให้ท่านนายกฯ และรัฐบาล ที่ทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง ฉะนั้นเราจึงเป็นมิตรกัน และเป็นเพื่อนร่วมตายกัน ก็ต้องช่วยดูแลซึ่งกันและกัน”
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการเข้าอวยพรของ พล.อ.ประยุทธ์และคณะครั้งนี้ พล.อ.เปรม ได้มอบหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด รุ่นบ้านเกิด 2557 เป็นของที่ระลึกแก่ทุกคนด้วย
       
        ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในวันต่อมา(30 ธ.ค.) ถึงกรณีที่ พล.อ.เปรม ชื่นชมในความกล้าหาญที่ พล.อ.ประยุทธ์ ทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ว่า ก็รู้สึกดีใจที่ พล.อ.เปรมชม เพราะเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง แต่ไม่ได้ถึงกับลอย เพราะที่ยืนอยู่ได้วันนี้ เพราะเก็บความชื่นชมเหล่านั้นไว้ แล้วก็ทำงาน คำชมถือเป็นกำลังใจในการทำงาน วันนี้ก็บริหารประเทศต่อไป ใช้อำนาจในทางที่จำเป็น
       
       3. ศาล พิพากษาประหารชีวิต “บอล-เบิ้ม” คดีอุ้มฆ่า “เอกยุทธ” เจ้าตัวสารภาพ ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต!

        เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. ศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษาคดีฆ่านายเอกยุทธ อัญชันบุตร อายุ 59 ปี นักธุรกิจชื่อดัง ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสันติภาพ เพ็งด้วง หรือบอล อายุ 23 ปี ,นายสุทธิพงศ์ พิมพิสาร หรือเบิ้ม อายุ 28 ปี ,นายชวลิต วุ่นชุม หรือเชาว์ อายุ 23 ปี ,นายทิวากร เกื้อทอง หรือทิว อายุ 18 ปี ,จ.ส.อ.อิทธิพล เพ็งด้วง อายุ 51 ปี และนางจิตอำไพ เพ็งด้วง อายุ 48 ปี บิดาและมารดานายสันติภาพ ซึ่งทั้งหมดเป็นชาว จ.พัทลุง เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น ,ร่วมกันปล้นทรัพย์ ,ร่วมกันซ่อนเร้นอำพรางศพ ,ร่วมกันรับของโจร และข้อหาอื่นๆ รวม 8 ข้อหา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 199 ,289 ,309 ,310 ,340 ,357 และ 371 ประกอบมาตรา 83 และ พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2492
       
        คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า ระหว่างวันที่ 6-9 มิ.ย.2556 จำเลยที่ 1-2 ได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด .380 พร้อมเครื่องกระสุนและอาวุธมีด ปล้นทรัพย์สินของนายเอกยุทธรวม 9 รายการ มูลค่า 6.6 ล้านบาท โดยใช้อาวุธทำร้ายและกักขังหน่วงเหนี่ยวบังคับให้นายเอกยุทธเซ็นเช็คเบิกถอนเงิน และใช้เชือกรัดคอจนถึงแก่ความตาย จากนั้นนำศพไปไว้ในรถตู้ เพื่อนำไปฝังในไร่ร้างที่ อ.เมือง จ.พัทลุง เพื่อปกปิดความผิด โดยมีจำเลยที่ 3-4 ช่วยขุดหลุมฝังศพ ส่วนจำเลยที่ 5-6 ซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บเงินสดของผู้ตาย จำนวน 4,242,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 นำมาฝากไว้
       
        ทั้งนี้ ศาลมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กักขังหน่วงเหนี่ยวปล้นทรัพย์ และปกปิดซ่อนเร้นศพเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดหรือไม่ พบว่า โจทก์มีพยานหลายปากเบิกความสอดคล้องกันทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับภาพจากกล้องวงจรปิดว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับรถพาผู้ตายออกจากบริษัทไปกินข้าวที่ร้านครัวกระแต ก่อนพาไปที่บ้านย่านทาวน์อินทาวน์ ,สนามบินสุวรรณภูมิ และแวะเติมน้ำมันที่วังมะนาว จ.เพชรบุรี แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานเห็นขั้นตอนการฆ่าของจำเลยที่ 1 และ 2 แต่มีพยานแวดล้อมเบิกความเป็นลำดับขั้นตอน อีกทั้งมีพยานเป็นพี่สาวของจำเลยที่ 1 เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 มาหาที่ จ.นครศรีธรรมราช เพื่อหาสถานที่ฝังศพจริง แต่เมื่อหาไม่ได้ จึงพากันไปที่ จ.พัทลุง โดยมีพยานโจทก์เบิกความว่า ขณะกลับจากโรงพยาบาลพัทลุง เวลา 23.00น. เห็นรถยนต์ 2 คัน คือรถเก๋งแดวูและรถโฟล์กตู้สีดำ เลี้ยวเข้าไปในเขาจิงโจ้ ซึ่งเป็นสถานที่พบศพนายเอกยุทธ
       
        สำหรับจำเลยที่ 2 ก็มีพยานหลักฐานรับฟังได้ว่า ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กักขังหน่วงเหนี่ยวลักทรัพย์ผู้ตายโดยประทุษร้าย ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดความผิด ส่วนที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าถูกจำเลยที่ 1 บังคับให้ร่วมกระทำความผิดนั้น ศาลเห็นว่าฟังไม่ได้ เนื่องจากจำเลยที่ 2 มีโอกาสหลบหนี แต่ก็ไม่หลบหนีและไม่ห้ามปรามจำเลยที่ 1
       
        ส่วนจำเลยที่ 3-4 ไม่มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าและร่วมกันชิงทรัพย์ เนื่องจากไม่มีประจักษ์พยานหรือพยานแวดล้อมเบิกความยืนยัน แม้จำเลยที่ 1 จะเบิกความว่า ชวนจำเลยที่ 3 มาเรียกค่าไถ่นักธุรกิจ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 เข้าร่วมกระทำความผิด อีกทั้งการบันทึกโทรศัพท์ก็ไม่พบว่า จำเลยที่ 1 และ 3 ติดต่อกัน ส่วนจำเลยที่ 4 เบิกความว่าไม่รู้จักจำเลยที่ 1-2 มาก่อน และไม่พบรอยนิ้วมือในรถยนต์ของนายเอกยุทธ แต่จำเลยที่ 3-4 มีความผิดฐานร่วมกันซ่อนเร้นอำพรางศพ จากการร่วมกันขุดหลุมฝังศพนายเอกยุทธที่เขาจิงโจ้
       
        สำหรับจำเลยที่ 5-6 มีประเด็นว่าร่วมกันรับของโจรหรือไม่ ศาลเห็นว่า เข้าข่ายรับของโจร เนื่องจากจำเลยที่ 5 ยอมรับว่าจำเลยที่ 1 นำเงิน 5 ล้านมามอบให้ ส่วนที่จำเลยระบุว่า จำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นเงินที่ได้จากการเล่นพนันฟุตบอล จำเลยที่ 5-6 จึงแบ่งเงินเป็น 2 ส่วน และไปขุดหลุมฝังดินไว้ที่บ้านญาติ ไม่นำเงินไปฝากธนาคาร เนื่องจากตรงกับวันเสาร์ ธนาคารปิดทำการนั้น ศาลไม่เชื่อในคำให้การ เพราะปัจจุบันหลายธนาคารเปิดทำการตามห้างสรรพสินค้า จึงเชื่อว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่า เงินดังกล่าวเป็นเงินที่ได้จากการลักทรัพย์ หากเก็บไว้กับตัวหรือบ้านจะถูกติดตามจับกุมได้
       
        ศาลจึงพิพากษาว่า จำเลยที่ 1-2 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ประหารชีวิต แต่จำเลยรับสารภาพในชั้นพิจารณา พอเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต ส่วนจำเลยที่ 3 ผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและฐานซ่อนเร้นอำพรางศพ จำคุก 13 เดือน และให้รวมโทษที่รอลงอาญาไว้ในคดีเดิมอีก 6 เดือน รวมเป็น 19 เดือน สำหรับจำเลยที่ 4 มีความผิดฐานซ่อนเร้นอำพรางศพ จำคุก 8 เดือน ส่วนจำเลยที่ 5-6 มีความผิดฐานรับของโจร แต่จำเลยรับสารภาพและช่วยติดตามนำเงินมาคืนจำนวน 4.4 ล้านบาท พิพากษาจำคุก 1 ปี 4 เดือน และให้จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 1.9 ล้านบาท ให้แก่ทายาทผู้เสียชีวิตด้วย
       
        หลังฟังคำพิพากษา นายสันติภาพ จำเลยที่ 1 กล่าวว่า จะปรึกษาทนายความเพื่อยื่นอุทธรณ์สู้คดีต่อไป ด้านบุตรชายนายเอกยุทธ ซึ่งเดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วย กล่าวว่า พอใจคำตัดสินของศาล หลังจากนี้จะหารือกับทนายความว่าจะอุทธรณ์คดีหรือไม่ และขอบคุณสื่อมวลชนที่สนใจติดตามคดีมาโดยตลอด
       
       4. ตร.สรุปสำนวนคดี “พงศ์พัฒน์” ส่งอัยการเพื่อฟ้องศาลแล้ว 7 สำนวน ด้านผู้ต้องหาคดีพนันบอลอาบูบาก้ามอบตัวแล้ว 4 !

        เมื่อวันที่ 2 ม.ค. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผช.ผบ.ตร.) รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(รรท.ผบช.ก.) เผยความคืบหน้าการดำเนินคดี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ผู้ต้องหาคดีหมิ่นสถาบันพร้อมพวกว่า เจ้าหน้าที่ได้ส่งสำนวนคดีหลักๆ ให้พนักงานอัยการแล้ว 7 สำนวน เช่น คดีแอบอ้างสถาบันซื้อขายตำแหน่ง ,คดีแอบอ้างสถาบันเปิดบ่อนการพนันภายในสถานบริการย่านรัชดาภิเษก ,คดีแอบอ้างสถาบันทุจริตเรียกรับส่วยน้ำมันเถื่อน ฯลฯ โดยมี พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ เป็นผู้ต้องหาหลักและมีผู้ต้องหาอื่นเกี่ยวข้องด้วย
       
       สำหรับสำนวนคดีย่อยที่เหลืออยู่ คือ คดีแอบอ้างสถาบันในการข่มขู่เปิดโรงน้ำแข็งในท้องที่ สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และอีก 2-3 คดีเกี่ยวกับการขู่กรรโชกทรัพย์และประมูลเครื่องเสวย คาดว่าจะสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการได้ภายในเดือน ม.ค.นี้ ส่วนคดีหลักๆ ที่ส่งอัยการไปแล้ว อัยการจะมีคำสั่งอย่างไรนั้น คงต้องรอหลังเปิดทำการในวันที่ 5 ม.ค.
       
        ส่วนความคืบหน้าคดีเรียกรับเงิน 150 ล้านเพื่อถอนคำสั่งอายัดของกลางในคดีพนันบอลออนไลน์อาบูบาก้า ที่ตำรวจได้ขอศาลออกหมายจับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ กับพวก 5 ราย ซึ่งบางคนถูกจับกุมแล้ว และมีการขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาที่เป็นตำรวจเพิ่มอีก 9 รายนั้น พล.ต.ท.ประวุฒิ เผยว่า ขณะนี้ ผู้ต้องหา 4 ใน 9 รายได้เข้ามอบตัวแล้ว ล่าสุด(3 ม.ค.) ได้รับการประสานว่า พ.ต.ท.ทรงรักษ์ ขุนศรี อดีตรอง ผกก.6 บก.ป. (นายตำรวจคนสนิท พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์) และตำรวจที่ถูกออกหมายจับระดับรอง ผกก.รวมแล้ว 2-3 นาย ขอมอบตัว โดยอยู่ระหว่างนัดวันที่จะเข้ามอบตัว
       
        สำหรับผู้ต้องหา 4 รายที่เข้ามอบตัวแล้ว ประกอบด้วย พ.ต.ท.วัฒนา ผลงานดี สว.กก.2 บก.ป. ,พ.ต.ต.อภิสิทธิ์ เมฆประยูร สว.กก.ปพ.บก.ป. ,ร.ต.อ.นิธิพัฒน์ กังรวมบุตร รอง สว.กก.ปพ.บก.ป. และ ร.ต.อ.ศักรินทร์ เกษรเทียน รอง สว.กก.4 บก.ปคม.
       
        พล.ต.ท.ประวุฒิ เผยด้วยว่า การแต่งตั้งโยกย้ายระดับสารวัตรถึงรอง ผบก.ในกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) นั้น จะมีการเปลี่ยนแปลงย้ายออกนอกหน่วยแน่นอนรวมแล้วกว่า 100 ตำแหน่ง โดยยอมรับว่ามากกว่าทุกปีที่ผ่านมา แต่ยืนยันว่าไม่ถึงกับล้างบางตามที่มีข่าว โดยขณะนี้ได้ทำบัญชีแต่งตั้งในส่วนของ บช.ก.เสร็จไปร้อยละ 98 แล้ว วันที่ 7 ม.ค. จะนำรายชื่อแต่งตั้งระดับ ผกก.-รอง ผบก.เข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.) พร้อมกับรายชื่อแต่งตั้งในกองบัญชาการอื่นๆ
       
       5. ตร. เชิญอดีตผู้บริหาร สจล. สอบคดียักยอกเงินพันล้าน ด้าน 2 ดาราชื่อดัง “พิ้งกี้-บอย ปกรณ์” มีชื่อเกี่ยวโยง!

        ความคืบหน้าคดียักยอกเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) จำนวน 1.6 พันล้านบาท ซึ่งตำรวจจับกุมนายทรงกลด ศรีประสงค์ อดีตผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซี ศรีนครินทร์ และ น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ ผู้อำนวยการส่วนการคลัง สจล. ข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม โดยมีพฤติการณ์ทำบัญชีธนาคารปลอม เพื่อลวงผู้บริหาร สจล.ว่าเงินยังคงอยู่ในบัญชี แต่ได้ถ่ายโอนเงินไปยังบัญชีธนาคารของบุคคลอื่น ซึ่งจากการขยายผล ตำรวจได้ขอศาลออกหมายจับนายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ ,นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ,นายจริวัฒน์ สหพรอุดมการ และนางสมบัติ โสประดิษฐ์ โดยสามารถจับกุมนายพูลศักดิ์และนายจริวัฒน์ได้แล้ว ส่วนนายกิตติศักดิ์และนางสมบัติยังหลบหนีนั้น
       
        เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. พ.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บังคับการปราบปราม ในฐานะหัวหน้าชุดคณะทำงานสืบสวนคดีนี้ เผยว่า เมื่อวันที่ 27 ธ.ค. ตำรวจได้เข้าค้นตามจุดต้องสงสัยที่คาดว่าผู้ต้องหากลุ่มนี้จะซุกซ่อนหลักฐานไว้ เช่น ที่ห้องพักนายพูลศักดิ์และนายกิตติศักดิ์ ที่คอนโดมิเนียมเดอะคีย์ ย่านแจ้งวัฒนะ รวมทั้งที่บ้านของนายพูลศักดิ์ในหมู่บ้านพฤกภิรมย์ ซึ่งเบื้องต้นยึดเอกสารทางการเงินได้จำนวนหนึ่ง
       
        วันต่อมา(29 ธ.ค.) ตำรวจได้นำหมายค้นเข้าตรวจค้นบริษัท มัทธุจัด จำกัด ของนายกิตติศักดิ์ที่ยังหลบหนีอยู่ โดยพบว่าเป็นบริษัทให้บริการด้านสินเชื่อเงินสดด่วนทันใจ ตั้งอยู่ในหมู่บ้านธนาภิรมย์ ถนนศรีนครินทร์ จ.สมุทรปราการ พบเอกสารการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้า มีเงินหมุนเวียนหลายสิบล้านบาท นอกจากนี้ยังพบเอกสารการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ บ้านหรู และคอนโดฯ ของนายกิตติศักดิ์จำนวน 6 ชุด ,สมุดบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย 6 ชุด ,เอกสารการซื้อบ้านหรูราคากว่า 36 ล้านบาท ที่ระบุชื่อนายกิตติศักดิ์เป็นคนซื้อ
       
       ทั้งนี้ ตำรวจได้ประสานให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงินของบริษัท มัทธุจัด ว่า หลังจดทะเบียนเมื่อปี 2555 แล้ว บริษัทดังกล่าวทำธุรกิจการเงินเป็นอย่างไร เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินที่สูญหายของ สจล.หรือไม่ ก่อนจะทำการอายัดต่อไป โดยตำรวจเชื่อว่า นายกิตติศักดิ์เป็นตัวการสำคัญในคดียักยอกเงินของ สจล. เพราะเป็นคนที่ให้ผู้ต้องหาคนอื่นโอนเงินเข้าบัญชีไป ก่อนโอนกลับมาให้ตัวเอง และแบ่งผลประโยชน์ให้เจ้าของบัญชีคนอื่นเป็นการตอบแทน
       
        ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 30 ธ.ค. ตำรวจได้ออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องเพิ่มอีก 2 ราย คือ นายสมพงษ์ สหพรอุดมการ บิดานายจริวัฒน์ ที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ และ น.ส.จันทร์จิรา โสประดิษฐ์ บุตรนางสมบัติที่ยังหลบหนีอยู่ นอกจากนี้วันเดียวกัน ตำรวจยังได้ส่งชุดทำงานไปตรวจสอบบ้านแม่นายกิตติศักดิ์ที่ จ.พิจิตร หลังตรวจค้นบ้านและที่ทำงานของนายกิตติศักดิ์แล้วพบโฉนดที่ดินประมาณ 30 แปลง ซึ่งเป็นชื่อแม่ของนายกิตติศักดิ์ ขณะเดียวกันยังพบว่านายกิตติศักดิ์โอนเงินให้น้องสาวอีกประมาณ 10 ล้านบาทด้วย นอกจากนั้นตำรวจยังได้ส่งชุดทำงานไปตรวจสอบบ้านนางสมบัติที่ จ.เลย หลังพบว่ามีการสร้างบ้านมูลค่าหลายล้านบาท รวมทั้งรถสปอร์ตหรูที่นางสมบัติซื้อไว้ด้วย
       
        ด้านสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 3 ว่า คณะทำงานที่ สจล.ตั้งขึ้น ได้ตรวจสอบการเบิกถอนบัญชีเงินฝากของสถาบันย้อนหลังตั้งแต่เดือน มิ.ย.2555 พบความผิดปกติต่อเนื่องมาจนถึงเดือน ธ.ค.2557 ซึ่งเป็นความผิดปกติตั้งแต่ สจล.ออกนอกระบบราชการ พ.ศ.2551 โดยมีคณะผู้บริหารที่มีอำนาจอนุมัติการเบิกถอนเกี่ยวข้อง 3 ชุด ชุดที่ 1 ตั้งแต่ 13 ก.ค.2551-12 ก.ค.2555 มี รศ.ดร.กิตติ ตีรเศรษฐ เป็นอธิการบดี ,ชุดที่ 2 ตั้งแต่ 20 ก.ค.2555-27 พ.ย.2556 มี ศ.ดร.ถวิล พึ่งมา เป็นอธิการบดี และชุดที่ 3 ตั้งแต่ 26 พ.ย.2556 ถึงปัจจุบัน มี ศ.ดร.โมไนย ไกรฤกษ์ รักษาการแทนอธิการบดี โดยขั้นตอนในการเบิกถอนเงินจากบัญชีที่ปฏิบัติมา คือ ผอ.การคลังเสนอเรื่องให้ผู้บริหารอนุมัติเบิกถอนจากบัญชีต่างๆ เพื่อนำไปฝากในบัญชีที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
       
       แถลงการณ์ สจล.เผยด้วยว่า ความเสียหายเกี่ยวกับเงินของ สจล.พบ 2 กรณี คือมีการเบิกถอนเงินตามคำสั่ง สจล.จริง แต่นำเงินไปเข้าบัญชีของ สจล.ที่เป็นบัญชีปลอม และมีการเบิกถอนเงินตามคำสั่งของ สจล. แต่ไม่มีการนำเงินไปเข้าบัญชีของ สจล.ตามคำสั่ง
       
        ด้านอดีตผู้บริหาร สจล.ที่เป็นอธิการบดีในช่วงเวลาที่ถูกระบุ ได้ออกมายืนยันความบริสุทธิ์ว่าไม่เกี่ยวข้องกับคดียักยอกเงินของ สจล.แต่อย่างใด โดยนายถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดี สจล. บอกว่า อยากให้ตำรวจตรวจสอบย้อนหลังไปตั้งแต่ สจล.ออกนอกระบบราชการในปี 2551 เพื่อหาผู้กระทำผิดและนำเงินกลับมา พร้อมยืนยันว่า ก่อนตนเข้ารับตำแหน่งอธิการบดีก็ไม่เคยระแคะระคายเรื่องความผิดปกติของบัญชี สจล.
       
        ขณะที่นายกิตติ ตีรเศรษฐ อดีตอธิการบดี สจล. ก็ยืนยันในความบริสุทธิ์ของตนเองเช่นกัน และพร้อมที่จะให้ข้อมูลกับตำรวจ นายกิตติ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า แถลงการณ์ของ สจล.ระบุช่วงเวลาที่พบความผิดปกติของบัญชีว่าอยู่ในช่วง 19 ก.ค.2555-ธ.ค.2557 ซึ่งเป็นช่วงที่นายถวิลและนายโมไนยดูแลคนละปี โดยเฉพาะนายโมไนย ซึ่งเป็นผู้บริหารทั้ง 2 สมัย โดยเป็นรองอธิการบดีสมัยที่นายถวิลเป็นอธิการบดีด้วย เท่ากับอยู่ทั้ง 2 ปีที่มีปัญหา จึงน่าแปลกใจว่า เงินหายมากมายขนาดนั้น ทำไมถึงไม่รู้ ทำไมถึงเพิ่งมาตรวจสอบพบเมื่อเดือน ธ.ค.2557
       
        ด้าน พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รองผู้บังคับการปราบปราม ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคลี่คลายคดียักยอกเงินกว่า 1 พันล้านของ สจล. เผย(2 ม.ค.) ว่า พนักงานสอบสวนได้เชิญนายถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดี สจล.ที่หมดวาระไปเมื่อปลายปี 2557 พร้อมด้วยคณะกรรมการผู้มีอำนาจเซ็นเบิกจ่ายเงินของ สจล.ทั้งชุดเก่าและชุดปัจจุบัน เช่น รองอธิการบดี และเจ้าหน้าที่ฝ่ายการคลังมาสอบปากคำในวันที่ 5 ม.ค.นี้ พ.ต.อ.ณษ เผยด้วยว่า จากการตรวจสอบของตำรวจร่วมกับทาง สจล.พบว่า ระหว่างปี 2555-ธ.ค.2557 ที่เอาเช็คไปเบิกเงินธนาคารไม่ได้ สรุปยอดเงินพบว่า มีการสูญหายไปทั้งสิ้น 1,574 ล้านบาท
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า คดียักยอกเงิน สจล. เริ่มมีชื่อดารานักแสดงเข้ามาเกี่ยวข้องกับผู้ต้องหาในคดีนี้แล้ว 2 คน คือ น.ส.สาวิกา ไชยเดช หรือพิ้งกี้ ซึ่งมีชื่อถือหุ้นบริษัทในเครือของนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด และนายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ หรือบอย ซึ่งซื้อรถลัมบอร์กินีต่อจากนายกิตติศักดิ์ ในราคา 13.5 ล้านบาท จากราคาปกติที่ 19-20 ล้านบาท ซึ่งตำรวจมองว่า ถ้านายกิตติศักดิ์และนายปกรณ์ไม่รู้จักหรือสนิทกันจริง คงไม่ยอมขายขาดทุนขนาดนี้ ทั้งนี้ ตำรวจจะตรวจสอบรายละเอียดความเกี่ยวข้องของดาราทั้งสองกับผู้ต้องหาในคดีนี้ต่อไป


ASTVผู้จัดการออนไลน์    4 มกราคม 2558