ชี้ไทยยังขาดพยาบาลอีกกว่า 4 หมื่นคน สาเหตุขาดพยาบาลมาจากคนต้องการเข้าถึงบริการการแพทย์มากขึ้น ขณะที่หน่วยงานจ้างน้อยลง ขณะที่อนาคตไทยต้องการพยาบาล 1 คนต่อประชากร 400 คน แต่ก็ยังทำไม่ได้ เพราะความต้องการมาก กลับผลิตได้น้อย อาจารย์พยาบาลก็ขาดแคลน จะยิ่งแย่ถ้าลูกจ้างอีกเกือบ 2 หมื่นคนลาออกไปอีก แนะทางแก้ปัญหา 5 ประเด็นใหญ่ ดึงคนเก่าไว้ สร้างคนใหม่ทดแทน ทำให้ชีวิตการงานเจริญก้าวหน้าเหมือนอาชีพอื่น พัฒนาคนเกษียณอายุมาเป็นอาจารย์ ปรับปรุงค่าตอบแทนให้เป็นธรรมและคุณภาพชีวิต สร้างแรงจูงใจสำหรับคนที่อยู่ในพื้นที่กันดารและขาดแคลน
จากกรณีที่ศูนย์ข่าว TCIJ ได้นำเสนอข่าวกลุ่มวิชาชีพพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศ เตรียมรวมตัวกันเพื่อออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลโดย กระทรวงสาธารณสุขและสำนักงาน ก.พ.เร่งแก้ไขปัญหาการบรรจุตำแหน่งราชการให้กับพยาบาลลูกจ้าง และ ปัญหาความการขึ้นสู่ตำแหน่งพยาบาลชำนาญการพิเศษที่ยังติดขัดอีก 300 กว่าตำแหน่ง โดยระบุว่าหากรัฐบาลยังไม่เร่งแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม จะมีการรวมตัวกันหยุดงาน พร้อมเรียกร้องให้สังคมหันมาให้ความสำคัญกับอาชีพพยาบาลเนื่องจากเป็นอาชีพที่ต้องทำงานในสภาวะกดดัน และความคาดหวังของสังคมจนเป็นสาเหตุที่ทำให้ปัจจุบันเกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด้านพยาบาลอย่างรุนแรง
นายกฯแถลงชัดจะพัฒนาคุณภาพบริการสุขภาพทั้งระบบ
ทั้งนี้ศูนย์ข่าว TCIJ ได้ติดตามข้อมูลในปัญหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยได้เข้าขอข้อมูลจาก ดร.กฤษดา แสวงดี อุปนายกสภาการพยาบาล ซึ่งได้ติดตามศึกษาประเด็นดังกล่าว พร้อมกันนี้ได้มีการดำเนินการจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อการแก้ปัญหาและเตรียมที่จะนำเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดย ดร.กฤษดาเปิดเผยว่า จากนโยบายของคณะรัฐมนตรี ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 23 ส.ค.2554 ที่ผ่านมา มีนโยบายเกี่ยวกับการพัฒนาสุขภาพของประชาชนอยู่ด้วย ระบุว่า รัฐบาลมีนโยบายลงทุนด้านบริการสุขภาพ โดยการพัฒนาคุณภาพบริการสุขภาพทั้งระบบ พัฒนาระบบสารสนเทศด้านสาธารณสุข และเร่งผลิตบุคลากรทางการแพทย์ให้เพียงพอและยัง กำหนดแผนงานแก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ ให้สอดคล้องกับจำนวนประชากรในพื้นที่ สนับสนุนให้มีการเร่งผลิตแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้กลับไปปฏิบัติงานในภูมิลำเนาในชนบท พร้อมกับการสร้างขวัญกำลังใจในเรื่องของความก้าวหน้าและค่าตอบแทนที่เหมาะสมและเป็นธรรม ซึ่งการแถลงนโยบายครั้งนั้นถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาระบบสุขภาพของประเทศ ที่จะทำให้ประชาชนได้รับบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานที่ได้มาตรฐานมีคุณภาพอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
นอกจากนี้นโยบายด้านสาธารณสุข 16 ประการ ของนายวิทยา บูรณศิริ รมว.สาธารณสุข ก็ได้สร้างความชัดเจนในแนวทางการพัฒนาการสาธารณสุขของประเทศ และการพัฒนาบุคลากร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พยาบาลที่ยังมีความขาดแคลน และปัญหาความก้าวหน้าของผู้ประกอบวิชาชีพที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ประชาชนต้องการบริการเพิ่ม-ข้อจำกัดการจ้าง สาเหตุปัญหาขาดแคลนพยาบาล
ชี้มี 2 ปัจจัยทำให้ขาดแคลนพยาบาล
ดร.กฤษดากล่าวว่า ปัจจุบันการขาดแคลนพยาบาล ซึ่งเป็นกำลังคนหลักในระบบบริการสุขภาพ ทำให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลไม่สามารถเข้าถึงการบริการได้อย่างเต็มที่ ซึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนพยาบาล พบว่ามี 2 ประการหลัก คือ ความต้องการด้านสุขภาพของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น และ หน่วยงานมีข้อจำกัดในการจ้างงาน และไม่สามารถรักษากำลังคนพยาบาลไว้ในระบบบริการสุขภาพได้ตามความต้องการ สวนทางกับความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และระบาดวิทยา ประกอบกับการขยายหลักประกันสุขภาพแก่ประชาชนไทย และการขยายบริการสุขภาพ เพื่อรองรับการเปิดเสรีด้านการค้าบริการ ในฐานะศูนย์กลางการบริการการแพทย์ (Medical Hub) ในภูมิภาคเอเชีย ทำให้ให้มีความต้องการพยาบาลเพิ่มมากขึ้น แม้จะมีความพยายามในการแก้ปัญหานี้อย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่ได้ทำให้ปัญหาคลี่คลายลงจนถึงปัจจุบัน
อนาคตคนไทยต้องการพยาบาล 1 คน ต่อ 400 คน
จากข้อมูลผลการศึกษาของสภาการพยาบาล เพื่อคาดประมาณความต้องการพยาบาลในระยะ 10 ปีข้างหน้า ด้วยวิธี Health Demand Method ทั้งจากการใช้บริการสุขภาพของประชาชนไทย ประมาณ 65 ล้านคน และชาวต่างชาติ พบว่า ในระหว่างปี พ.ศ.2553-2562 ประเทศไทยจะมีความต้องการพยาบาลใน อัตราส่วนพยาบาล 1 คน ต่อ 400 ประชากร หรือประมาณ 163,500-170,000 คน ซึ่งผลการสำมะโนประชากรในปีพ.ศ. 2553 พบว่ามีประชาชนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย 65.4 ล้านคน ควรจะต้องมีพยาบาลวิชาชีพประมาณ 163,500 คน ในขณะที่มีพยาบาลวิชาชีพอายุน้อยกว่า 60 ปี ทำงานในภาคบริการสุขภาพทั่วประเทศ ประมาณ 130,388 คน (ข้อมูลของสภาการพยาบาล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2554) ยังขาดแคลนอยู่ ประมาณ 33,112 คน ซึ่งเป็นการขาดแคลนในกระทรวงสาธารณสุขมากที่สุด ประมาณ 21,000 คน สำหรับพยาบาลด้านอาชีว-อนามัย มีความต้องการอีกประมาณ 8,000 คน สำหรับการดูแลด้านสุขภาพของผู้ประกอบอาชีพและการขาดแคลนนี้ จะมากยิ่งขึ้นถ้าพยาบาลวิชาชีพที่เป็นลูกจ้างชั่วคราว 18,000 คน ลาออกจากกระทรวงสาธารณสุข
ส่วนการขาดแคลนในโรงพยาบาลอื่นๆ ในสังกัดภาครัฐและโรงพยาบาลเอกชน ประมาณ 12,100 คน จำนวนพยาบาลที่ทำงานในภาคบริการของประเทศในปัจจุบัน มีจำนวนใกล้เคียงกับไต้หวัน ในขณะที่มีประชากรของประเทศไทยสูงกว่าไต้หวัน 3 เท่า รวมประมาณการขาดแคลนพยาบาลโดยรวมในปัจจุบันมีสูงถึง 41,100 คน
ขาดแคลนพยาบาลทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อมากขึ้น
ดร.กฤษดากล่าวต่อว่า ปัญหาการขาดแคลนพยาบาล ไม่ได้เกิดเพียงเฉพาะที่ประเทศไทยเท่านั้น แต่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก จากสาเหตุที่แตกต่างกัน จากการศึกษาขององค์การอนามัยโลกพบว่า ความเพียงพอของพยาบาล ส่งผลสำคัญที่จะสามารถลดอัตราการตายของมารดาและทารกลงได้ เพราะจะสามารถให้ความครอบคลุมการให้วัคซีนในเด็กเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นการขาดแคลนพยาบาล ยังส่งผลกระทบต่อการให้บริการแก่ประชาชน โรงพยาบาลขนาดใหญ่หลายแห่ง ไม่สามารถเปิดแผนกผู้ป่วยหนักได้ บางแห่งไม่สามารถเปิดให้บริการหอผู้ป่วยในใหม่ให้เพียงพอได้ ทั้งที่มีอาคารและเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆพร้อมแล้ว ทำให้เกิดสภาพผู้ป่วยล้นเตียง
นอกจากนี้ยังพบว่า โรงพยาบาลที่ขาดแคลนพยาบาลวิชาชีพ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีการติดเชื้อในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น มีภาวะแทรกซ้อนเพิ่มมากขึ้น อัตราการตายในโรงพยาบาลสูงขึ้น และระยะเวลาการนอนในโรงพยาบาลของผู้ป่วยนานขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและการสูญเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลอีกด้วย
สาเหตุสำคัญคือต้องการมากแต่ผลิตน้อย
ส่วนสาเหตุที่ทำให้พยาบาลขาดแคลนมากนั้น ดร.กฤษฎากล่าวว่า เป็นประเด็นปัญหาที่ถูกพูดถึงมาโดยตลอด แต่กลับยังพบว่ายังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง โดยสาเหตุหลักๆ ได้แก่ 1.ความต้องการด้านสุขภาพของประชาชนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากและรวดเร็ว ในขณะที่รัฐมีข้อจำกัดในการผลิต ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาการบริการด้านสุขภาพมากขึ้น ทั้งด้านความก้าวหน้าทางวิทยาการและเทคโนโลยีทางการแพทย์ รวมทั้งการขยายสถานบริการสาธารณสุขไปยังพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศถึงระดับตำบล และจากความสำเร็จของระบบประกันสุขภาพ หลังจากประกาศใช้พระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งปัจจุบันประชาชนไทยมีหลักประกันครอบคลุมถึง ร้อยละ 97.4 และ ก็ทำให้มีประชาชนมาใช้บริการสุขภาพในสถานบริการสาธารณสุขเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน จึงเป็นการเพิ่มผู้ป่วยมากขึ้น
“จากรายงานการให้บริการของสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีการใช้บริการผู้ป่วยนอก, ผู้ป่วยในและการผ่าตัดเพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 21.77, ร้อยละ 14.58 และร้อยละ 33.36 ตามลำดับ แต่กำลังคนพยาบาลมีอัตราเพิ่มเพียงร้อยละ 9.01 ต่อปีเท่านั้น ซึ่งเป็นผลของการลดการผลิตพยาบาลวิชาชีพ และนโยบายการลดขนาดกำลังคนภาครัฐ ตั้งแต่ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจปีพ.ศ.2540 เป็นต้นมา ทำให้มีพยาบาลวิชาชีพที่สำเร็จการศึกษาใหม่ เข้าทำงานในโรงพยาบาลภาครัฐลดลง ตั้งแต่ปีพ.ศ.2547 เป็นต้นมา ประกอบกับมีการขยายตัวอย่างมากของบริการสุขภาพภาคเอกชน โดยเฉพาะการส่งเสริม Medical Hub ส่งผลให้ความต้องการพยาบาล เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากอีกด้วย” ดร.กฤษดากล่าว
อาจารย์พยาบาลก็ขาดแคลน
ดร.กฤษฎากล่าวต่อว่า นอกจากนั้นการพัฒนาศูนย์การแพทย์ที่เป็นเลิศ (Excellent center) ของโรงพยาบาลต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งต้องใช้เทคโนโลยีการรักษาพยาบาลขั้นสูง เป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ ในการเปิดเสรีการค้าบริการสุขภาพ ส่งผลให้มีความต้องการที่จะต้องพัฒนาทักษะความเชี่ยวชาญของพยาบาลเฉพาะทาง ให้สอดคล้องกับด้านการแพทย์อย่างต่อเนื่องอีกปีละกว่า 1,000 คน ซึ่งความต้องการกำลังคนที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้เอง ทำให้สถาบันการศึกษาพยาบาลทั้งภาครัฐและเอกชน ต่างต้องเพิ่มการผลิตพยาบาลจาก ปีละ 6,000 คน เป็น ปีละ 7,000-8,500 คน ระหว่างปี 2549-2553 (Mega project) และจะต้องเพิ่มเป็น ประมาณ 9,000 คนต่อปี ระหว่างปี 2554-2559 อย่างไรก็ตามปัญหาก็ยังเกิดตามมาอีก เมื่อยังคงมีข้อจำกัดจากการขาดแคลนอาจารย์พยาบาลอีกกว่า 1,000 คน เนื่องจากขาดแรงจูงใจผู้ที่จะเข้าทำงานเป็นอาจารย์
ขาดตำแหน่งบรรจุเป็นขรก.ยิ่งไหลไปสู่ร.พ.เอกชน
นอกจากนี้สาเหตุสำคัญที่ทำให้สถานการณ์การพยาบาลกำลังรุนแรงมากขึ้น อีกประเด็นหนึ่งคือ การขาดตำแหน่งราชการบรรจุพยาบาลวิชาชีพ ซึ่งจากนโยบายลดขนาดกำลังคนภาครัฐ ซึ่งก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปี2545เป็นต้นมา ทำให้มีการยกเลิกการให้ทุนนักศึกษาพยาบาล ที่เดิมได้รับการคัดเลือกจากชนบท และรับทุนการศึกษาเพื่อเรียนในสถาบันการศึกษาพยาบาลใกล้บ้าน และเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว ก็จะได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการ เพื่อทำงานในภูมิลำเนา ที่ดำเนินการมากว่า 50 ปี
แต่เมื่อมีการยกเลิกการให้ทุนและลดกรอบอัตราตำแหน่งราชการทำให้กระทรวงสาธารณสุข และภาครัฐ ต้องจ้างพยาบาลเป็นลูกจ้างชั่วคราว ในขณะที่ภาคเอกชนเริ่มขยายบริการหลังวิกฤติเศรษฐกิจ และต้องการพยาบาลเพิ่มด้วยเช่นกัน
จากข้อมูลพบว่า ในระหว่างปี 2549-2553 จำนวนพยาบาลวิชาชีพทำงานเต็มเวลาในโรงพยาบาลเอกชน เพิ่มจาก11,000 คน เป็น 15,000 คน เป็นการเพิ่มถึงร้อยละ 36.36 ในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งการเข้างานสู่งานในภาคเอกชนของพยาบาลวิชาชีพปีละประมาณ 1,000 คน สภาการพยาบาลคาดว่า ในอีก 5 ปี ข้างหน้า ภาคเอกชนจะต้องการพยาบาล ถึง 20,000 คน เนื่องจากโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ได้เข้าสู่กระบวนการรับรองคุณภาพจาก JCI ที่กำหนดให้มีการจัดอัตรากำลังพยาบาล เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย ตามมาตรฐานบริการพยาบาลสากล ซึ่งมาตรฐานอัตรากำลังของพยาบาลไทยต่ำกว่าที่กำหนดของมาตรฐานวิชาชีพอยู่ถึงร้อยละ 30 ซึ่งหากปล่อยให้การแข่งขันในกลไกตลาดแรงงานดำเนินต่อไป อาจทำให้เกิดการบริการ 2 มาตรฐานระหว่างภาครัฐ และเอกชน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการที่มีคุณภาพของประชาชนไทยที่ไม่มีกำลังจ่าย
“ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขมีพยาบาลที่เป็นลูกจ้างชั่วคราวประมาณ 18,000 คน และยังขาดแคลนทั่วประเทศอยู่อีกประมาณ 33,112 คน ซึ่งการขาดแคลนก็จะทำให้ผู้ที่อยู่ในระบบต้องทำงานหนักขึ้น เสี่ยงต่อความผิดพลาด และการฟ้องร้องก็จะทำให้มีการลาออกมากขึ้น การขาดแคลนกำลังคนในกระทรวงสาธารณสุข และภาครัฐอื่นๆ นี้ ทำให้โรงพยาบาลหลายแห่ง มีการปรับตัวอย่างไร้ทิศทาง เพื่อให้สามารถดึงดูดให้พยาบาลเข้ามาทำงาน และรักษาคนไว้ในระบบ โดยเฉพาะการเพิ่มอัตราเงินเดือน และค่าตอบแทนต่างๆในโรงพยาบาลในเมืองให้ทัดเทียมภาคเอกชน ทำให้ขาดแรงจูงใจที่คนจะไปทำงานในเขตชนบท เพราะค่าตอบแทนต่ำกว่า ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายภาครัฐสูงขึ้นในขณะที่ได้ประสิทธิผลเท่าเดิม ซึ่งหากปล่อยให้สถานการณ์เป็นอยู่เช่นนี้ จะทำให้ต้นทุนด้านสุขภาพของประชาชนสูงขึ้นอย่างแน่นอน” ดร.กฤษดาระบุ
น่านสูญเสียพยาบาลสูงถึงร้อยละ 90 ต่อปี
นอกจากจะมีการสูญเสียพยาบาลเนื่องจากการสูงอายุ และเกษียณอายุกว่าปีละ 2,000 คนในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้าแล้ว ยังพบว่ามีการสูญเสียพยาบาล ที่ลาจากวิชาชีพก่อนวัยอันควรอีกด้วย ผลการศึกษาเพื่อคาดประมาณระยะเวลาการทำงานในวิชาชีพพบว่า ในช่วง ปี 2538 และปี 2548 พยาบาลวิชาชีพ มีระยะเวลาทำงานในงานบริการสุขภาพเฉลี่ย เพียงคนละ 22.5 ปีเท่านั้น และมีอัตราการสูญเสียร้อยละ 4.45 ต่อปี สาเหตุสำคัญของการออกจากวิชาชีพก็คือ การขาดความก้าวหน้าในการทำงาน มีปัญหาสุขภาพ ค่าตอบแทนน้อย งานหนัก และการขาดความมั่นคงจากการถูกจ้างานเป็นลูกจ้างชั่วคราว
โดยในปี 2548 ซึ่งเป็นปีแรกที่กระทรวงสาธารณสุขไม่มีตำแหน่งข้าราชการรองรับพยาบาลที่สำเร็จการศึกษา จึงต้องจ้างพยาบาลวิชาชีพเป็นลูกจ้างชั่วคราว จากเงินบำรุงของหน่วยบริการ มีการสูญเสียพยาบาลวิชาชีพสูงถึงร้อยละ 23.3 ของผู้สำเร็จการศึกษาในปีนั้น โดยจังหวัดที่อยู่ห่างไกลมีอัตราการสูญเสียสูงมาก เช่น จ.น่าน มีการสูญเสียถึงร้อยละ 90 ของจำนวนโควต้าพยาบาลที่จังหวัดได้รับจัดสรร ส่วนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พบว่าอัตราการสูญเสียต่ำมาก เพียงร้อยละ 7.7 ทั้งนี้ เนื่องจากในช่วงเกิดวิกฤตในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กระทรวงสาธารณสุขใช้มาตรการพิเศษ โดยการจัดสรรอัตราตำแหน่งว่างที่มีอยู่ในขณะนั้น เพื่อใช้บรรจุพยาบาลวิชาชีพที่สำเร็จการศึกษา ซึ่งเป็นโควตาของพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งสามารถช่วยแก้ปัญหาการสูญเสียพยาบาลวิชาชีพออกจากพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
มูลค่าความสูญเสียจากการลาออกสูงถึงปีละ 90 ล้านบาท
ดร.กฤษฏายังให้ข้อมูลต่ออีกว่า จากผลการศึกษาเดียวกัน ยังพบด้วยว่า การลาออกของพยาบาลวิชาชีพที่เป็นลูกจ้างของโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป 95 แห่ง ในระหว่างปี 2548-2553 มีอัตราการลาออกรวม ร้อยละ 40.84 โดยในจำนวนนี้เป็นการลาออกภายในปีแรกของการทำงานถึงร้อยละ 48.68 และออกภายในปีที่ 2 ร้อยละ 25.57 ถ้าไม่ได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการ ส่งผลให้อายุการทำงานเฉลี่ยของพยาบาลวิชาชีพที่สำเร็จการศึกษาใหม่ ในโรงพยาบาลโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปสั้นเพียง 1.2 ปีเท่านั้นหากประมาณค่าความสูญเสียเป็นตัวเงินจากการลาออก และการมีอายุการทำงานสั้นของลูกจ้างเหล่านี้ ทำให้อัตราการสูญเสีย ร้อยละ 80.05 ต่อปี ซึ่งสูงกว่ากลุ่มข้าราชการ ถึง 18 เท่า จึงทำให้เกิดความสูญเสียอย่างมากในระบบกำลังคน
“หากคำนวณเป็นตัวเงินตามที่มีการศึกษาพบว่า Cost of turnover ของพนักงานที่เข้าใหม่ จะประมาณ ร้อยละ 30-50 ของ Annual salary เงินเดือนของตำแหน่งนั้นใน 1 ปี เช่นในระหว่าง 5 ปีที่ผ่านมามีพยาบาลที่มีค่าจ้างประมาณ 15,000 บาทต่อเดือน ลาออกรวมปีละ 1,000 คน จะเป็นการสูญเสียถึง 90,000,000 บาทต่อปี โดยที่รัฐและประชาชนไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร จากการลงทุนมหาศาลในการผลิตพยาบาลใหม่มาชดเชยความสูญเสียดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงสาธารสุขที่ลงทุนผลิตพยาบาลวิชาชีพถึงปีละ 2,500–3,000 คน แต่ไม่มีอัตรารองรับ จึงต้องสูญเสียไปอย่างน่าเสียดาย” ดร.กฤษฎาระบุ
มีต่อ