ผมสัญญาว่าฉบับนี้ผมจะเขียนหมัดแรกของสงครามแพทย์ยุค คสช. จะไหวหรือเปล่าก็ยังไม่แน่
ผมไม่สบายมาเป็นเดือนแล้ว อ่อนเพลีย วิงเวียนและเดินเซ ผมโชคดีที่ได้หมอที่เก่งที่สุดหลายคน แต่กระนั้นก็ตาม ท่านพากันตรวจ(หา)โรคต่างๆในตัวผมอย่างสุดฝีมือและเทคโนโยโลยีที่บ้านเมืองเรามี ทุกท่านบอกว่าตับไตใส้พุงหัวใจปอดสมองของผมแข็งแรงเหมือนคนหนุ่มอายุ 60 แต่อนิจจา ไม่มีหมอท่านใดตรวจ(อาการ)ผมเลย ผมจึงยังไม่ได้รีบการรักษาใดๆทั้งสิ้นนอกจากคำแนะนำอันล้ำค่าว่าอย่าเครียดและพักผ่อนนอนหลับให้มากๆ
ผมไม่เครียดนะครับ ที่ผมจะเขียนถึงสงครามแพทย์ขณะนี้ก็ด้วยจิตที่ว่างและเป็นธรรมอย่างยิ่ง เพราะผมว่ามันมีผลกระทบถึงคนไข้ทุกคน โดยเฉพาะคนยากคนจนที่เข้าไม่ถึงการรักษาพยาบาล ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดๆ
พูดแล้วก็ทำให้ผมนึกถึงบุญคุณของบุคคลเหล่านี้ที่มีต่อประชาชนคนไทยทั่วไป คือ นายกคึกฤทธิ์สำหรับโครงการรักษาฟรีทุกโรค หมอสงวนสำหรับสูตร 30 บาทรักษาทุกโรค นายกทักษิณที่นำความคิดหมอหงวนไปทำ หมอรมว.มงคล ณ สงขลา ที่ขจัดอิทธิพลอุตสาหกรรมผูกขาดยาโลกทำให้คนยากคนจนเข้าถึงยาถูก (ถึงแม้อาจจะไม่รู้ตัวว่าเป็นเหตุสำคัญทางอ้อมที่ทำให้เกิดสงครามแพทย์ก็ตาม)
เมื่อผมยังเด็กไม่ถึง 10 ขวบบ้านอยู่ในโรงพยาบาล ผมเป็นไข้รากสาดอย่างแรง สมัยนั้นยังไม่มียาปฏิชีวนะหรือเพนนิสซิลิน ถ้าผมไม่ใช่ลูกหมอผมก็คงหมดเวรไปนานแล้ว พ่อย้ายผมออกจากโรงพยาบาลมานอนอยู่บ้านชายทุ่งลมโชย ประคบประหงมดูแลผมอยู่เป็นปี ผมจึงรอดตายขึ้นมาเป็นเด็กง่อย
ที่ผมพูดนี้เพราะผมต้องการให้ทุกคนรำลึกถึงความสำคัญของการเข้าถึง(คนที่เป็น)หมอ ไม่ว่าจะอยู่นอกหรือในโรงพยาบาลก็ดี
ผมจึงเห็นว่า เป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องเขียนถึงเรื่องสงครามแพทย์ ไม่ใช่ให้แพทย์ยิ่งแตกกันมากขึ้นไป จนกระทั่งฉิบหายไปทั้งอาชีพ ปล่อยให้คนไข้เป็นเหยื่อของยถากรรม แต่เพื่อให้เราสามารถพัฒนาระบบสาธารณสุขใหเเข้าถึงประชาชนอย่างจริงจังเสียที
บุคคลสำคัญ 3 คนที่โทรมาหาผมหลังเหตุการณ์วุ่นวายสปสช.วันที่ 4 กรกฎาคมล้วนเป็นเหยื่อหมัดแรกด้วยกันทั้งสิ้น วิธีการแก้ของท่านน่าจะมิใช่การรำมวยเข้าไปสมทบ แต่ควรจำเริญ เวสารัชชกรณธรรม ๕ หรือธรรมทั้ง ๕ ที่ทำให้เกิดความแล้วกล้าเสียก่อน แล้วกลับไปปฏิบัติหน้าที่ของใครของมันตามครรลองที่ชอบธรรมตามหลักเกณฑ์และกฎหมาย
ท่านทั้ง 3 เช่นเดียวกับสังคมไทย และท่านที่สนใจเรื่องนี้ ไม่ว่าท่านจะถือหางผู้ใดก็ตาม จะได้ข้อมูลและข้อคิดที่เป็นประโยชน์มาก ถ้าหากท่านจะได้อ่าน "รายงานการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ วันที่ 19 กรกฎาคม 2517"
นั่นเป็นเรื่องราวของสงครามแพทย์ครั้งที่ 1
บุคคลที่กรุณาโทรมาหาผม 3 ท่านได้แก่ 2 ท่านแรกก่อน 6 กรกฎาคม
1. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
2. นายแพทย์เกรียงไกร (ขอประทานโทษจำนามสกุลไม่แม่น) ชมรมแพทย์ชนบท
3. ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิทย์ อาจารย์นิดา และคู่กรณีกับสปสช.ร่วมกับแพทย์หญิงเชิดชู
ทั้งท่านรัฐมนตรีทีผมนิยมเลื่อมใส และคุณหมอเกรียงไกรที่ผมยังไม่เคยมีโอกาสพบเป็นกิจลักษณะมีความประสงค์จะให้ข้อมูลที่ท่านมีกับผม ผมได้ขอโทษทั้งคู่ไปว่าโปรดชลอไว้ก่อน ผมพร้อมจะฟังต่อเมื่อผมได้ให้สัมภาษณ์วิทยุหรือทีวีชุมนุมผู้ใช้บริการสาธารณสุข(ชื่อจริงๆผมจำไม่ได้) ในวันที่ 6 กรกฎาคมเสียก่อน ผมได้ขอข้อมูลที่สื่อคณะนั้นมีพร้อมทั้งคำถามล่วงหน้า
เพื่อผมจะได้ตอบได้โดยไม่เข้าข้างหนึ่งข้างใด แต่อาจจะชี้ให้เห็นถึงข้อหรือความบกพร่องของระบบที่อาจจะทำให้คนดีๆทุกฝ่ายตกเป็นเหยื่อ ผมไม่ต้องการเกี่ยวข้องกับตัวบุคคล
ความจริงผมได้เรียนท่านรัฐมนตรีไปว่าในอนาคตอันใกล้นี้ผมอยากเห็นท่านพาประเทศไทยไปประกาศความเป็นผู้นำโลกทาง integrative medicine เพราะไทยเรามีมรดกและคุณสมบัติเหนือผู้อื่นในโลก แต่จะต้องไปทำในต่างประเทศ เพราะในประเทศระบบการเมืองและราชการไม่เอาไหน ซ้ำยังมายกพวกตีกันเสียอีก
ในวันที่ 6 นั้นสื่อที่นัดสัมภาษณ์ผมไม่รักษาสัญญา ผมจึงต่อว่าสื่อว่าจะเอาแต่สนุกยุให้คนตีกัน ตั้งแต่วนนั้นมาทั้ง 2 ท่านและสื่อมิได้โทรมาหาผมอีกเลย
3. ดร.อานนท์ ทีผมรักและนับถือว่าเป็นคนรุ่นใหม่ที่กล้าหาญเอาจริง ส่งข่าวผ่านคนที่คุ้นเคยว่าเป็นห่วงผมเพราะผมเล่นกับชมรมแพทย์ชนบทเต็มๆ กลัวผมจะเสีย ผมขอบคุณไปและบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง อีกไม่นานผมก็จะเสียแล้ว คนอายุขนาดผมจะอยู่ได้นานสักเท่าไร ถ้าเสียผมไปเมื่อไรจะขาดคนที่รักแพทย์ รู้จักแพทย์และสาธารณสุขเมืองไทยมาตลอดชีวิต
วันพุธที่แล้วดร.อานนท์ไลนมาว่าต้องมาพบผมให้ได้เพราะมีข้อมูลสำคัญ ซึ่งนายกเอาด้วยแล้ว ผมบอกว่าอย่ามาเลยส่งข้อมูลมาก็ได้ ผมกำลังจะต้องออกไปประชุมที่วัดบวรฯ เรื่องที่จะประชุมยังเตรียมไม่เสร็จเลย
ผมต้องขออภัยท่านทั้ง 3 อย่างยิ่งที่นำเรื่องมาเล่าโดยขออนุญาตไม่ทัน แต่ผมเห็นว่าทุกท่านหวังดีต่อบ้านเมืองแลให้เกียรติผม ที่ผมเขียนนี้มีเจตนาจะยกย่องท่าน และขอพึ่งท่านเป็นตัวอย่างหรือบทเรียนเพื่อจะช่วยให้สังคมเรารู้จักแก้ปัญหาและข้อขัดแย้งให้มีสัมฤทธิผล
ผมคิดว่าสังคมเราและโดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรหรือสถาบันต่างๆน่าจะเรียนรู้สร้างบันทัดฐานที่เปิดเผยและมีคุณภาพ เพื่อให้เกิดการบริหารที่โปร่งใสตามขั้นตอนและวัตถุประสงค์ที่วางไว้ล่วงหน้าอย่างถูกต้อง และมีวิธีการแก้ความขัดแย้งที่ขึ้นกับหลักการ หลักเกณฑ์และหลักฐาน มิใช่ขึ้นกับตัวบุคคลหรือผู้นำที่สักแต่ว่าจะใช้อำนาจ สังคมไทยกลายเป็นสังคมชั่วคราวที่ไม่น่าเชื่อถือเพราะติดยึดบุคลาธิษฐานและอำนาจ ที่มาแล้วก็ไป
ยังมีท่านผู้หวังดีที่อ่านเฟสบุ๊กแล้วเขียนถึงผมโดยตรงให้ข้อมูลและข้อคิดที่ดีๆ บ้างก็อนุญาตให้เปิดเผย บ้างก็บอกให้เอาข้อมูลไปใช้เฉยๆ
เรื่องสงครามแพทย์นี้เป็นเรื่องใหญ่ กระทบกระเทือนถึงชีวิตและอนาคตของประชาชนและลูกหลานบ้านเมือง การมีข้อมูลและการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบจึงจำเป็นอย่างยิ่ง สถาบันการศึกษาและวิจัยมัวแต่ทำอะไรอยู่ กรรมาธิการสาธารณสุขในสภาก็เช่นเดียวกัน
ผมกำลังรอคำตอบอนุญาตจากผู้ใหญ่ 2 ท่านที่เข้าใจความเป็นมาและตัวบุคคลในสงครามแพทย์ รวมทั้งผู้ปล่อยหมัดแรกเป็นอย่างดี
คอยนิดนะครับ ทราบแล้วรีบตอบด้วย
หมายเหตุุ: เวสารัชชกรณธรรม ธรรมที่ทำให้เกิดความกล้าหาญ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงวางหลัก 5 ประการ เรียกว่า เวสารัชชกรณธรรม ธรรมที่ให้เกิดความกล้าหาญเพื่อให้เราสามารถเอาชนะความวิตกกังวลให้ได้ดังนี้
1.ศรัทธา มีความเข้าใจในเรื่องของกฎแห่งกรรม โลกนี้โลกหน้า บุญบาป เพราะถ้าหากไม่เข้าใจเรื่องดังกล่าว ความคิดจะคับแคบ คิดได้แต่เรื่องสมมุติที่นำมาซึ่งความวิตกกังวล
2.ศีล การรักษาศีลจะทำให้เราเป็นผู้แกล้วกล้าอาจหาญในท่ามกลางที่ประชุมชน เพราะไม่มีความผิดบาปอันใดให้ต้องปกปิด ไม่มีความวิตกกังวลว่าใครจะมาล่วงรู้ข้อผิดพลาด เพราะมือที่ไม่มีบาดแผล ย่อมไม่กลัวยาพิษ เราต้องทำตัวให้เป็นคนไม่มีบาดแผล คือรักษาศีลให้ดีสิ่งนี้จะเป็นเกราะคุ้มกันภัยให้กับชีวิต ไม่ให้บาปอกุศลมาตัดรอน เราจะดำเนินชีวิตด้วยความสุขสบายใจ โปร่งใจ ปลอดกังวลแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นกล้าหาญ
3.พาหุสัจจะ การเป็นผู้ที่มีความรู้มาก จะทำให้เกิดความเชื่อมั่น ดังนั้นไม่ว่าเราจะทำเรื่องอะไรก็ตามต้องศึกษาหาความรู้เรื่องนั้นให้แตกฉาน ให้มีความเชี่ยวชาญรู้จริง เมื่อเรารู้จริงแล้วเราก็จะเกิดความเชื่อมั่นและสามารถทำสิ่งนั้นให้สำเร็จได้
4.วิริยารัมภะ ความพากเพียรวิริยะอุตสาหะ หนักเอาเบาสู้ เป็นพลังสร้างความเชื่อมั่นได้ เมื่อมีปัญหาเกิดอุปสรรคขึ้นมา อย่าเสียเวลานั่งวิตกกังวลแต่ให้ไตร่ตรองดูปัญหาให้รอบคอบด้วยความไม่ประมาท แล้วจึงเดินหน้าสู้ต่ออย่าอยู่เฉย เพราะถ้าอยู่เฉยก็จะคิดวิตกกังวลหมกหมุ่นอยู่กับเรื่องนั้นไม่รู้จบ ดังนั้นจงเดินหน้าทำงานเพื่อแก้ปัญหาเรื่องนั้นหรืออาจทำงานเรื่องใหม่ที่สำคัญยิ่งขึ้นไป เพราะคนเราหาทุ่มเทกับงานใดใจจะไปจดจ่ออยู่กับงาน แล้วความคิดก็จะเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ทำให้ก้าวไปข้างหน้าได้
5.ปัญญา การเจริญสมาธิภาวนา ทำให้เกิดปัญญาในระดับภาวนามยปัญญา เพราะเมื่อเรานั่งสมาธิบุญก็หล่อเลี้ยงใจ พลังบุญจะหนุนส่งพลังใจ ให้เราสามารถเอาชนะความกังวลทั้งหลาย แล้วก็ปฏิบัติภารกิจทุกอย่างได้สำเร็จตามที่ตั้งใจทุกประการ
...............................................................................
เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2559 ศ.ดร.ปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ
กล่าวในการให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ในรายการชวนคิดชวนคุย ของสมาคมเครือข่ายนักสื่อสารชุมชน ออกอากาศทาง
www.aorsocho.com ว่า
สถานการณ์ของเมืองไทยในขณะนี้ ผู้นำประเทศตั้งแต่สูงสุดลงมา ถึงรัฐมนตรี นายกสภามหาวิทยาลัย กรรรมการสรรหาทั้งของหน่วยงานอื่นก็ดี และของ สปสช.ก็ดีไม่เป็นที่น่าเชื่อถือ เพราะมักไม่ทำตามหลักการ หลักเกณฑ์ และหลักฐานในเรื่องที่กระทบถึงประชาชน ถึงผู้ใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัยก็ดี หรือกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ก็ดีที่ต้องรับผิดชอบต่อคนไข้ทั่วประเทศ
ดังนั้นการตัดสินใจในเรื่องใด ต้องยืนอยู่บนหลักการที่ถูกต้อง ไม่ออกนอกหลักเกณฑ์ หากไม่ยืนหยัดหลักการและหลักเกณฑ์ที่ถูกต้องเมื่อไหร่ การตัดสินใจก็จะเป็นในลักษณะที่ใครอยากจะได้ใคร ก็ทำได้ ใช้ดุลยพินิจส่วนตัวที่ไม่สอดคล้องกับกฎหมาย ทำแบบนี้ก็ไม่เกิดประโยชน์กับส่วนรวม
ศ.ดร.ปราโมทย์ กล่าวต่อว่า ในทางการปกครอง หากกลับไปทบทวนและพบว่าทำผิดหลักการและผิดหลักเกณฑ์จริง รมว.สาธารณสุข ก็มีหน้าที่ต้องแก้ไขให้ถูกต้อง แทนที่จะปล่อยให้เกิดสถานการณ์ยกพวกตีกันบนรากฐานของการตีความกฎหมายที่ต่างกัน สถานการณ์ของ 30 บาทรักษาทุกโรค ณ เวลานี้ ตนไม่อยากเห็นสิทธิการรักษาของประชาชนที่ได้รับการยกย่องจากต่างประเทศว่าดี กลายเป็นเรื่องที่กระทบผู้ป่วย จากที่ผู้ป่วยกล้าไปรักษาเพราะรู้ว่ามีสิทธิ ต้องกลายเป็นไม่กล้าไปรักษาเพราะเหมือนเป็นผู้มีรายได้น้อยที่รอความอนุเคราะห์จากหมอ จากโรงพยาบาล ตนไม่อยากให้คิดว่าโครงการนี้เกิดในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตรแล้วต้องทำลาย แม้ว่าความจริงโครงการนี้จะมีที่มาจากข้อเสนอของกลุ่มหมอๆ แต่เกิดในรัฐบาลทักษิณ ซึ่งประชาชนได้ประโยชน์อย่างมาก
ผมห่วง รมว.สาธารณสุขที่เป็นสุภาพบุรุษ เมื่อเข้ามาก็ทำให้เกิดความสงบพอสมควร แต่ในระยะหลังอาจจะถูกชักนำ เข้าใจผิด ไม่เอาหลักการ หลักเกณฑ์ที่ถูกต้องมาใช้ สถานการณ์ตอนนี้เหมือนขิงก็รา ข่าก็แรง การทำงานก็จะล้าหลัง และคนที่แพ้คือประชาชน การทำงานนั้น เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ก็ต้องแก้ไขให้ถูกต้องตามหลักการ หลักเกณฑ์ และหลักฐาน ศ.ดร.ปราโมทย์ กล่าว