ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อร่างพ.ร.บ.เรียกค่าคุ้มครองฯ เป็นกฎหมาย  (อ่าน 1271 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9796
    • ดูรายละเอียด
เมื่อร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ. …เป็นกฎหมาย
การดูแลรักษาผู้ป่วยโดยหลักการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ในโรงพยาบาล จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป
นพ.อุสาห์ พฤฒิจิระวงศ์       
๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๓

มาตรการ๕ข้อที่มีการกล่าวถึงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่ใช่คำขู่ หรือเป็นการประท้วงของหมอหรือดูแลผู้ป่วย แต่เป็นการบอกให้สังคมทราบว่า ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขบังคับให้หมอไม่สามารถใช้ หลักความช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ดูแลคนไข้อีกต่อไปได้ แต่ต้องใช้หลักการจัดสรรทรัพยากรในการดูแลคนไข้แทน เนื่องจากกฎหมายจะบังคับให้การดูแลคนไข้เป็นการขายบริการชนิดหนึ่ง การขายบริการต้องขายตามทรัพยากรที่ได้รับการจัดสรรมา       

ในปีพ.ศ.๒๕๕๒การตรวจผู้ป่วยที่โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขซึ่งมีถึง๑๕๒ล้านครั้งและผู้ป่วยในมีถึง๑๐ล้านครั้ง(จาก http://bps.ops.moph.go.th/index.php?mod=bps&doc=5) เนื่องจาก หมอมีน้อยคนไข้มีมาก (ปัจจุบัน แพทย์ที่ลงทะเบียนและปฏิบัติงานในกระทรวงสาธสารณสุข-ไม่ใช่ผู้บริหาร มีจำนวน๙,๐๙๖คน...แพทยสภา) คนไข้ยอมอนุโลมกับหมอและรัฐบาล หมอยอมอนุโลมกับคนไข้และรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลจัดทรัพยากร(คน-เงิน-ของ)มาดูแลประชาชนอย่างจำกัด ประชาชนจำเป็นต้องยอมรับการดูแลจากรัฐบาลเช่นนั้น ผู้ปฏิบัติงานหรือหมอ ก็ยอมทำงานเพื่อประชาชนเช่นนั้น ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นโดยการดูแลที่เต็มที่แล้วย่อมเหลือเหตุเพียงอย่าง เดียวคือ เหตุจากการจัดสรรทรัพยากรให้แก่โรงพยาบาลอย่างจำกัดรัฐบาลจัดกำลังคนผ่านกพ.(คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน)ซึ่งห้ามเพิ่มจำนวนข้าราชการ รัฐบาลจัดเงินผ่านสปสช.(สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ-ตามพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๕) ซึ่งจ่ายเงินไม่ครบตามที่โรงพยาบาลใช้ในการดูแลคนไข้และล่าช้า  ทำให้เกิดการขาดแคลนทรัพยากรอย่างรุนแรง 

ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากปัญหาจริยธรรมบกพร่องและประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงนั้น น้อยมาก รัฐบาลจะทำการลงโทษอย่างไรก็ทำไป แต่ข้อ ผิดพลาดจากการอยู่ภายใต้ทรัพยากรที่จำกัดอย่างสาหัสนั้นเกิดจากการดูแลรักษา คนไข้ต้องเป็นไปโดยอนุโลม และการรักษามาตรฐานการทำงานโดยเคร่งครัดนั้นทำไม่ได้ ยกตัวอย่าง เช่น

การรับคนไข้ของหอผู้ป่วยแห่งหนึ่ง หากกำหนดไว้ว่า๓๐เตียง แต่ความเป็นจริงอาจจะ๓๕เตียง มาตรฐานเตียงต้องห่างกันอย่างน้อย๑เมตรย่อมเป็นไปไม่ได้ และยังมีที่ระเบียงอีกนับ๕นับ๑๐ คนไข้มีสิทธิที่จะบอกว่า ไม่ยอมอนุโลมให้รัฐบาลเพราะระเบียงไม่ใช่มาตรฐานการรักษาในโรงพยาบาล หมอก็มีสิทธิที่จะบอกว่าไม่ยอมอนุโลมให้รัฐบาลด้วยเหตุผลเดียวกัน และโดยเฉพาะที่ห้องตรวจคนไข้นอก คนไข้อาจบอกว่า เวลาตรวจน้อยไป เพราะเข้าไปในห้องยังไม่ทันนั่งถนัดเลย หมอตรวจเสร็จแล้ว หมอก็อาจบอกว่า หมอคนหนึ่งจะต้องใช้เวลาตรวจตามมาตรฐานอังกฤษอเมริกาหรือสวีเดน จะต้องใช้เวลาสำหรับคนไข้ประมาณคนละ๑๕-๒๐นาที วันหนึ่งหมอหนึ่งคนจะตรวจได้อย่างมาก๒๘คน ตามมาตรฐาน คนไข้กับหมอก็จำยอมและอนุโลมต่อการจัดทรัพยากรที่ขาดแคลนอย่างหนักโดย รัฐบาล(http://www.commonwealthfund.org/Content/Performance-Snapshots/Responsiveness-of-the-Health-System/Time-Spent-with-Physician.aspx )

แต่เมื่อรัฐบาลจะออกกฎหมายบังคับ ให้หมอที่ปฏิบัติงานโดยอนุโลมแต่เต็มที่ตามจริยธรรมและมาตรฐานเท่าที่จะ สามารถทำได้นั้น มีความเสี่ยงถูกฟ้องร้องดำเนินคดีตลอดชีพมากขึ้น มีความเสี่ยงที่ทรัพยากรโรงพยาบาลจะลดน้อยลงเพราะถูกเรียกเก็บเงินเข้ากอง ทุนตามข้องกำหนดในร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ซึ่งความเสี่ยงนี้ จะทำให้หมอทั้งหลายต้องบอกประชาชนว่า ไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายดังกล่าว แต่ ถ้าออกกฎหมายนี้มาเมื่อไร การที่หมอจะดูแลคนไข้โดยอนุโลมดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ทำไม่ได้ เพราะการอนุโลมเป็นการเพิ่มความเสี่ยงเป็นอันตรายต่อสวัสดิภาพชีวิตและครอบ ครัวของหมอและผู้ร่วมงานอย่างไม่เป็นธรรม เพราะคนเสนอกฎหมายไม่ใช่คนทำงานและไม่ใช่คนที่จะมีความเสี่ยงเช่นหมอกับคน ไข้ แต่เป็นคนที่จะไปนั่งบริหารกองทุนและสามารถเลือกสรรโรงพยาบาลให้แก่ตนเองโดย ไม่ต้องเสี่ยงอย่างคนไข้ทั่วไป ดังไม่เคยปรากฏว่าผู้สนับสนุนร่างกฎหมายไปนั่งรอตรวจในโรงพยาบาลที่ซอมซ่อแออัดเช่นที่คนไข้ทั่วไปเป็นอยู่กันมา   

ด้วยข้อจำกัดของทรัพยากรและกฎหมาย หมอ คนหนึ่งจึงต้องตรวจคนไข้เพียงวันละ๒๘ราย ตามมาตรฐานที่พึงปฏิบัติ โรงพยาบาลจังหวัดหนึ่งหากมีหมอไม่นับรวมผู้บริหารแล้วจำนวน๓๓คน สมมุติว่า ตรวจคนไข้เหมือนกันหมด (แต่ความเป็นจริงไม่เหมือนกัน เพราะต่างสาขาต่างโรค) จะตรวจคนไข้ที่รักษาตัวในโรงพยาบาล๕๐๐ราย ใช้หมอจำนวน๑๘คน ตรวจคนไข้นอกใช้หมอที่เหลือคือ๑๕คน ตรวจได้เพียงวันละ๔๕๐ราย ดังนั้น แต่เดิมโดยอนุโลมโรงพยาบาลสามารถรับตรวจผู้ป่วยนอกวันละ๑,๒๐๐ราย จะลดจำนวนคนไข้นอกลงเหลือวันละไม่เกิน๔๕๐ราย อีก๗๕๐ ราย ไม่สามารถรับบัตรคิวได้ นอกเวลาราชการเป็นการตรวจคนไข้อุบัติเหตุและฉุกเฉินเท่านั้น ที่ไม่ได้รับการตรวจก็สามารถไปใช้บริการโรงพยาบาลและคลินิกเอกชนได้ตาม อัธยาศัย

ดังนั้นการรักษาคนไข้ตามกำลังความสามารถที่เคยอนุโลมกันมานานก็จะเปลี่ยนไป โดยพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการทางการแพทย์ จะบังคับให้หมอต้องใช้มาตรฐานตามการจัดสรรทรัพยากรเป็นหลัก ไม่สามารถใช้ความเมตตากรุณาที่มีต่อกันได้ เพราะกฎหมายกำหนดให้การดูแลรักษาคนไข้เป็นการขายบริการ ไม่ใช่การช่วยเหลือกันประสาเพื่อนร่วมทุกข์อีกต่อไป

บทสรุปเพิ่มเติม


๑.เดิมหมอกับคนไข้อนุโลมกับรัฐบาล คนไข้ยอมรับการตรวจรักษาตามที่โรงพยาบาลสามารถจัดให้ หมอยอมตรวจรักษาคนไข้จนกว่าจะหมด ไม่ได้กำหนดเวลา ไม่มีทรัพยากรก็หาเอง ทอดกฐินผ้าป่า

๒.รัฐบาลมีหน้าที่จัดบริการสาธารณะ ต้องมีคน-เงิน-ของ(เครื่องมือ-สถานที่) แต่รัฐออกนโยบายไม่้เพิ่มข้าราชการ เอาเงินให้สปสช.แทนการให้โรงพยาบาล สปสช.ออกมาตรการไม่จ่ายเงินให้โรงพยาบาล

๓.รัฐบาลออกกฎหมายคุ้มครองผู่เสียหายฯแต่ทำให้ให้เกิดกลไกให้มีการจูงใจให้ร้องเรียน และฟ้องร้องมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงมหาศาลแก่หมอและผู้ร่วมงาน และเกิดช่องทางสูญเสียเงินของโรงพยาบาลมากขึ้นตามกฎหมาย

๔.หมอต้องใช้มาตรฐานการทำงานตามมาตรฐานสากล คือ ประเทศอังกฤษและอเมริกา แพทย์จะตรวจคนไข้ใช้เวลา ๑๕-๒๐นาที ใช้มาตรการทำงานตามการจัดสรรทรัพยากร

      โดยหลักธรรมชาติ ไม่มีเงินไม่มีข้าวกิน ไม่มีเครื่องมือ ทำงานไม่ได้