แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - power

หน้า: 1 [2]
16

เนื้อหาการสัมมนา (ตอนที่ 1)

   การสัมมนาเรื่องมาตรฐานการแพทย์และสาธารณสุขไทย จัดโดยสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย(สผพท.)โดยได้รับการสนับสนุนจากAC-02(ศิษย์เก่าอัสสัมชัญ-02) การจัดสัมมนาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ที่สำคัญเพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่ามาตรฐานทางการแพทย์และสาธารณสุขคืออะไร สามารถวัดระดับคุณภาพมาตรฐานได้อย่างไร? และควรมีการกำหนดมาตรฐานการแพทย์และสาธารณสุขไทยหรือไม่? และในปัจจุบันนี้ได้มีการกำหนดมาตรฐานนี้ไว้หรือไม่? อย่างไร และประชาชนต้องการให้มีการกำหนดมาตรฐานการแพทย์หรือไม่?

 ในตอนแรกพญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา ได้นำเสนอเรื่องความสำคัญของการมีมาตรฐาน เริ่มจากกล่าวว่าตามความหมายของมาตรฐานในภาษาอังกฤษ Standard is defined as “Something established by authority, custom, or general consent as a model or example”แปลว่า มาตรฐานคือการกำหนดโดยผู้มีอำนาจ(กำหนด) หรือเป็นการกระทำ(สิ่ง)ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป หรือเป็นสิ่ง(การกระทำ)ที่เป็นต้นแบบหรือแบบอย่าง

ถ้าพูดว่ามาตรฐาน ในความหมายคำคุณศัพท์ที่อธิบายการกระทำหรือสิ่งของแล้ว การกระทำที่มีมาตรฐานจึงหมายถึง  “conforming to a standard as established by law or  custom หมายความว่า ทำตามมาตรฐานที่กำหนดตามกฎหมายหรือประเพณี โดยการที่จะทำสิ่งใดๆตามมาตรฐานจึงต้องมีหลักเกณฑ์หรือแนวทางในการปฏิบัติ ได้แก่ กระบวนการ(process) วิธีการ (procedure) กำหนดการ(term) ทางเลือก (options)  หรือการจัดระเบียบ (arrangement)
การทำตามมาตรฐานนี้ จะเกิดขึ้นจากการที่ยึดถือกันมาตามที่กำหนดไว้จนเป็นเรื่องเป็นปกติและทำให้เกิดความเหมือนกัน (uniformity )และความคงเส้นคงวา(ทำที่ไหน ทำเมื่อไรก็เหมือนกัน)

 ซึ่งการกำหนดมาตรฐานเป็นสิ่งที่สังคมยึดถือเป็นแนวทางในกิจการใดๆก็ได้ ไม่ว่าในด้านการผลิต การอุตสาหกรรม การค้าขาย การเกษตร และยังรวมไปถึงระเบียบ แบบแผน จริยธรรม กฎหมาย วัฒนธรรม ที่คนในสังคมยึดถือกันต่อๆมา จนเป็นที่ยอมรับกันในสังคมต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยและความสะดวกและปลอดภัยจากกิจกรรม การปฏิบัติ พฤติกรรม หรือผลผลิตจากกิจกรรมนั้นๆ เช่นมาตรฐานอุตสาหกรรม มาตรฐานโรงพยาบาล มาตรฐานการแพทย์ มาตรฐานยา หรืออาหารของเล่นเด็ก ฯลฯ

  ในด้านการแพทย์และสาธารณสุขหรือการดูแลรักษาสุขภาพ ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิต สุขภาพ และคุณภาพชีวิตของบุคคลทุกคนที่ต้องได้รับการดูแลรักษาสุขภาพจากระบบการแพทย์และสาธารณสุข การบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขที่มีมาตรฐานจะเป็นการประกันความปลอดภัยต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชนอย่างแน่นอน

 โดยได้ยกตัวอย่างเปรียบเทียบจากสหภาพยุโรปว่า ประเทศต่างๆในยุโรป ได้รวมตัวกันเป็นสหภาพยุโรป (European Union หรือ EU)  ได้เห็นความสำคัญของมาตรฐานทางการแพทย์หรือที่เรียกว่า “มาตรฐานการดูแลรักษาสุขภาพ (Healthcare)” โดยได้ทำความตกลงกันในระหว่างทุกประเทศที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (European Union หรือ EU) ในการกำหนดมาตรฐานการดูแลสุขภาพร่วมกัน เพื่อให้ประชาชนในประเทศสมาชิกสามารถเดินทางไปในประเทศต่างๆได้ทุกประเทศ โดยไม่ต้องกังวลกับสุขภาพของตน เนื่องจากถ้าไปเจ็บป่วยที่ประเทศอื่นซึ่งไม่ใช่ประเทศที่ตนอาศัยอยู่ ประชาชนทุกคนก็สามารถที่จะมั่นใจได้ว่าตนสามารถที่จะได้รับการดูแลรักษาสุขภาพได้อย่างมีมาตรฐานและปลอดภัยในทุกแห่ง เหมือนกับอยู่ในประเทศของตน
สำหรับในสหรัฐอเมริกานั้น  มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานในการที่ประธานาธิบดีแต่ละคน ได้มีความริเริ่มที่จะให้มีระบบการ “ประกันสุขภาพ” เพื่อให้ประชาชนทุกคน มีหลักประกันว่า จะได้รับการดูแลรักษาสุขภาพเมื่อเกิดการเจ็บป่วยขึ้น ซึ่งความพยายามนี้ เริ่มมีผลจากภาคประชาชนในรัฐเท็กซัสได้รวมตัวกันจ่ายเงินเป็นการประกันสุขภาพกลุ่ม ต่อมาในปีพ.ศ.2478 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt พยายามจะทำให้ประชาชนทุกคนมีการประกันสุขภาพ เพื่อให้ประชาชนที่เจ็บป่วยทุกคน ได้รับการดูแลรักษาสุขภาพ แต่ยังไม่สำเร็จ จึงได้เริ่มต้นระบบประกันสังคมขึ้น ต่อมาปีพ.ศ. 2485 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดภาวะเงินเฟ้อ บริษัทต่างๆไม่สามารถหาคนมาทำงานได้แม้จะให้เงินเดือนสูง จึงต้องหาวิธีจูงใจให้คนมาทำงานด้วยการเพิ่มสวัสดิการด้วยการประกันสุขภาพให้ลูกจ้างเพื่อให้มีคนมาทำงาน โดยที่ทางฝ่ายรัฐบาลก็ให้การสนับสนุน โดยการยกเว้นไม่เก็บภาษีจากเงินจำนวนที่จ่ายเพื่อประกันสุขภาพของลูกจ้าง

   ในปีพ.ศ. 2488ประธานาธิบดี Harry S. Truman ได้พยายามที่จะออกกฎหมาย “National Health Insurance “ เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีการประกันสุขภาพ แต่ได้รับการคัดค้านจากสมาคมแพทย์อเมริกัน (American Medical Association) ว่าจะเป็นระบบการแพทย์สังคมนิยม (Socialize Medicine) จึงไม่สามารถทำได้สำเร็จ

   ในปีพ.ศ. 2508 ประธานาธิบดี Lyndon B. Johnson ได้ออกกฎหมายให้มีการประกันสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุ(Medicare) และสำหรับคนยากจน (Medicaid) นับได้ว่าเป็นก้าวแรกของการทำประกันสุขภาพในสหรัฐอเมริกา

  ส่วนประชาชนอเมริกันทั่วไป ก็มีการซื้อประกันสุขภาพจากบริษัทประกันเอกชน แต่เนื่องจากค่าประกันสุขภาพที่ประชาชนต้องจ่ายเงินซื้อเองนี้ เก็บค่าเบี้ยประกันเพิ่มขึ้นทุกปี และบริษัทประกันยังไม่ยอมรับประกันผู้ที่เคยมีประกันมาแล้ว แต่เกิดปัญหาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากค่าการดูแลรักษาสุขภาพเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ความครอบคลุมการบริการกลับลดลง ในยุคประธานาธิบดี Bill Clinton พยายามที่จะให้มีกฎหมายในการประกันสุขภาพทุกคน (Universal Coverage) โดยให้บริษัทประกันรับทำประกันสุขภาพให้ประชาชนทุกคน แต่ก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ

   ในขณะที่นาย  Barack Obama หาเสียงเพื่อสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีนั้น ก็ได้หาเสียงว่าจะให้ประชาชนทุกคนมีการประกันสุขภาพทุกคน ซึ่งเมื่อได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีแล้ว ได้ผลักดันให้มีการออกกฎหมาย “Patient Protective and Affordable Care Act” หรือที่ประชาชนทั่วไปเรียกว่า Obama Care เพื่อให้ประชาชนอเมริกันที่ยังไม่มีการประกันสุขภาพอีก 30 ล้านคน ซื้อประกันสุขภาพจากบริษัทเอกชนทุกคน ถ้าประชาชนคนใดไม่ทำตาม ก็จะต้องถูกปรับ ซึ่งการกำหนดไว้เช่นนี้ ได้เกิดการโต้เถียงว่า รัฐบาลไม่สามารถจะออกกฎหมายบังคับแก่ประชาชนในลักษณะเช่นนี้ได้ และได้มีการนำประเด็นนี้ไปฟ้องศาลสูงว่ากฎหมายนี้ขัดต่อเสรีภาพของประชาชน ซึ่งศาลยังไม่ได้ตัดสิน

แต่อย่างไรก็ตามการกำหนดให้ประชาชนมีการประกันสุขภาพตามกฎหมาย. Obama Care นี้ ก็เป็นการกำหนดให้ประชาชนรับผิดชอบ “จ่าย” ค่าประกันเอง และก็เป็นการประกันขั้นต่ำเท่านั้น โดยจะกำหนดไว้ให้รวมเอาการป้องกันโรคและการตรวจคัดกรองก่อนเกิดการเจ็บป่วย ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เจ็บป่วยด้วยโรคที่สามารถป้องกันและตรวจคัดกรองได้ ถ้ามีการเจ็บป่วยที่ต้องการการรักษาบางอย่าง ผู้ป่วยก็ต้องจ่ายเงินค่ารักษาเพิ่มเติม ทั้งนี้เมื่อมีคนไปถามObama ว่า ถ้าลูกเมียท่านประธานาธิบดีไม่สบายแล้วท่านจะให้ลูกและเมียรับการรักษาแค่ที่กำหนดไว้ใน Obama Care หรือท่านจะต้องหาทางที่จะทำทุกวิถีทางที่จะให้ห้ลูกเมียของท่านได้รับรักษาอย่างดีที่สุด ซึ่งประธานาธิบดีโอบามาก็ตอบว่า จะต้องให้ลูกเมียได้รับการรักษาอย่างดีที่สุด ไม่ใช่เฉพาะตามแผนการรักษาจาก Obama Care เท่านั้น และข้าราชการหรือสว.(member of congress) ต่างก็ได้รับการคุ้มครองด้านสุขภาพมากกว่าที่กำหนดไว้ใน Obama Care

  จึงสรุปได้ว่า “Obama care is not the gold standard he promised during the election campaign”
   และมาตรฐานการประกันสุขภาพของสหรัฐอเมริกาก็ไม่ได้ครอบคลุมทุกโรคอย่างที่มี “โฆษณา” ในประทศไทย
   แต่อย่างไรก็ตาม บทเรียนจากสหรัฐอเมริกาก็คือค่าประกันสุขภาพสูงขึ้นมาก จำนวนเงินที่ใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพก็เพิ่มขึ้น จนพบว่าประเทศสหรัฐอเมริกามีค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงที่สุดในโลก คือเป็น 16 % ของ GDP แต่สถานะสุขภาพของประชาชนอเมริกันที่วัดจากดัชนีชี้วัดสุขภาพของประเทศ(ที่เป็นดัชนีที่ยอมรับกันทั่วโลก) ได้แก่อัตราตายของทารกในสหรัฐสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วทั่วโลก คือมีอัตราตายมากกว่าประเทศอื่นๆ 25 ประเทศ(อยู่ในลำดับที่ 26 ) รวมทั้งอายุขัยเฉลี่ยคาดการณ์เมื่อเกิด (Life expectancy at birth) ก็น้อยกว่าประเทศอื่นๆอีก คืออยู่ที่ลำดับที่ 23 อัตราโรคอ้วน(ซึ่งเป็นความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังเช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ก็เพิ่มจาก 16%ในปี 1995 เป็น 26.3%ในปี 1995 และสหรัฐอเมริกายังมีมาตรฐานด้านสุขภาพ ประสิทธิภาพในการดูแลรักษาสุขภาพประชาชนต่ำกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วอีกหลายประเทศ ทั้งๆที่จ่ายเงินในการดูแลรักษาสุขภาพสูงที่สุดในโลก ทั้งนี้เนื่องจากประชาชนหลายสิบล้านคนยังไม่มีการประกันสุขภาพที่ครอบคลุมการป้องกันโรคและการตรวจคัดกรองก่อนเกิดโรค

  นอกจากคุณภาพการดูแลรักษาสุขภาพจะไม่ดีแล้ว สหรัฐยังมีค่าเบี้ยประกันสูงขึ้นมาก เนื่องจากโรงพยาบาลจะเอาเงินของผู้ป่วยที่มีประกันสุขภาพ ไปจ่ายเป็นค่ารักษาผู้ป่วยที่ไม่มีประกันสุขภาพด้วย
หมายเหตุผู้เขียน เรื่องนี้เหมือนกับเหตุการณ์ในโรงพยาบาลของประเทศไทย ที่เอาเงินค่ารักษาผู้ป่วยในระบบประกันสังคมและระบบสวัสดิการข้าราชการ ไปจ่ายชดเชยในการรักษาผู้ป่วยในระบบบัตรทองที่จ่ายเงินให้โรงพยาบาลไม่เท่ากับค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้ป่วยที่เกิดขึ้นจริง

  ส่วนในประเทศไทยนั้น เป็นระบบสวัสดิการคือประชาชนจ่ายค่ารักษาในราคาถูก แต่ประชาชนในท้องที่ทุรกันดารหรืออยู่ห่างไกล ก็มีความลำบากในการที่จะมารับการรักษาในโรงพยาบาล  ซึ่งสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้ทรงจัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ออกไปให้การดูแลรักษาประชาชนที่อยู่ห่างไกลเหล่านี้ เรียกว่าหน่วยแพทย์อาสาในสมเด็จพระบรมราชชนนี มีชื่อย่อว่า พอ.สว. ซึ่งได้ออกไปดูแลรักษาประชาชนมาตั้งแต่ปีพ.ศ. 2512 และยังดำเนินกิจกรรมต่อมาจนปัจจุบันนี้

  ในส่วนประชาชนที่ยากจนที่ไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลนั้น รัฐบาลก็จัดงบประมาณสวัสดิการสำหรับรักษาผู้ที่มีรายได้น้อย(สปร.) ไว้ให้โรงพยาบาลใช้จ่ายในการรักษาประชาชน

   ส่วนระบบการประกันสุขภาพในประเทศไทยนั้น เริ่มต้นจากระบบสวัสดิการข้าราชการ ซึ่งให้การดูแลรักษาข้าราชการและครอบครัว ที่ได้รับเงินเดือนน้อย รัฐบาลจึงให้การดูแลรักษาเป็นแรงจูงใจให้คนเข้ามารับราชการ ต่อมาได้เกิดระบบประกันสังคมในปีพ.ศ.2533 ที่จัดให้มีสวัสดิการด้านต่างๆแก่ลูกจ้างเอกชน รวมการดูแลรักษาพยาบาลด้วย และต่อมาในยุครัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ออกพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. 2545 โดยกำหนดให้ประชาชน 47 ล้านคน มีสิทธิในการได้รับการดูแลรักษาสุขภาพจากระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติโดยแจกบัตรทอง ทำให้เรียกกันว่า “30 บาทรักษาทุกโรค” ซึ่งระบบต่างๆเหล่านี้มีการจ่ายค่าดูแลรักษาสุขภาพแตกต่างกันไป ทำให้เกิดคำถามถึงความเสมอภาค เท่าเทียมและเป็นธรรม แก่ประชาชน ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเทศที่เป็นประชาธิปไตยต้นแบบเช่นสหรัฐอเมริกา ก็มีความแตกต่างในการกำหนด “มาตรฐานการประกันสุขภาพ”ดังได้กล่าวมาแล้ว

  อย่างไรก็ตาม การเกิดระบบหลักประกันสุขภาพในประเทศไทยนั้น เมื่อเริ่มต้น ได้กำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมจ่ายในการไปรับการรักษาสุขภาพครั้งละ 30 บาท ยกเว้นผู้ป่วยที่ยากจน ประมาณ 20ล้านคน ไม่ต้องจ่ายเงิน 30 บาท ต่อมาเมื่อเกิดการปฏิวัติในปีพ.ศ. 2549 รัฐบาลที่เกิดจากการปฏิวัติได้ยกเลิกการจ่ายเงินครั้งละ 30 บาท ซึ่งระบบบัตรทองในประเทศไทยนี้ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้นำไปโฆษณาว่า ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการจัดให้มี การประกันสุขภาพถ้วนหน้า (Universal Coverage) และประกาศเป็นความสำเร็จว่า ประเทศชาติที่ไม่รวยก็สามารถทำให้มีการประกันสุขภาพถ้วนหน้าได้ โดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติอ้างว่า ประชาชนไทยถึง 98% มีการประกันสุขภาพโดย 3 กองทุนดังกล่าวข้างบน และสำรวจพบว่าประชาชนมีความพอใจในระบบบัตรทองมาก นับว่าเป็นความสำเร็จอย่างสูงของประเทศไทย

  แต่พญ.เชิดชู ฯ วิทยากรได้กล่าวว่า การวัด “ความพึงพอใจในการได้รับบริการดูแลรักษา”เหมือนอย่างที่สปสช.ทำการสำรวจนั้น ไม่ใช่ดัชนีชี้วัดความสำเร็จของระบบหลักประกันสุขภาพ การวัดความสำเร็จของระบบริการดูแลรักษาสุขภาพ ต้องวัดที่”คุณภาพมาตรฐานของระบบการดูแลรักษาสุขภาพและมาตรฐานการรักษาสุขภาพ”

   ซึ่งการวัดคุณภาพมาตรฐานของระบบการบริการดูแลรักษาสุขภาพ (Quality of Healthcare) หรือที่เรียกว่าระบบริการในด้านการแพทย์และสาธารณสุขนั้นควรวัดอะไรบ้าง?

   ในสหรัฐอเมริกาได้กำหนดว่ามาตรฐานการบริการดูแลรักษาสุขภาพนั้น ควรวัดในองค์ประกอบต่างๆดังนี้
1.   การเข้าถึงบริการสุขภาพ (Healthcare access)
2.   Quality คุณภาพ
3.   Cost and efficiency ราคาและประสิทธิภาพของการบริการ

ส่วนในสหภาพยุโรป ตามที่ “Europe for patient project” กำหนดการวัดคุณภาพการบริการดูแลสุขภาพเพื่อประชาชน โดยรวมองค์ประกอบต่างๆดังนี้คือ
1.   Effectiveness  การรักษานั้นได้ผลดี หายป่วย มีอาการดีขึ้น และมีสุขภาพหรือคุณภาพชีวิตดีขึ้นหลังจากการรักษา
2.   efficiency มีผลคุ้มค่า
3.   access ประชาชนเข้าถึงบริการที่จำเป็น
4.   safety ความปลอดภัย
5.    equity ความเป็นธรรม ซึ่งในประเทศไทยเอามาแปลความหมายว่าเป็น equality    คือแปลว่าต้องมีความเท่าเทียม ซึ่งไม่ใช่ความหมายที่ถูกต้อง เนื่องจากตามความหมายที่แท้จริงนั้น equity   แปลว่าต้องใช้ judgement ให้เหมาะสมตามความจำเป็น เช่นคนจนไม่ต้องจ่าย คนมีเงินต้องร่วมจ่าย เพื่อให้ระบบมีเงินเหมาะสมกับการทำงาน
6.   appropriateness ความถูกต้องเหมาะสมของการรักษา เช่น การสั่งยาตามข้อบ่งชี้ หรือการรักษาตามหลักฐานเชิงประจักษ์ (evidence-based medicine)
7.   timeliness ได้รับการรักษาในเวลาที่ป่วย ไม่ต้องรอเป็นเดือนจึงจะได้รับการรักษา/ผ่าตัด
8.   acceptability ได้รับการยอมรับจากผู้ป่วย
9.   responsiveness ตอบสนองต่อความเจ็บป่วย กล่าวคือให้ผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง หรือpatient-centeredness คือให้การรักษาตามความจำเป็นของการเจ็บป่วย)
10.    satisfaction ผู้ป่วยได้รับความพึงพอใจต่อผลการรักษา
11.   health improvement ผู้ป่วยมีสภาวะสุขภาพดีขึ้น
12.    continuity  ผู้ป่วยได้รับการดูแลรักษาต่อเนื่อง
13.   availability มีการมีบริการที่เหมาะสม
14.   prevention/early detection มีการป้องกันและตรวจคัดกรองก่อนเจ็บป่วย
...

17
ปลัดฯพูดชัดเจนว่า ไม่เลิก ฉ.7 แน่นอน แต่จะให้ลองทำ p4p
ถ้าทำแบบ p4p แล้วได้มากกว้า ฉ.7 สักเท่าตัว พวกเราก็น่าจะเปลี่ยนมาใช้ p4p
แต่ก็พูดว่า สตง. ทักท้วง ฉ.7 ด้วย

18


แพทย์รพ.ทั่วประเทศ แต่งชุดดำค้านร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ที่จะนำเข้าบรรจุในวาระ1เสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภา3ส.ค.

นอกจากแพทย์หลายโรง พยาบาลออกมาคัดค้านแล้ว ยังเรียกร้องให้มีการถอดร่างพรบ.ฉบับนี้ออกมาก่อน เพื่อนำมาพิจารณาใหม่ เพราะจะทำให้ทั้งแพทย์ และผู้ป่วยที่มารับบริการได้รับความเสียหาย

หมอรพ.ราชบุรีค้านร่าง เหตุเกิดความเสียหายทั้งแพทย์ และคนป่วย

นพ.ยงยุทธ กิตติโชติกุล แพทย์เชี่ยวชาญด้าน หู คอเกิดความเสียหายผู้บริการและจมูก และเป็นหัวหน้ากลุ่มพัฒนาระบบบริหารสุขภาพของโรงพยาบาล จ.ราชบุรี กล่าวถึง ร่างพรบ.ฉบับนี้ว่า ถ้าปล่อยให้ให้ร่าง พรบ.ฉบับนี้ออกมาจะเกิดความเสียหายทั้งกับผู้ให้บริการและผู้มารับบริการ และหากปล่อยให้ผ่านร่างพรบ.ฉบับนี้ไปโดยที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ก็จะยิ่งทำให้การแก้ไขนั้นยุ่งยากมากกว่า ทางแพทย์และพยาบาลจึงได้ออกมาแต่งชุดดำเพื่อคัดค้าน ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับร่างพรบ.ฉบับนี้ แต่มีข้อความในบางตอนที่จะต้องมีการแก้ไข เพื่อให้สอดคล้องกับการทำงานของผู้ให้บริการและผู้มารับบริการ

นพ.สมบัติ หัสชลีฬหา กุมารแพทย์ของโรงพยาบาลราชบุรี กล่าวว่า ที่ผ่านมาปัญหาการทำงานของแพทย์ในโรงพยาบาลนั้นก็มีมากพออยู่แล้ว และความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้กับหมอนั้นแย่ลง และพรบ.ฉบับนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย ยิ่งจะมีมีปัญหามากกว่าเดิมอีก และตอนนี้หมอทุกคนก็ระวังตัวกันสุดๆ คนไข้ ก็จ้องแต่ว่าเมื่อไหร่หมอพลาด ก็จะมีช่องให้ฟ้องร้องและจะมีผลประโยชน์เข้ามา

"โดยสรุปแล้วจะไม่ได้สร้างความสัมพันธ์ระหว่างหมอกับคนไข้ตามที่เขียนไว้ในร่างพรบ.เลย"

พญ.รจนา ภาสกรนิรินทร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์ กล่าวว่าหากปล่อยให้ ร่างพรบ.ฉบับนี้ออกมานั้นในอนาคตคาดว่าจะต้องขาดแคลนแพทย์ เนื่องด้วยงานหนักและเงินเดือน ถ้าเทียบกับผู้ที่จบมาในระดับเดียวกันนั้นเงินเดือนน้อยกว่า แต่งานเยอะกว่ามีความรับผิดชอบมากกว่า ต่อไปก็คงจะไม่มีคนเรียนแพทย์ ซึ่งพรบ.ที่จะออกมานั้นควรมีการปรับปรุงให้ความเป็นธรรมกับวิชาชีพและ บุคคลากรทางด้านสาธารณสุขให้มากกว่านี้

นพ.เกรียงจิต มะระยงค์ แพทย์ด้านจักษุ กล่าวว่า ทุกวันนี้คนไข้จำนวนมากตรวจไม่ทัน หมอต้องใช้เวลากับคนไข้น้อยลง ซึ่งคงจะไม่มีมาตราฐานตามที่กฎหมายกำหนด และเมื่อตรวจเร็ว ก็จะเกิดข้อผิดพลาดขึ้นได้จากบางส่วน ในส่วนของ พรบ.ฉบับนี้ข้อดีก็คือ ถ้าเกิดความเสียหายขึ้นคนไข้จะได้รับการชดใช้เลยโดยไม่มีการสอบสวนใดๆทั้ง สิ้น แต่ก็มีข้อเสีย ถ้าหมอระวังตัวตลอดก็จะเกิดความรู้สึกห่างเหินกับคนไข้ ซึ่งจะกลายเป็นผู้ตรวจและผู้เข้ารับบริการเมื่อเกิดความผิดพลาดและมีการฟ้อง ร้องกันเงินคนไข้ก็ได้ไปแล้ว แต่ยังมีเรื่องของคดีอาญาเข้ามาอีกทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคนไข้กับหมอห่าง กันออกไป

แพทย์ พยาบาล รพ.อุดรฯค้าน เสนอให้แก้ร่างบางมาตรา

นพ.ณรงค์ ธาดาเดช ตัวแทนเครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุข โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี พญ.ฤทัย วรรธนวินิจ ประธานองค์กรแพทย์ และตัวแทนเครือข่ายผู้ประกอบวิชาชีพด้านสาธารณสุข โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี พร้อมด้วยบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลประกอบด้วย แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล จำนวนกว่า 100 คน ร่วมกันแต่งชุดดำ รวมตัวกันที่หน้าอาคารอำนวยการ พร้อมถือป้ายผ้าคัดค้านร่าง พ.ร.บ.กฏหมายคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข

นพ.ณรงค์ กล่าวว่า การรวมตัวของคณะแพทย์และพยาบาล พร้อมเจ้าหน้าที่ ได้ใช้เวลานอกราชการที่เป็นเวลาพักเที่ยง ที่แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ ไม่ได้ทำการรักษาคนไข้ เพราะทราบดีถึงความเดือดร้อน หากใช้เวลางานมารวมตัวกัน ซึ่งการรวมตัวครั้งนี้ ไม่ใช่เป็นการคัดค้านไม่เห็นด้วยกับพรบ.ดังกล่าว แต่เราแพทย์ พยาบาล ทั่วประเทศ ต้องการให้มีการแก้ไขในบางมาตราฯ เท่านั้น เพื่อให้การบริการของแพทย์และพยาบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

จี้ถอนร่างออกจากสภาทบทวนเพิ่ม 3 ประเด็น

พญ.ฤทัย อ่านแถลงการณ์เจตนารมณ์ของบุคลากรทางการแพทย์ว่า ขอคัดค้านและแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวและเห็นควรให้ถอนร่างกฏหมายฉบับนี้ออกจากสภาและให้มีการทบทวน เพิ่มเติม จำนวน 3 ประเด็น ประกอบด้วยมาตรา 7 มาตรา6(1)(2)(3) มาตรา 21 และมาตรา 34   เนื้อหาของแถลงการณ์ส่วนหนึ่งต้องการให้มีการตั้งคณะกรรมการดูแลกองทุนและ คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พร้อมพิจารณาเนื้อหาการกระทำ เพื่อประกอบการจ่ายเงินชดเชย

เนื้อหาแถลงการณ์ยังได้กล่าวถึง การคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข หมวด 4 มาตรา 34 สถานพยาบาลต้องรับภาระจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนส่วนหนึ่ง ซึ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน สถานพยาบาลของรัฐได้รับงบประมาณที่จำกัดอยู่แล้ว สถานพยาบาลหลายแห่งของรัฐมีงบประมาณขาดดุลไม่เพียงพอที่จะจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เมื่อต้องส่งเงินเข้าสมทบกองทุนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ ย่อมทำให้ลดค่าใช้จ่ายโดยการตัดงบประมาณค่ายา ค่าเวชภัณฑ์รวมถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษา ประชาชนที่มารับการรักษาต่อเนื่องก็จะได้รับการบริการที่ด้อยลงหรือไม่ได้ มาตรฐาน

สำหรับประเด็นสุดท้ายในแถลงการณ์ระบุถึงการคุ้มครองผู้เสียหาย หมวด 1 มาตรา 6 ว่า เป็นมาตราที่บอกว่าไม่ต้องชดใช้ค่าเสียหาย หากต้องชดเชยความเสียหาย ผู้รับบริการต้องไปฟ้องร้องทางอาญาว่า เจ้าหน้าที่มีความผิดจริงหรือไม่เข้าข่ายตามมาตรา 6 และเมื่อบุคลากรทางสาธารณสุขได้รับคำตัดสินว่ามีความผิด

จึงจะกลับมาชดเชยความเสียหายได้ ส่งผลทำให้บุคลากรทางสาธารณสุขอาจต้องถูกพักใบอนุญาตประกอบวิชาชีพหรือ ถูกออกจากราชการได้ ซึ่งจะส่งผลถึงความหวาดกลัวว่าจะเกิดความเสี่ยงหรือรักษาผิดมาตรฐาน ไม่กล้าให้การรักษาผู้ป่วย เช่น โรงพยาบาลชุมชน ก็จะส่งผู้ป่วยไปที่โรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลจังหวัดก็จะส่งไปที่ศูนย์หรือศูนย์ส่งต่อโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ทำให้ผู้ป่วยเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางและต้องรอคิวรับบริการนานขึ้น ในประเด็นสุดท้ายนี้ที่ทางคณะแพทย์และพยาบาลมีความเป็นห่วงและต้องการให้มี การแก้ไขมากที่สุด

แพทย์รพ.ยะลาต้าน เหตุร่างบิดเบือนบุคลากรแพทย์

นพ.ประชา ชยาภัม รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์โรงพยาบาลศูนย์ยะลา พร้อมด้วยคณะแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลจำนวนกว่า 30 คน ได้รวมตัวกันถือป้ายผ้า และป้ายเขียนข้อความเพื่อแสดงออกถึงการคัดค้าน ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ที่ผ่านมติของคณะรัฐมนตรีแล้ว เนื่องจากว่า พรบ.ดังกล่าวเป็นการเบียดเบียนการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์

นพ.ประชา ชยาภัม รองผู้อำนวยการฝ่ายการแพทย์โรงพยาบาลศูนย์ยะลา กล่าวว่า ในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์โรงพยาบาลศูนย์ยะลาทุกคน ขอแสดงความคัดค้านพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข โดยจริงๆแล้วชื่อนี้เป็นชื่อที่สวยหรู แต่จะขอเปลี่ยนเป็น"พรบ.เบียดเบียน บุคลากรทางการแพทย์" มากกว่า

ทั้งนี้ คำพูดที่สวยหรูที่หลุดออกมาจากผู้ที่ร่าง พรบ.ฉบับนี้ ที่ชี้ให้เห็นว่าประชาชน หรือ ผู้ป่วย จะได้รับการเยียวยา แต่ข้อเท็จจริง แพทย์ และพยาบาลทุกคนก็อยู่ข้างประชาชน อยู่ข้างผู้ป่วยอยู่แล้ว ผู้ที่ร่างพรบ.ฉบับนี้ แอบอ้างความเป็นพวกเดียวกับผู้ป่วยส่วนใหญ่ และประชาชนทั่วไป

โดยทราบว่า เคยไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากกรณีความพิการของบุตรตัวเองถึง 50 ล้าน ซึ่งเชื่อว่าผู้ที่ร่าง พรบ.นี้ทำเพื่อแก้แค้นในเรื่องส่วนตัวมากกว่า ใช้จุดยืนที่มีความรุนแรง เช่นจะไปนอนขวางกลางสภาพ หากพรบ.นี้ไม่ผ่าน

"พรบ.ฉบับนี้ถ้าออกมา ก็จะทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างบุคลากรทางการแพทย์ กับผู้ป่วย รวมทั้งแพทย์ที่เคยปฎิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต ก็จะต้องหันหลังกลับ เพราะมีกรณีตัวอย่างที่ต้องติดคุกมาแล้ว"นพ.ประชา กล่าว

นพ.ประชา กล่าวอีกว่า หลังจากนั้นก็จะมีการตั้งกองทุน โดยเรียกเก็บภาษีจากประชาชนและเงินอุดหนุนจากสถานบริการ ในระยะยาว พรบ.เบียดเบียนบุคลากรทางสาธารณสุข ฉบับนี้ จะทำให้ แพทย์ทั้งหลายออกมาป้องกันตัวเอง ซึ่งจะมีผลเสียในระยะยาว เช่น ผลักภาระให้ผู้อื่น เช่น แพทย์ท่านหนึ่งสามารถให้บริการรักษาอาการป่วยของคนไข้ได้
แต่เนื่องจาก มีการฟ้องร้องสูง แพทย์ท่านนั้นก็อาจจะผลักภาระไปให้โรงพยาบาลอื่นที่สูงกว่า โดยอ้างเรื่องมาตรฐาน นอกจากนั้น ก็อาจจะมีการวินิจฉัยในสิ่งที่ฟุ่มเฟือย ไม่จำเป็น เพื่ออ้างให้เป็นไปตามมาตรฐาน ทั้งหมดก็จะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสูง ทรัพยากรขาดแคลน และไม่ได้รับการรักษาบริการอย่างถ้วยหน้า รวมทั้งจะมีการฟ้องร้องสูงเช่นที่ อเมริกา

รพ.พุทธชินราชพิษณุโลกค้านร่างไม่สอดคล้องเจตนารมณ์

บุคลากร แพทย์พยาบาล ตลอดจนเจ้าหน้าที่ ของโรงพยาบาลร่วมกันแต่งกายด้วยชุดดำเพื่อร่วมกันคัดค้านพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ เสียจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ... เพื่อความเป็นธรรมกับทุกภาคส่วน ที่คณะรัฐมนตรีจะนำเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฏร ในวาระที่ 1 วันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งทางสมาพันธ์แพทย์ โรงพยาบาลศูนย์โรงพยาบาลทั่วไป ต้องการแสดงออกเพื่อแสดงเจตจำนงค์ของประชาคมสาธารณสุข ให้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ได้ทราบ

เนื่องจากถึงแม้ว่าเจตนารมณ์ของพ.ร.บ.จะเพื่อเสริมสร้างสัมพันธ์ที่ดี ระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีแต่ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ อาจส่งผลกระทบบริการสาธารณสุขและประชาชนส่วนใหญ่ได้ ดังนั้นบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลจึงต้องการแสดงเจตนารมณ์ที่สอดคล้อง กับประชาคมสาธารณสุขส่วนใหญ่ 80 %ที่ต้องการให้ถอน ร่าง พ.ร.บ.นี้ออกจากสภาถึงแม้ว่าทางรัฐมนตรีจะรับปากว่าจะถอนแล้วก็ตาม

แพทย์-พยาบาลรพ.อุตรดิตถ์ค้านร่าง ติดป้ายผ้าทั่วสถานบริการของรัฐ

นพ.ดิเรก งานวาสีนนท์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ ฝ่ายการแพทย์ ระบุว่า ผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์และสาธารณสุขของจังหวัดอุตรดิตถ์คัดค้านและให้ มีการถอนร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวออกจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 1 เพราะเนื้อหาส่งผลกระทบต่อระบบบริการสาธารณสุขและประชาชนผู้รับบริการในระยะ ยาว ทำให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติงานและบั่นทอนกำลังใจของผู้ปฏิบัติงาน รัฐบาลต้องมีการทบทวนพิจารณาแก้ไขเป็นการด่วน

นพ.ดิเรก กล่าวว่า การที่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขของจังหวัดอุตรดิตถ์ออกมาคัดค้าน พรบ.ดังกล่าว ใช่ว่าไม่รักหรือห่วงใยประชาชน หากแต่ต้องการให้รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขพิจารณาแก้ไขรายละเอียดในแต่ ละมาตราและบทเฉพาะกาลดังกล่าว ที่มีเนื้อหาขัดแย้งกับเจาตนารมณ์ของร่าง พรบ.โดยสิ้นเชิง

โรงพยาบาลศูนย์อุตรดิตถ์ โรงพยาบาลอำเภอ และสถานบริการสาธารณสุขทั้ง 9 อำเภอของจังหวัดไม่เพียงจะมีการแต่งชุดดำเท่านั้น ยังมีการขึ้นป้ายที่มีข้อความคัดค้าน พรบ.ดังกล่าวอีกด้วย

แพทย์-พยาบาลรพ.สุโขทัย ค้านร่าง เหตุความสัมพันธ์แพทย์ กับผู้ป่วยสูญเสีย

คณะ แพทย์และพยาบาลโรงพยาบาลสุโขทัยกว่า 100 คน ร่วมชุมนุมอย่างสงบภายในโรงพยาบาลสุโขทัย ต.บ้านกล้วย อ.เมือง จ.สุโขทัย โดยคณะแพทย์และบุคลากรประจำโรงพยาบาลแต่งกายในชุดสีดำส่วนพยาบาลแต่งกายชุด พยาบาลสีขาวสวมทับด้วยเสื้อแจ๊คเก็ตสีดำพร้อมออกแถลงการณ์คัดค้านความพยายาม ในการออกพรบ. คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข

แถลงการณ์ดังกล่าวมีใจความสำคัญว่า พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข ฉบับที่ผู้เสียหายเป็นผู้ร่างผ่านมติ ครม.แล้ว แต่อยู่ระหว่างการนำเข้าสู่สภาผู้แทนราษฏรในอีกไม่นาน สาเหตุที่คณะแพทย์พยาบาล รพ.สุโขทัย ออกมาคัดค้าน เนื่องจากสาระสำคัญของพรบ.ฉบับนี้ คือ ผู้ป่วยที่เข้ารับการบริการจากสถานพยาบาลจะร้องสถานพยาบาล หรือผู้ให้บริการในกรณีที่คิดว่าตนเองได้รับผลเสียต่อร่างกายจากการรักษา พยาบาล ซึ่งนอกจากจะมีการร้องขอเงินทุนชดเชยจากสถานพยาบาลและยังอาจร้องทางอาญาเอา ผิดผู้ให้บริการได้ และคณะกรรมการที่ตัดสินถูกผิดเรื่องของการร้องนั้น มีคณะกรรมการ 21 คน ตัดสินโดยใช้เสียงข้างมากและไม่มีบุคคลในสาขาวิชาชีพเป็นคณะกรรมการ

ดังนั้นจะทำให้การตัดสินนั้น ๆ อาจไม่มีหลักอ้างอิงตามหลักวิชาการ อีกทั้งทำให้สูญเสียเงินของสถานบริการและไม่ยุติธรรมสำหรับผู้ให้บริการ เป็นการบั่นทอนขวัญกำลังใจของผู้ให้บริการ อีกทั้งเป็นการทำให้สัมพันธภาพอันดีของผู้ให้บริการและผู้ป่วยสูญเสียไป คณะแพทย์และพยาบาลสุโขทัยจึงขอออกมาคัดค้าน พรบ.ฉบับดังกล่าว

แพทย์รพ.สงขลาประท้วงรัฐบาล วางพวงหรีดหน้าเสาธงโรงพยาบาล

นพ. เฉลิมพงษ์ สุคนธผล รองผอ.ฝ่ายการแพทย์ โรงพยาบาลสงขลา กล่าวว่า เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนต่อการแก้ไขกฎหมายฉบับดังกล่าว ซึ่งหากผ่านการพิจารณาของสภาฯ และมีผลบังคับใช้จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่วงการแพทย์และสาธารณ สุขอย่างมหาศาล เพื่อแสดงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ. ดังกล่าว ทางแพทย์ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ จึงได้ร่วมกันแต่งชุดดำเพื่อคัดค้าน"พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับ บริการสาธารณสุข" และวางพวงหรีดที่บริเวณเสาธงหน้าโรงพยาบาลสงขลาด้วย

แพทย์รพ.พระนั่งเกล้าจ.นนทบุรี แถลง5ประเด็นไม่รับร่าง

นพ. โชดศักดิ์ เจนพานิชย์ กรรมการแพทยสภา นายแพทย์ เจมวิทย์ พิรัตน์ นายแพทย์ ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ พร้อมคณะแพทย์พยาบาลกว่า 20 คน ได้ร่วมตัวกันแต่งชุดดำ คัดค้านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข พ.ศ...โดยนายแพทย์เจมวิทย์ ได้นำน้ำยาฟอร์มาลีนมาเทใส่ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขที่บรรจุอยู่ในโหล

จากนั้นนพ.เจิมวิทย์ พิรัตน์ อ่านแถลงการณ์ไม่รับ ร่างพ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขคือ 1. เครือข่ายผู้ให้บริการสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรี เห็นด้วยกับแนวคิดในการสร้างความสมานฉันท์ระหว่างผู้ให้-ผู้รับบริการสาธารณ สุข รัฐต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการเร่งสร้างจิตสำนึกและส่งเสริมให้ประชาชนทุก หมู่เหล่ารู้จักหน้าที่ของตนและเคราพสิทธิของผู้อื่น

2.หากรัฐประสงค์ใช้ช่องทางของกฎหมายในการชดเชยเยียวยาให้แก่ผู้ได้รับผล อันไม่พึงประสงค์จากการรักษาพยาบาลสามารถกระทำได้ผ่านทางกฎหมายหลายฉบับที่ บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน

3.ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขมีบท บัญญัติเกี่ยวกับการให้อำนาจคณะกรรมการในการกำหนดระเบียบการรับจ่ายเงิน เงินและทรัพย์สินของกองทุนนี้ไม่ต้องส่งคลังเป็นรายได้แผ่นดิน มีโอกาสให้คณะบุคคลบุคคลทุจริตหรือใช้ช่องโหว่ของกฎหมายกระทำการใดๆอันก่อ ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเองหรือพวกพ้องหรือมีผลประโยชน์ทับซ้อน

4.ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขมีบท บัญญัติเงื่อนไขการห้ามจ่ายเงิน ให้แก่ผู้ที่ได้รับผลอันไม่พึงประสงค์จากการรักษาพยาบาลในหลายกรณีและไม่ ระงับการฟ้องผู้ให้บริการสาธารณสุขหลังจากผู้ที่ได้รับผลอันไม่พึงประสงค์ จากการรักษาพยาบาลรับเงินช่วยเหลือเบื้องต้น ซึ่งขัดกับหลักการและเหตุผลของร่างกฎหมายฉบับนี้

5.เครือข่ายผู้ให้บริการสาธารณสุขจังหวัดนนทบุรีขอให้รัฐบาลระงับการนำ ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขนี้เข้าสู่การ พิจารณาของรัฐสภา

นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ กล่าวว่า วันนี้เราจะดองร่าง พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขและในวันพรุ่งนี้ 30 กรกฎาคม เวลา 09.00 น.เราจะนำร่าง พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขไปเผาที่หน้า กระทรวงสาธารณสุข เพื่อเรียกร้องให้ถอนร่างดังกล่าวออกมาก่อน

แพทย์-พยาบาล รพ.ลำปางค้านร่าง เพราะเนื้อหาและสาระขัดแย้งกัน

หน้าพระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระมหิตสาริเบศ พระบรมราชนกและสมเด็จพระศรีนครินทร์ทราบบรมราชชนนี โรงพยาบาลศูนย์ลำปาง คณะแพทย์ของโรงพยาบาลศูนย์ลำปาง  ประมาณ 50 คน พากันถือป้าย แต่งชุดดำ และชุดพยาบาล พร้อมติดริบบิ้นสีดำ ที่แขน ออกมาชุมนุมเพื่อแถลงจุดยืน เพื่อค้านร่าง พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข

นพ.นิพนธ์ ปันทะรส ประธานองค์กรแพทย์จังหวัดลำปาง อ่านแถลงการณ์ผ่านเครื่องขยายเสียง เพื่อว่า คณะแพทย์ และพยาบาลของจังหวัดลำปาง ขอแสดงจุดยืน ค้านร่าง พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข แม้เจตนารมณ์ของ พรบ.ดังกล่าว จะเป็นสิ่งดี แต่สาระและเนื้อหา ขัดแย้งกัน ซึ่งจะกลับทำลายสัมพันธ์ภาพที่ดี ระหว่างผู้ให้บริการ และผู้รับบริการ ที่มีมาอย่างยาวนาน ที่สำคัญยังกระทบต่อระบบบริการสาธารณสุขโดยรวม ซึ่งพรบ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข จะเป็นการซ้ำเติมภาวะขาดทุนแก่โรงพยาบาลของรัฐ ซึ่งปัจจุบันเกิดภาวะขาดทุนแล้วกว่า 500 แห่ง และประชาชนผู้รับบริการจากโรงพยาบาลเอกชน ก็จะแบกรับภาระค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้น โดยที่ไม่จำเป็น สำหรับคลินิก ร้านขายยาขนาดเล็ก ที่บริการประชาชน อาจจะต้องปิดตัวลง เพราะถูกบังคับให้เข้าร่วมจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน ทั้ง ๆ ที่ต้องเสียภาษีให้รัฐอยู่แล้ว

แนะหาทางออกร่วมกันแก้ขัดแย้ง

พล.ต.ท. จงเจตน์   อาวเจนพงษ์  นายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ   ในฐานะนายกแพทยสมาคมแห่งประเทศไทย    กล่าวว่าจุดยืนของแพทยสมาคม ที่มีการประชุมในวันนี้(29ก.ค.) โดยทางแพทยสมาคมไม่ได้คัดค้านหรือไม่ได้ เห็นด้วยกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด แต่มีข้อคิดเห็นเพิ่มเติม เราเห็นด้วยกับทั้งสองฝ่าย  แต่แทนที่จะออกมาประท้วงกันควรที่จะหันหน้าเข้าหากันเพื่อหาแนวทางออกร่วม กัน ไม่ใช่เหมือนตอนนี้ที่ดูเหมือนมีฝ่ายหนึ่งชนะฝ่ายหนึ่งแพ้


โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  29 กรกฎาคม 2553

19
คุกดังในโลกนี้มีมากมาย ในประวัติศาสตร์คงจะไม่มีคุกไหนดังเท่า “คุกบาสทีล ( Bastille )” ในกรุงปารีส ซึ่งเป็นที่คุมขังนักโทษการเมืองเป็นจำนวนมาก โดยผู้คุมจะทำการทารุณนักโทษอย่างโหดร้ายรุนแรง

ในที่สุดเมื่อมีการปฎิวัติใหญ่ในฝรั่งเศสปี ค.ศ.1789 คุกดังกล่าวจึงถูกคณะปฎิวัติทุบทำลายทันที

มาถึงยุคนี้ คงไม่มีคุกไหนกระฉ่อนชื่อเท่า “คุกกวนตานาโม่” ของสหรัฐที่สร้างอยู่ในดินแดนคิวบา โดยเป็นคุกที่สหรัฐตั้งขึ้นมา “ขังลืม” จอมก่อการร้ายทั้งหลาย ซึ่ง ซี ไอ เอ.ไปลักพาตัวมาจากทั่วโลก

คุกกวนตานาโม่นั้น ตั้งอยู่ในจังหวัดกวนตานาโม ซึ่งคิวบาได้ทำสัญญาทาสกับสหรัฐในช่วงทศวรรษ 1900 ให้สหรัฐใช้ที่ดินจังหวัดนี้ตามใจชอบ โดยสหรัฐฝ่ายเดียวเท่านั้นที่จะบอกเลิกสัญญาได้ 1001 ผ่านไปร้อยปีแล้ว สหรัฐยังไม่เลิกสัญญาและคงจะไม่คิดเลิกตลอดไป จังหวัดกวนตานาโมวันนี้จึงเป็นที่ตั้งกองทัพเรือสหรัฐ เป็นที่ตั้งคุกนรกและตั้งสถานที่สำคัญอื่น ๆ

สำหรับคุกในเมืองไทย คุกที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาอย่างยาวไกลขังนักโทษมาอย่างยาวนานต้องยกให้ “คุกบางขวาง” เพราะนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ทั้งหลายต่างถูกนำตัวมาขังรวมอยู่ในคุกนี้ จนมีผู้ให้ฉายาคุกบางขวางไว้ว่า “ตักศิลาของเหล่าอาชญากร” ใครที่ยังไม่รอบรู้ในการก่ออาชญากรรม ก็จะมีเกจิอาจารย์ในคุกบางขวางประสาทวิชามารเหล่านั้นให้จนครบถ้วน

ในวันนี้ คุกบางขวางโด่งดังไม่เท่าอดีต เพราะศิษย์เก่าจากคุกนี้ไม่ได้โชว์ผลงานจนทำให้คนไทยตกตะลึง

บัดนี้ ราชทัณฑ์ได้สร้าง “ซูเปอร์สตาร์หน้าใหม่” ได้แก่ “คุกเขาบิน” ที่จังหวัดราชบุรี มาทาบรัศมีบางขวาง เพราะจะเป็นคุกที่รวมเอา “เซียนเหยียบเมฆในการค้ายาเสพติด” มาชุมนุมไว้ที่นี่โดยทางราชทัณฑ์อ้างว่าจะได้ “ควบคุม” ไม่ให้มีการ “ค้ายา” ที่สั่งการจากในคุกอีกต่อไป

แต่ก็มีผู้เห็นแย้ง เพราะการรวมเซียนค้ายาเสพติดที่มีวิทยายุทธระดับ “กระบี่ป้ายทอง” มาตกคลักอยู่ใน “คุกเขาบิน” ที่เดียวเช่นนี้ ถ้าควบคุมไม่อยู่ คุกเขาบินจะกลายเป็นศูนย์กลางค้ายาเสพติดที่ยิ่งใหญ่ของโลกในอนาคต

ลงขึ้นชื่อว่า “เซียน” แล้ว เมื่อถูกสะกัดกั้นทางบกทางน้ำและทางอากาศให้ค้ายาเสพติดไม่ได้ “เซียน” ก็จะมุดดินลงไปค้า
ไม่เชื่อก็คอยติดตามดูว่า เงินของเซียนจ้างฝีโม้แป้งได้ไหม

กมลศักดิ์ ตั้งธรรมนิยม
แนวหน้า  2/2/2012

20
ทักษิณ บินล่วงหน้าไปพม่า จากนั้นไม่นานยิ่งลักษ์ก็ตามไปเยือนพม่า
-๓๐ พฤศจิกา ๕๔ นางฮิลลารี คลินตัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐ เยือนพม่าเป็นครั้งแรกในรอบ ๕๐ ปี
     -๒๕ ธันวา ๕๔ นายโคอิจิโร เกมบะ รมว.ต่างประเทศญี่ปุ่น ก็ไปเยือนพม่า
    -๕ มกรา ๕๕ นายวิลเลียม เฮก รมว.ต่างประเทศอังกฤษ ไปเยือนพม่าในรอบ ๕๗ ปี
    -๑๕ มกรา ๕๕ นายอแลง จุปเป รมว.ต่างประเทศฝรั่งเศส ก็ไปเยือนพม่า
    เห็นแล้วใช่มั้ย...!
   
ถนนทุกสายของกลุ่ม "จักรวรรดิอำนาจทุน" สหรัฐ-อังกฤษ-ฝรั่งเศส-ญี่ปุ่น ต่างมุ่งหน้าสู่จุดเดียวกันคือ "สหภาพพม่า" ที่กำลังเป็นศูนย์เชื่อมมหาสมุทรอินเดียเข้ากับมหาสมุทรแปซิฟิก ผ่านโครงการ "ท่าเรือน้ำลึกทวาย" และนิคมอุตสาหกรรม "ใหญ่ที่สุด" ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้!
    โดยอาศัยคำว่าประชาธิปไตยผ่าน "นางอองซาน ซูจี" เป็นใบปะหน้าว่า "พม่าประชาธิปไตย" แล้ว ไปสู่แหล่งทรัพยากรเพื่อความมั่งคั่งและอำนาจของกลุ่มจักรวรรดินิยมทุน
   
และไม่เพียงเท่านั้น ถ้าสังเกตเราจะเห็น สหรัฐ-อังกฤษ-ฝรั่งเศส รีบร้อนแต่งงานกับพม่าจนรน นั่นเพราะกลัวอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ อันเป็นเส้นทางลำเลียงน้ำมันจากอ่าวเปอร์เซียทั้งหมดสู่แปซิฟิก นี่ ๑ ละ
    และอีก ๑ ขืนช้า จีนแผ่อิทธิพลเข้าควบคุมท่าเรือน้ำลึกทวายได้ตามแผนเส้นทาง ๓ อาร์ เชื่อม ๖ ประเทศกลุ่มอนุภาคลุ่มน้ำโขง ไทย-เขมร-ญวน-ลาว-พม่า และจีนตอนใต้ ได้สำเร็จเรียบร้อยก่อน นั่นเท่ากับจีนได้เป็นเจ้าทะเล คุม ๒ มหาสมุทร
   
ถ้าแบบนี้ซวยละ เพราะ "ช่องแคบมะละกา" ที่อยู่ปลายติ่งไทย-มาเลย์-สิงคโปร์ เป็นที่เดียวที่เรือบรรทุกน้ำมันของกลุ่มจักรวรรดิทุนมาจากช่องแคบฮอร์มุซ ต้องผ่านตรงช่องแคบมะละกานี้สู่ทะเลจีนใต้-แปซิฟิก
    ถ้าจีนเป็นเจ้าสมุทรด้วย "เข้าพม่า" คุมทวายได้ก่อน นั่น...สหรัฐ-อังกฤษ-ฝรั่งเศส-ญี่ปุ่น ถ้าเกิดสงคราม หรือเกิดงัดข้อกับจีน ก็จบ..เพราะไม่มีเส้นทางลำเลียงน้ำมันสู่ประเทศของตน!
   
ผมถึงบอก เส้นทางอนาคตไทยไม่ได้มีพื้นที่แค่เห็นใน "แผนที่ประเทศไทย" เท่านั้น กลุ่มประเทศอำนาจเขาขยายพื้นที่เล่นไปล่วงหน้าแล้ว และบอกไว้อีกนิดก็ได้...ใคร..ท่านรู้มั้ย ที่มีเอี่ยวในอภิมหาโปรเจ็กต์นี้ นอกเหนือกลุ่มทุนไทยที่ปรากฏตามข่าว
    ก็...เค้าล่ะ ทักษิณ ชินวัตร คนที่มีเงิน "แจงที่มาไม่ได้" จนถูกอังกฤษยึดไว้นั่นแหละ!

พธม.ดอยวาวี
manager.co.th 18 มกราคม 55

21
โดยมหากาพย์ ฉบับนี้ มีลุงแซม ถนัดโกย  รับบทเด่นในท้องเรื่อง และมีตัวเดินเรื่องที่โดดเด่นไม่แพ้กัน เป็นคนไทยหน้าเหลี่ยม นั่งกำกับบทอยู่ที่ดูไบ และคอยชักใยให้ตัวประกอบที่ได้รับบทบาทเฉพาะกิจนี้  คอยอำนวยความสะดวก ในการงาบแห่งมหากาพย์นี้ กับแหล่งผลประโยชน์มหาศาล โดยเฉพาะ แหล่งขุมทรัพย์พลังงานในเขตพื้นที่ทับซ้อนในอ่าวไทยกับกัมพูชา ที่กำลังจะลุก “โชติช่วง ชัชวาลย์ บานบะเร่อเท่อ  ใครฉลาด ใครเซ่อ ใครต้มใคร” ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ยิ่งอยู่ยาว ประเทศยิ่งเละเทะ   

   .. แล้วมีหรือ ที่ ลุงแซม ขาใหญ่ จะไม่น้ำลายสอ กระโดดเข้าร่วมวงงาบ ตามคำเชิญชวน  แต่ด้วยมาดเข้มเกินพิกัด ของตำรวจโลก ที่คอยพิทักษ์สันติราษฎร์เฉพาะประเทศที่มีน้ำมันให้ดูด มีหรือ ที่จะมูมมามเหมือนนักการเมืองไทย เผลอเรอด้วยอาการโลภ โดดเข้างับเหยื่อเลย ก็ใช่ที่ ดูจะเสียเหลี่ยมคูไปนิด แต่ถ้ามัวแต่ลีลาเกินไป ก็พาลจะเสียเปรียบ  และในฐานะชั้นเชิงของจอมดูดที่ช่ำชอง แห่งตะวันออกกลาง จึงได้วางกลยุทธ์ ที่เคยใช้เตะตัดขาคู่แข่งให้แหยง ไม่กล้าเข้ามาแย่ง ผลประโยชน์ในคราวนี้  ด้วยมุขพิฆาตเดิมๆที่ไม่เคยพลาดเป้าหมาย  ว่า ..ประเทศยูกำลังเผชิญกับ การก่อการร้ายนะ รู้ไว้เสียด้วย  ขอให้ไอได้ช่วยเหลือเสียหน่อยเถอะ  เดี๋ยวจะส่งกำลังทหาร และอาวุธยุทโธปกรณ์สุดล้ำเลิศ ที่ผลิตไว้เพื่อการนี้ เข้าไปแทรกแซงกิจการภายในให้เอง ขอให้นิ่งๆและโปรดอย่ากังวลใจ   ส่วนประชาคมโลกจะว่าอย่างไร ยูไม่ต้องวอรี่ ไอจะชี้นำและกดดันให้เห็นคล้อยและเข้าข้างเอง ภายใต้แนวคิดถนัดนี้ ไอจะสร้างมายาภาพให้อลังการณ์ ยิ่งกว่าประเทศใดๆที่เคยดูดมา สัญญาได้   และจะกำหนดทิศทางให้ยูเดินเอง   ...ปู ยู อันเดอร์สแตนด์ ...

    โดยนัยสำคัญ ที่ลุงแซม กำลังพยายามอย่างยิ่งที่จะชี้นำให้ชาวโลกเห็นว่า ภัยการก่อการร้าย ที่พยายามสร้างภาพนั้น มันเป็นภัยคุกคามโลกที่เร่งด่วนกว่าเรื่องใดๆ  และด้วยสารพัดโฆษณาชวนเชื่อผ่านกลไกของสื่อต่างๆ  เพื่อเจตนาบิดเบือนประเด็นที่แท้จริง หวังสร้างความชอบธรรม ในสงครามล่าอาณานิคมสมัยใหม่ นั่นเอง    ภายใต้หน้ากากของผู้พิทักษ์โลกยี่ห้อ อเมริโกย และ พันธมิตรที่ใกล้ชิดลุงแซม ในเงื่อนไขผลประโยชน์ที่ลงตัว  ...รับประกันคุณภาพ ว่าของแท้ แน่นอน

  หากจะพูดให้เห็นภาพที่ชัดเจนของ ลุงแซม จอมโกย ที่จัดหนักๆและเน้นๆให้พี่ไทย ไม่ลืมเลือน คงไม่พ้น กรณีของ ข้าวหอมมะลิไทย ที่ถูกแอบจดสิทธิบัตรโดย สหรัฐอเมริโกย ในชื่อ  “จัสมินไรซ์” แล้วแอบอ้างว่าเป็น “ข้าวหอมมะลิที่ปลูกที่เท็กซัส” เมื่อปี 2542 นั่นไง   ที่ในทุกวันนี้ ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำ เสมอ

    อีกเรื่องเด่นๆ ที่ควรจับตาแบบไม่ต้องกระพริบ ในวีรกรรมอเมริโกย  คือชื่อของ บริษัทพลังงานข้ามชาตินาม "เชฟรอน"   ที่มีฐานเจาะแก๊สและน้ำมันในทะเล ไล่ตั้งแต่เวียตนาม กัมพูชาและไทย      ที่ชั่วโมงนี้ กำลังตีปีกพรึ่บพรั่บ เมื่อรู้ว่ารัฐบาลทักษิณรีเทิร์น  ย่อมมองเห็นผลประโยชน์เก่า ที่ต้องสานต่อให้แล้วเสร็จ  "ลุงแซม จอมโกย"  นั่งดีดลูกคิดรางแก้วเสีย 3ตลบ ใคร่ครวญอย่างถ้วนถี่ ระหว่าง    กัมพูชาของ ฮุนเซน ที่ดันหันไปจูบปากกับ บริษัทโททัลของฝรั่งเศส เสียแล้ว   กับคู่ขาเก่าที่คุ้นเคย ที่น่าจะรู้ไส้รู้พุงกันดีกว่า  จึงกดโทรศัพท์มาเซย์ฮัลโหล มาดามปู แสดงความยินดีในวันที่ได้รับตำแหน่งนายก ซะ   เป็นอันว่าลงตัว 

    ดังนั้น เราในฐานะประเทศกลุ่มเสี่ยง ที่มีผลประโยชน์ในเรื่องของพลังงาน ล่อตาล่อใจ อเมริโกยแบบนี้   ควรศึกษาทบทวนประวัติศาสตร์ที่เคยถูกกระทำไว้ เพื่อเตรียมรับมือกับภัยคุกคามที่แท้จริง จากกลุ่มนักล่าอาณานิคมสมัยใหม่ เหล่านี้    อย่างน้อยที่สุดเพื่อสร้างความเข้าใจให้ประชาชนในชาติได้มีสติไตร่ตรอง ทั้งศึกนอก   และตื่นตัวกับศึกภายใน พร้อมตรวจสอบการทำงานของนักการเมือง ที่พยายามใช้ช่องทางแห่ง พ.ร.บ.มาตรา190 ที่ว่าด้วยการ จัดทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศ นี้ หมกเม็ดและมีวาระซ่อนเร้น 

ดังปรากฏเป็นหลักฐาน อยู่ในเนื้อหาของร่าง พ.ร.บ. กระบวนการจัดทำหนังสือสัญญาฉบับนี้ เช่น

1) แทนการกำหนดนิยามที่ชัดเจนว่า หนังสือสัญญาลักษณะใดบ้างที่จะต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภา กลับมอบอำนาจให้เป็นการใช้ดุลยพินิจของรัฐบาลโดยคำแนะนำของกระทรวงการต่างประเทศ การกำหนดเช่นนี้จะสร้างปัญหาไม่หยุดหย่อน เนื่องจากความคิดเห็นที่แตกต่างระหว่างรัฐบาล และฝ่ายต่างๆ อาจต้องมีการยื่นศาลในทุกกรณีไป  ...โดยในกรณีนี้ ให้พึงระวัง กรณี MOUต่างๆที่ค้างคา อาจโดนแอบสวมตอ

2) สัญญาเงินกู้หรือเงินให้กู้ต่างประเทศ เช่นการกู้เงินจาก ไอ เอ็ม เอฟ หรือ การให้เงินกู้กับประเทศเพื่อนบ้าน ไม่จำเป็นต้องผ่านรัฐสภา ...กรณีนี้ มีตัวอย่างอันโด่งดังในยุคสมัยเหลี่ยมครองเมือง ที่ปล่อยเงินกู้ให้พม่า มาซื้อดาวเทียมของตัวเอง ซะ

3) หน่วยงานภาครัฐยังเป็นผู้ควบคุมและมีอำนาจจัดการและรายงานผลการรับฟังความเห็นประชาชน รวมถึงการศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ...กรณีนี้จะก่อปัญหาด้านความไม่เป็นกลาง และการไม่ยอมรับจากสาธารณะ ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

4) จะไม่มีการจัดรับฟังความคิดเห็นประชาชนแต่อย่างใด ภายหลังการเจรจาเมื่อได้ร่างหนังสือสัญญาก่อนการเสนอขอความเเห็นชอบจากรัฐสภา อีกทั้งการรับฟังความคิดเห็นในขั้นตอนอื่น จะเป็นการใช้เว็บไซต์ซึ่งประชาชนจำนวนมากไม่อาจเข้าถึง...คือไม่รับฟังความคิดเห็นด้วย แถมเผยแพร่ข้อมูลให้คนเข้าถึงยากเข้าไว้  หนำซ้ำมีสื่อในการควบคุมอีกต่างหาก

  ดังนั้นแล้ว มหากาพย์งาบน้ำมัน โดย อเมริกาที่ชอบกอบโกย กับแมวขโมยหน้าเหลี่ยมมหามิตรผู้แสนดี ที่คอยปูทางและเปิดช่องในการสมประโยชน์ร่วมกัน  จึงน่าห่วงและกังวลที่สุด เพราะด้วยพลังงานมหาศาลที่กำลังรออยู่ สามารถจะทำให้กลุ่มคนเหล่านี้ คิดแผนการร้ายได้สารพัดรูปแบบ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน หลากหลายมิติ  เพื่อดึงแขกที่อยากดูดเหล่านี้ เข้ามามีส่วนร่วมเป็นไม้ค้ำยัน กันและกัน ระหว่าง เขมร-ฝรั่งเศส VS ไทย-อเมริกา โดยมีแบ็คกราวน์ขำๆเป็น ปราสาทพระวิหาร เป็นตัวจุดประเด็น ...แต่ที่ขำไม่ออกของคนไทยก็คือ พลังงานของคนไทยเองแท้ๆ กำลังจะถูกกอบโกยต่อหน้าต่อตา  ตามสโลแกนสวยเก๋ ปี 2555 ของปตท. ว่า .. "พลังที่ยั่งยืน เพื่อความสุขของคนไทย ..บางคน "

ขอขอบคุณ  ข้อมูลอ้างอิงจากแหล่งข่าวต่างๆที่ยังไม่ถูกบิดเบือน ...

แถมท้ายด้วยเพลง อเมริโกย โดย คาราบาว

อเมริกา อเมริโกย ลิเก.
อเมริกา อเมริโกย.
อเมริกา อเมริโกย ลิเก.
อเมริกา อเมริโกย.

.เมืองไทย กว้างใหญ่อุดม
ดีสม แร่ทรัพย์ นาสวน
เป็นของ คน ไทย ทั้งมวล
มาชวนมาช่วย กันดูแล.

อเมริกา เล่นลิเก ปลูก ข้าวเจ้า
คน เขารู้เรื่องข้าว จากเมืองไทย
หลอกไปแลก
แจกกระดาษ ทำ ดอก-เตอร์
ดอก-เตอร์ ดอก-เตอร์
ด๊อก แหม มันน่า ภูมิใจ.

เป็นข้าวไทย
พันธุ์ทาง กลางเท็ก-ซัส
อเมริกา โยนหมัด
คว่ำ ไทย ลงได้
กระแทก พุง ยุ้ง ฉาง
ข้าว ไทย กระเพื่อม
จนชาวนา สั่นสะเทือน
พลัดตก หลัง ควาย.

อเมริกา เล่นลิเก ขุด แร่ธาตุ
อย่างแก๊ส ก๊าซ ธรรมชาติ
กลางอ่าวไทย
ว่าโชติ ช่วง ชัชวาลย์
บาน เบ้อเร่อเท่อ
ใครฉลาด ใครเซ่อ ใครต้มใคร.

แก๊สก๊าซ ของใหม่ ไทยไม่ถนัด
ถ้าโค่นป่า เผาถ่าน
มาพอฟัด กันไหว
อเมริกา โดดทิ่ม ไทยได้ 2 บ่อ
มีปลายนวม ติดคอ
ฉันจะพูด ได้อย่างไร.

ศึก ข้าวเจ้า ชิงแชมป์เปี้ยนโลก
ไทย ถูกชก ลงไปนอนนับสิบ
ศึกแร่ธาตุ ชิงแชมป์เปี้ยนโลก
ไทย ถูกชก แพ้ ที.เค.โอ
อเมริกา อเมริโกย ลิเก.

อเมริกา เล่นลิเก แก้ผ้าผ่อน
ฉันทนา เดือดร้อน ใคร สน ใจ
ทั้งสิ่งทอ ไหมไทย
รวมทั้งผ้าเตี่ยว
บีบ เสียจน หน้าเขียว เสียวตับไต

ไทยต้องเลิก ขายผ้า เอาหน้า รอด
อย่าหวังแต่คิด สวม กอด
เขา เพื่อลี้ภัย
เป็นคนไทย มวยไทย
เรายังเป็น ต่อ
เขาไม่ใช่พันธุ์แม่พันธุ์พ่อ
ไปกลัวญาติ เขาทำไม.

(อย่าไปกงไปกลัว
ลูกคุณยาย เขาทำไมล่ะ ฮ่ะๆๆ)

ศึก ฉันทนา ชิงแชมป์เปี้ยนโลก
ส่งผู้ใหญ่ ไปชก เพื่อ คนไทย
ให้ เป็นมวย มิ ใช่มวยล้ม

เขียนโดย kokoseven ที่ 2012-01-20
มวย ไทย ไทยนิยม
อเมริโกย แน่บ กลับไป

22

เมื่อกลางปีที่ผ่านมา สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ออกนโยบายแจกเงินมูลค่าสูงสุดถึงสองแสนบาทถ้วนให้กับผู้ใช้สิทธิการรักษาฟรี

ซึ่งเมื่อศึกษาในรายละเอียดแล้วจะพบว่านี่เป็นอีกนโยบายที่กำลังทำลายระบบสาธารณสุขของประเทศ และเป็นการกระทำผิดบทบัญญัติในมาตรา 41 และข้อบังคับว่าด้วยการจ่ายเงินตามมาตรานี้ ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับที่ สตง.ได้ออกมาชี้มูลความผิดเรื่องการทำผิดระเบียบอย่างร้ายแรงมาหมาดๆ นโยบายดังกล่าว คือ “จ่ายสองแสนเพื่อเป็นทุนสำหรับการตั้งครรภ์ภายหลังทำหมัน” หรืออีกนัยหนึ่ง คือ "การออกประกันการทำหมันหญิง ทำฟรี ไม่ได้ผล...ยินดี แถมเงิน 200,000 บาท โดยไม่ต้องพิสูจน์ผิดถูก" คำสั่งนี้มีที่มาของการแจกเงิน "ค่าเสียหาย!!!" อันเนื่องจากมติของบอร์ด สปสช.

มติที่ 03/ว. 769 "เนื่องจากมีข้อหารือในประเด็นดังกล่าวมาจากหลายจังหวัด และคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุขได้พิจารณาประเด็นดังกล่าวแล้ว มีความเห็นแตกต่างกัน จึงได้หารือไปยังคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ... คณะกรรมการได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 6/2554 เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2554 เห็นชอบให้การตั้งครรภ์ภายหลังการผ่าตัดทำหมันหญิง เป็นเหตุสุดวิสัย ที่เข้าเกณฑ์ได้รับการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นตามมาตรา 41 แห่ง พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ"
 
พูดง่ายๆ คือ นับแต่นี้ต่อไป การทำหมันแล้วท้อง ให้ถือเป็นความเสียหายอันเนื่องมาจากการรับบริการสาธารณสุข ในทุกๆ กรณี โดยไม่ต้องสนใจว่าแพทย์จะทำได้มาตรฐานแล้วหรือไม่ (ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์) ผู้รับการทำหมันแล้วท้อง ให้ถือเป็นผู้เสียหายที่สมควรได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นทุกรายไป ผลจากมตินี้เป็นการฉีกตำราทางการแพทย์ออกเป็นเสี่ยงๆ เพราะไม่มีตำราทางการแพทย์เล่มใดที่ระบุว่า การทำหมัน (รวมทั้งการคุมกำเนิดทุกวิธี) สามารถป้องกันการท้องได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่มีตำราเล่มใดที่บอกว่าการตั้งครรภ์ภายหลังการทำหมันถือเป็นความเสียหาย (โบราณเรียกว่ามารดาและเด็กมีบุญผูกพันกันมา เขาจึงอยากมาเกิดกับเรา แต่คำสั่งนี้เรียกว่า ความเสียหายที่แพทย์กระทำ)
 
ที่ผ่านมานั้น ปัญหาเรื่องการทำหมันแล้วท้อง มีการร้องเรียนให้แพทย์รับผิดชอบโดยผู้ร้องจะเกาะกระแสการฟ้องร้องแพทย์ด้วยทัศนคติว่า "ทำหมันแล้วต้องไม่ท้อง หากท้องแสดงว่าแพทย์ก่อความเสียหาย จึงต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดจากการตั้งครรภ์" ซึ่งยังดีที่ไม่เคยมีศาลใดพิพากษาให้แพทย์หรือสถานพยาบาลต้องรับผิดชอบจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูเด็กที่แพทย์ไม่ได้มีส่วนทำให้ท้องแต่อย่างใด

 นอกเหนือจากการฟ้องร้องต่อศาลแล้ว ยังมีกรณีร้องเรียนเอาเงินช่วยเหลือเบื้องต้น เพื่อเยียวยาความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขตาม ม. 41 แห่ง พ.ร.บ. หลักประกันสุขภาพ ซึ่งมีนับเป็นร้อยๆ ราย ส่วนใหญ่แล้วอนุกรรมการที่มีความรู้ทางการแพทย์จะตัดสินให้ยกคำร้องเพราะมองว่ามิใช่ความเสียหายที่จะมาขอรับเงินได้ เนื่องจากเป็นเรื่องปกติที่แพทย์ทั่วโลกทราบดีว่า "ไม่มีวิธีการทำหมันใดๆ จะป้องกันการตั้งครรภ์ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ยกเว้นวิธีการไม่มีเพศสัมพันธ์เท่านั้นที่จะป้องกันได้แน่นอน" แม้ว่าผู้ป่วยจะอ้างว่าตนไม่ทราบข้อเท็จจริงนี้ ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า การทำหมันแล้วจะป้องกันมิให้ท้องได้ในทุกกรณี  ทั้งนี้ เกณฑ์การวินิจฉัยว่าจะจ่ายเงินหรือไม่นั้น

อนุกรรมการชุดที่พิจารณาสั่งจ่ายมักใช้เหตุผลว่าเป็นกรณีสุดวิสัย และผู้ร้องมีฐานะยากจน จึงอนุมัติเงินช่วยเหลือให้ ซึ่งที่ผ่านมา มีประมาณ เกือบ 200 ราย  คิดเป็นเงินเกือบ 8 ล้านบาท  ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ก็มีคำสั่ง สปสช.ที่ 03/ว. 609  ระบุย้ำไว้ว่า "กรณีทำหมันแล้วตั้งครรภ์นั้น ห้ามมิให้จ่ายเงินเว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า เกิดจากข้อผิดพลาดของการผ่าตัด" แสดงว่าที่ผ่านมา คณะกรรมการ/อนุกรรมการที่ สปสช.แต่งตั้ง (ประกอบด้วยแพทย์และคนนอกที่มิได้มีความรู้ทางการแพทย์) มีการฝ่าฝืนคำสั่ง และกฎหมายตาม ม. 41 โดยการจ่ายเงินผิดหลักเกณฑ์ บวกกับให้ด้วยความสงสาร (ซึ่งไม่ใช่จุดประสงค์ของมาตรา 41 เพราะมาตรานี้มิใช่ “เงินสังคมสงเคราะห์” แต่เป็นเงินเยียวยาความเสียหายจริงๆ เท่านั้น) โดยที่มิอาจลงโทษ หรือแม้แต่เรียกเงินคืนได้เลย ทั้งๆ ที่เงินก้อนนี้ล้วนแต่เป็นเงินภาษี เป็นเงินที่ผู้เสียภาษีจ่ายให้รัฐบาลนำไปใช้สำหรับรักษาพยาบาลผู้ป่วย และช่วยเหลือให้โรงพยาบาลสามารถนำไปพัฒนาซื้อเครื่องมือทางการแพทย์ จ่ายค่ายาให้กับบริษัทยา หรือนำไปเป็นเงินจ้างบุคลากรมาดูแลผู้ป่วยเพื่อให้มีคุณภาพที่ดีขึ้น

คำสั่ง สปสช.ที่ 03/ว. 769 โดยการอ้างว่า "การทำหมันแล้วท้อง เป็นเหตุสุดวิสัยทางการแพทย์ ที่ถือเป็นความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข" เป็นการบ่งบอกภูมิปัญญาของคณะกรรมการหลักบางคนของ สปสช. ชุดที่แล้ว ที่ยกมือให้กับมตินี้เป็นอย่างดี
 
ข้อเท็จจริงทางการแพทย์เกี่ยวกับการทำหมัน (หญิง) ไม่มีตำราทางการแพทย์ใดๆ ที่บอกว่า การทำหมันถาวรด้วยการผูกหรือตัดท่อนำไข่ สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้ 100% (เป็นการตั้งชื่อที่ทำให้เข้าใจผิด) ความจริงคือวิธีนี้เป็นวิธีคุมกำเนิดที่ให้ผลดีที่สุดเท่านั้นเอง สาเหตุเกิดจากการกลับมาต่อกันเองของท่อนำไข่ หรือไข่เดินทางข้ามรอยตัดต่อ หรือสเปิร์มเดินทางข้ามท่อนำไข่มาพบกับไข่ ซึ่งมีอัตราที่ประมาณ 0.4-1 รายต่อทุกๆ 100 รายของการทำหมัน และในรายที่ตั้งครรภ์ภายหลังการทำหมันนี้ จะมีกรณีตั้งครรภ์นอกมดลูกประมาณ 13-15% (สูงกว่ากรณีที่มิได้มีการทำหมันด้วยการผ่าตัด) ซึ่งหาก สปสช. ให้เงินค่าทำหมันแล้วยังท้อง ก็ต้องเตรียมตัวให้ค่าเสียหายจากความเสี่ยงของการตั้งครรภ์นอกมดลูกอีกด้วย
 
ผลที่ตามมาจากคำสั่งนี้ คำสั่งให้จ่ายเงินดังกล่าวจะทำให้ รัฐบาล ต้องนำเงินภาษีไปจ่ายให้กับ “สิ่งที่ทางวงการแพทย์มิได้เรียกว่าความเสียหาย” ซึ่งในกรณีนี้ คือ “การทำหมันแล้วท้อง” เป็นจำนวนมาก คิดง่ายๆ ว่า หากปีหนึ่งประเทศไทยมีการทำหมันหญิงประมาณ 365,000 ราย (คิดจากสมมติฐานที่ว่า ทุกวันมีผู้เข้ารับการทำหมันหญิงอย่างน้อยวันละ 1 รายต่อ หนึ่งสถานพยาบาล ประเทศไทยมีสถานพยาบาลทั่วประเทศที่มีศักยภาพทำหมัน (หญิง) ได้ประมาณ 1,000 แห่ง แต่ตัวเลขความเป็นจริงน่าจะสูงกว่านี้หลายเท่าตัว)

 ในปีหนึ่งๆ จะมีกรณีทำหมันหญิงแล้วท้องอยู่ที่อย่างน้อย 1,500-2,000 ราย จำนวนเงินที่ สปสช. จะต้องจ่ายเงินค่าความล้มเหลวจากการทำหมันหญิงแล้วไม่ได้ผล จึงตกประมาณปีละ (อย่างน้อย) 300-400 ล้านบาท !! นี่ยังไม่นับการทำหมันชายที่มีโอกาสไม่ได้ผลมากกว่าการทำหมันหญิงหลายเท่าตัว 
 
หาก สปสช.อนุมัติให้จ่ายเงินผิดระเบียบได้เช่นนี้แล้ว ก็ต้องไม่สองมาตรฐานสำหรับการจ่ายค่าคุมกำเนิดที่ล้มเหลวด้วยวิธีอื่นๆ เช่น กินยาคุม ฉีดยาคุม ใส่ห่วง อีกด้วย และยังต้องเตรียมเงินก้อนมหาศาลสำหรับค่าความล้มเหลวของการฉีดวัคซีนแล้วยังติดโรค การผ่าตัดเนื้องอกแล้วกลับมาเป็นอีก การกินยาแล้วไม่หายจากโรค และอื่นๆ อีกมากมาย เพราะไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์ในทางการแพทย์อยู่แล้ว อันที่จริงแล้วเหตุการณ์เหล่านี้ในตำราแพทย์หาเรียกว่า “ความเสียหาย (damage)” ไม่ แต่เรียกว่า “อัตราล้มเหลว (failure rate)” หรือ “ผลอันไม่พึงประสงค์ (adverse effect, bad outcome)”  ดังนั้น การออกมติเช่นนี้ของบอร์ด สปสช. เท่ากับเป็นการเขียนตำราทางการแพทย์ขึ้นมาใหม่ โดยกำหนดให้ “ผลอันไม่พึงประสงค์ทุกอย่าง ล้วนเป็นความเสียหายที่ผู้ให้การรักษาเป็นผู้ก่อและต้องรับผิดชอบความเสียหายทางอ้อม” ซึ่งเคยมีคำตัดสินทั้งจากศาลในและต่างประเทศให้ยกฟ้องกรณีเช่นนี้มามากมาย  แต่ สปสช.กลับเอาเงินภาษีไปจ่ายโดยผิดทั้งระเบียบ ม. 41 และผิดตำราการแพทย์ของทั่วโลก ซึ่ง สตง.ควรจะเข้ามาตรวจสอบการจ่ายเงินเช่นนี้ด้วย
 
หากมีการขยายวงเงินสูงสุดของ ม. 41 จาก 200,000 บาท เป็น 1,000,000 บาท หรือมีการผ่านกฎหมาย “พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายจากการรับบริการสาธารณสุข” ที่มีโครงสร้างลอกแบบมาจาก ม. 41 คือ คณะกรรมการประกอบด้วยคนนอกที่ไม่มีความรู้ทางการแพทย์เข้ามานั่งตัดสินตามความรู้สึก ตามอารมณ์สงสาร โดยปราศจากความรู้ความเข้าใจในข้อเท็จจริงด้านการแพทย์ มีการตัดสินด้วยการอ้างการไม่พิสูจน์อะไรเลย เดินมายื่นคำร้องแล้วก็รับเงินไปเร็วๆ เป็นล้านๆ บาท จะเกิดอะไรขึ้นกับระบบสาธารณสุขไทย ที่ทุกวันนี้ ได้ยินแต่ข่าวว่า โรงพยาบาลจะล้มละลายเพราะมีแต่ข่าว สปสช.กั๊กเงินไว้ แพทย์ไม่มีสิทธิเลือกยาหรือวัสดุการแพทย์ที่ดีที่สุดให้ผู้ป่วยเพราะ สปสช. อ้างเรื่องราคามาควบคุมดุลยพินิจในการประกอบวิชาชีพของแพทย์ ซึ่งแพทย์รุ่นหลังนี้ต้องถามตัวเองก่อนลงมือทำหมันว่า “พร้อมจะเป็นผู้ก่อความเสียหายด้วยการทำหมันหรือไม่?”

นพ. เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ
กรุงเทพธุรกิจ 10 มกราคม 2555

23
 “ อิฉันชื่อพลอยค่ะ อิฉันรักพระเจ้าแผ่นดิน หากมีใครเกิดสงสัยว่า ด้วยเพราะความคิดใด จึงทำให้อิฉันเอ่ยปากออกมาเป็นคำพูดเยี่ยงนี้ อิฉันจะเล่าเรื่องราวของอิฉันให้ฟัง เรื่องราวของชีวิตที่เปรียบดังสายน้ำในคลองบางหลวงที่บางครั้งเอ่อล้นฝั่ง แต่บางคราวกลับลดต่ำแห้งขอด และก็มีหลายครั้งที่ไหลเชี่ยว วกวนเกินคาดเดา แต่ท่ามกลางกระแสชีวิตที่ผันแปร ความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นกลับผ่านพ้นไปได้เสมอ เพราะชีวิตอิฉันมีเสาหลักให้ยึดเหนี่ยว เสาหลักที่ช่วยพยุงกายและใจ และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่แค่อิฉันเพียงคนเดียว หากแต่เป็นคนไทยทั้งแผ่นดินที่มีหลักยึดเหนี่ยวเดียวกันนี้ ทำให้ชีวิตมีความหวังอยู่เสมอ และนี่คือเรื่องราวของชีวิตอิฉัน เรื่องราวชีวิตของคนๆหนึ่งที่ผ่านมาตลอดทั้งสี่แผ่นดิน” “แม่พลอย” ซึ่งรับบทโดย สินจัย เปล่งพานิช เริ่มต้นเปิดฉากการแสดงจุดยืนของตัวเองก่อนที่จะเล่าขานชีวิตในลำดับต่อไป
       
       คาแรกเตอร์ของ “แม่พลอย” ในนวนิยาย “สี่แผ่นดิน” ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช มีความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์อย่างสูงสุด ตลอดชีวิต 4 แผ่นดินของแม่พลอยต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงของการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งในชีวิตส่วนตัว แม่พลอยผ่านสุขและทุกข์นับครั้งไม่ถ้วน ลูกๆ แต่ละคนก็มีมุมมองในด้านสังคมและการเมืองไปคนละอย่าง แม่พลอยไม่เพียงแต่รับรู้เท่านั้น หากแต่ยังต้องใช้ชีวิตแต่ละช่วงค้นหาหลักสัจธรรมของชีวิตอีกด้วย
       
       สี่แผ่นดิน เดอะมิวสิคัล เป็นหนึ่งในกิจกรรมเนื่องในวาระครบรอบ 100 ปี ชาตกาล ที่องค์การยูเนสโกได้ประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นบุคคลสำคัญของโลกใน 4 สาขา อันได้แก่ การศึกษา วัฒนธรรม สังคมศาสตร์ และสื่อสารมวลชน
       
       แม้ว่าการประกาศยกย่องเชิดชูนี้ จะมี “บางท่าน” ไม่เห็นด้วย ดังกรณีที่สุลักษณ์ ศิวรักษ์มีจดหมายแสดงความเห็นค้านผ่านบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2552 ก่อนที่รัฐบาลไทยจะเสนอชื่อ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชให้ทางยูเนสโกพิจารณา มีความตอนหนึ่งเอ่ยถึง “สี่แผ่นดิน” ว่า
       
       “สี่แผ่นดิน นั้นเป็นนวนิยายที่ใช้ล้างสมองให้คนเห็นว่าประชาธิปไตยเป็นของเลว ราชาธิปไตยเป็นของวิเศษ ชาติวุฒิสำคัญยิ่งกว่าคุณวุฒิของสามัญชนคนธรรมดา”
       
       หลังม่านนิยาย “สี่แผ่นดิน”
       ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ใช้วิธีการเขียน “สี่แผ่นดิน” แบบทีละตอน โดยมิได้มีการวางพล็อตไว้ล่วงหน้าแต่อย่างใด แม่พลอยเริ่มปรากฏตัวครั้งแรกในวัย 10 ขวบเมื่อวันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2494 ที่หน้า 4 ของหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ซึ่งตอนนั้นเพิ่งผ่านวันครบรอบของหนังสือพิมพ์ได้เพียง 1 ปีกับ 4 วัน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เขียน “สี่แผ่นดิน” ได้เพียง 7 วัน ก็ตัดสินใจหยุดนิยายเรื่องนี้ลงชั่วคราว มิเพียงแต่นิยายเท่านั้น หากรวมถึงบทความต่างๆ ด้วย เนื่องจากอิทธิพลทางการเมืองในยุคกบฏแมนฮัตตัน และรัฐบาลได้คุกคามเสรีภาพของสื่อมวลชนด้วยการตรวจสอบข่าวทุกชิ้นที่จะตีพิมพ์
       
       “หากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เสรีภาพอันมีขอบเขตแล้ว ข้าพเจ้าของดการใช้เสรีภาพนั้นเสียชั่วคราวจะดีกว่า” ม.ร.ว.คึกฤทธิ์กล่าวดังนั้น
       
       แม่พลอยหายไปจากคลองบางหลวงเป็นเวลานานถึง 2 เดือน และกลับเข้ามาโลดแล่นในหน้าหนังสือพิมพ์สยามรัฐรายวันอีกครั้งในวันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2494 บรรทัดสุดท้ายของ “สี่แผ่นดิน ถูกตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สยามรัฐเมื่อวันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2495
       
       ม.ร.ว.คึกฤทธิ์เขียน “คำนำ” กล่าวแสดงวัตถุประสงค์ของการเขียน “สี่แผ่นดิน” ฉบับพิมพ์ครั้งแรก เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2496 ไว้ว่า
       
       “ในระยะเวลาที่ค่อนข้างจะนานนี้ ได้มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นเป็นอันมากในเมืองไทย และได้มีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเกิดขึ้นมากมายหลายเรื่อง เหตุการณ์และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ นี้ เป็นเรื่องที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ จึงเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ย่อมทราบ แต่สิ่งที่ประวัติศาสตร์มิได้จารึก ก็คือ รายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตและความเป็นอยู่ ตลอดจนความคิดเห็นของคนที่ต้องประสบเหตุการณ์และการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ สิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นรายละเอียดเบื้องหลังประวัติศาสตร์และย่อมมีความสำคัญอยู่ไม่น้อย เพราะการอบรมประเพณีและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แห่งชีวิต ย่อมเป็นมูลฐานของความคิดเห็นและกระทำให้บุคคลเกิดปฏิกิริยาแตกต่างกันไป ในเมื่อมีเหตุการณ์หรือการเปลี่ยนแปลงใดๆ มากระทบตัว … ผู้เขียนมีเจตนาที่จะให้หนังสือ “สี่แผ่นดิน” นี้เป็นที่รวบรวม “รายละเอียดเบื้องหลัง
       ประวัติศาสตร์” ต่างๆ เหล่านี้ไว้อีกอย่างหนึ่ง นอกจากก่อความบันเทิงให้แก่ผู้อ่านแต่อย่างเดียว จะเปรียบเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นนั้น เป็นลายโครงบนผืนผ้าลายอย่างไทยๆ ผู้เขียนก็มีเจตนาที่จะให้หนังสือเรื่อง “สี่แผ่นดิน” นี้เป็นลายประกอบ เพื่อจะได้ทำผ้าลายนั้นมีลวดลายเต็มขึ้นและวิจิตรพิสดารยิ่งขึ้น”
       
       ชื่อภาษาอังกฤษของสี่แผ่นดินคือ Four Reigns มีการแปลเป็นภาษาญี่ปุ่นโดย เคอิโกะ โยชิกาวา และภาคภาษาอังกฤษแปลโดย “ตุลจันทร์ (นามปากกาของ จันทร์แจ่ม บุนนาค) โดยสำนักพิมพ์ดวงกมลเป็นผู้จัดพิมพ์
       
       ชีวิตสี่แผ่นดินของแม่พลอยไล่เรียงจากแผ่นดินรัชกาลที่ 5 จนถึงสิ้นรัชกาลที่ 8
       “พลอยรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวลอยขึ้นสู่เบื้องสูง ในขณะนั้น ความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดแก่ตัวมาหลายครั้งหลายคราว ดูเหมือนจะเริ่มหลุดพ้นไป พลอยนึกถึงคุณเปรม ซึ่งดูเหมือนจะมาอยู่ใกล้ตัวทุกครั้งที่บังเกิดความทุกข์โทมนัส
       
       …............................
       
       เย็นวันนั้น วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 น้ำในคลองบางหลวงลงแห้งเกือบขอดคลอง หัวใจพลอยที่อ่อนแอลงด้วยโรคและความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ก็หลุดลอยตามน้ำไป”
       
       “แม่พลอยฟีเวอร์” มีมาตั้งแต่ตอนที่ “สี่แผ่นดิน” ถูกตีพิมพ์เป็นตอนๆ ในหน้าหนังสือพิมพ์สยามรัฐแล้ว
       จากคำนำของหนังสือเรื่อง "สี่แผ่นดิน" ฉบับชุดแรก ซึ่งเขียนโดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ทำให้ทราบว่า แม่พลอยเกิดจากจินตนาการของท่านเอง ไม่ได้มีบุคคลใดเป็นต้นฉบับของแม่พลอยโดยแท้ สิ่งเดียวที่จะยอมรับได้ก็คือชาติสกุลของแม่พลอยเท่านั้น เพราะในเรื่องได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่าแม่พลอยเป็นพวก "ก๊กฟากข้างโน้น" อันเป็นศัพท์ที่ใช้เรียกคนสกุล “บุนนาค” ในสมัยก่อน
       
       นอกจากเรื่องเทือกเถาเหล่ากอของ “แม่พลอย” แล้ว ยังมีการนำเอาตัวเลขปีที่ปรากฏในนิยายมาบวกลบคูณหารออกมาได้ว่า แม่พลอยมีอายุสิริรวม 64 ปี
       
       ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ได้บันทึกไว้ใน “คำนำ” ของสี่แผ่นดิน ฉบับแจกในการพระราชทานเพลิงศพคุณหญิงประเสริฐศุภกิจ (จำเริญ ไกรฤกษ์) ลงวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2515ว่า
       
       “ผมยังจำได้ว่า เมื่อครั้งเรื่องสี่แผ่นดินยังเป็นเรื่องยาววันต่อวันในหนังสือพิมพ์สยามรัฐนั้น พอถึงตอนที่แม่พลอยแพ้ท้องและปรารภกับคุณเปรมผู้สามีว่าอยากรับประทานมะม่วงดิบ ก็มีท่านที่นับญาติกับแม่พลอยส่งมะม่วงดิบมาให้ถึงโรงพิมพ์สยามรัฐทันที ทั้งที่ขณะนั้นมิใช่หน้ามะม่วง
       
       ท่านที่ส่งมะม่วงดิบมาให้แม่พลอยนั้นคือ เจ้าจอมอาบ ในรัชกาลที่ 5 เจ้าจอมอาบเป็นคนในสกุลบุนนาค
       
       (หมายเหตุกองบรรณาธิการ - เจ้าจอมอาบ บุนนาค (20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2424 - 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2504) เป็นเจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นหนึ่งใน “เจ้าจอมก๊กออ” อันหมายถึง “อ” อันได้แก่ เจ้าจอมมารดาอ่อน, เจ้าจอมเอี่ยม, เจ้าจอมเอิบ, เจ้าจอมอาบ และเจ้าจอมเอื้อน บุตรีในเจ้าพระยาสุรพันธ์พิสุทธิ์ (เทศ บุนนาค) ที่เกิดแก่ท่านผู้หญิงอู่ (สกุลเดิม วงศาโรจน์))
       
       ที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า มีผู้เห็นว่าแม่พลอยในเรื่อง “สี่แผ่นดิน” นั้นเป็นคนจริงๆ มีตัวตน และเหตุที่มีผู้เห็นไปเช่นนั้นก็เพราะแม่พลอยมีลักษณะต่างๆ และมีคุณธรรมซึ่งตรงกับที่คนจริงๆ นั้นมี มิใช่ลักษณะและคุณธรรมซึ่งผมคิดเอาเองหรือแต่งเอาเอง
       
       ลักษณะคุณธรรมต่างๆ ของแม่พลอยนั้น ผมได้เขียนขึ้นจากลักษณะและคุณธรรมของท่านผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือหลายท่าน โดยเฉพาะท่านที่เป็นญาติผู้ใหญ่ซึ่งเป็นคนรุ่นเดียวกับแม่พลอย
       
       …...................
       
       ผมไม่อยากจะกล่าวว่าคุณอาเริญคือ แม่พลอย ไม่อยากจะกล่าวว่าคุณอาเริญคือแม่พลอย ไม่อยากจะกล่าวว่า คุณอาเริญเหมือนแม่พลอย และไม่ขอกล่าวว่า คุณอาเริญประกอบด้วยคุณธรรมต่างๆ ของแม่พลอย สิ่งที่ผมใคร่จะขอกล่าวในที่นี้คือ คุณอาเริญต่างหากที่เป็นแบบฉบับท่านหนึ่งที่ทำให้ผมสามารถสร้างตัวบุคคลชื่อแม่พลอยขึ้นมาได้ในเรื่อง “สี่แผ่นดิน” และขอกล่าวเสียด้วยในที่นี้ว่า ถ้าหากว่าแม่พลอยมีคุณธรรมใดๆ ที่ตรงกับคุณอาเริญแล้ว คุณธรรมเหล่านั้นก็เป็นของคุณอาเริญ ไม่ใช่ของแม่พลอย”
       
       “ละครโทรทัศน์” สี่แผ่นดิน
       นิยาย “สี่แผ่นดิน” ของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชเคยจัดทำเป็น “ละครโทรทัศน์” หลายครั้ง เช่น
       พ.ศ. 2504 - ช่อง 4 บางขุนพรหม ทำเป็นละครครั้งแรก โดยมี “เปี๊ยก” สุธัญญา ศิลปเวทิน” (ต่อมาแต่งงานกับ พ.อ.พยุง ฉันทศาสตร์โกศล แห่งรัชฟิล์มทีวี และลูกสาวคือ ละลิตา ฉันทศาสตร์โกศล นักเขียนบทโทรทัศน์มือฉกาจที่มีผลงานมากมายในปัจจุบัน) รับบทเป็น “แม่พลอย” ในวัยสาว และสุพรรณ บูรณพิมพ์ รับบทในช่วงปัจฉิมวัย “คุณเปรม” รับบทโดย อาคม มกรานนท์ ผู้ประกาศข่าวรุ่นแรกๆ ของช่อง 4 บางขุนพรหม และชูศรี โรจนประดิษฐ์ (มีสมมนต์) รับบทเป็น “แม่ช้อย” โดยมีสุพรรณ บูรณพิมพ์ เป็นผู้กำกับการแสดง
       
       พ.ศ. 2517 - ออกอากาศทุกวันศุกร์ ช่วงหัวค่ำ ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 สุพรรณ บูรณพิมพ์นำมากำกับฯ อีกครั้ง “ปุ๊” พัชรา ชินพงสานนท์ รับบทเป็นแม่พลอย ประพาศ ศกุนตนาค รับบทเป็น “คุณเปรม” ร่วมด้วยสุมาลี ชาญภูมิดล และ รจิต ภิญโญวนิชย์
       
       พ.ศ. 2523 - ทางสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 โดยกนกวรรณ ด่านอุดม ในนามของคณะรัศมีดาวการละคร กำกับการแสดงโดย กัณฑรีย์ น. สิมะเสถียร ผู้รับบทแม่พลอยคือ “แมว” นันทพร อัมผลิน (ต่อมาถูกฆาตกรรม เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2545) และ นันทวัน เมฆใหญ่ โดยมี ภิญโญ ทองเจือ รับบทเป็น “คุณเปรม” ร่วมด้วย ผดุงศรี โสภิตา, นพพล โกมารชุน, อุทุมพร ศิลาพันธ์, วิฑูรย์ กรุณา, ฤทัยรัตน์ อมตะวณิชย์, ด.ญ.พิไลพร เวชประเสริฐ
       
       สี่แผ่นดินเวอร์ชันนี้ยังมี “รางวัล” การันตีอีกด้วย กล่าวคือ
       วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2523 หนังสือพิมพ์บ้านเมืองได้จัดงานประกาศผลรางวัล “ทีวีตุ๊กตาทองมหาชน” ละคร “สี่แผ่นดิน” ได้รับรางวัลทั้งสิ้น 3 รางวัล คือ ดารายอดนิยมฝ่ายชาย คือ นพพล โกมารชุน, นักแสดงรุ่นเยาว์ยอดนิยม ได้แก่ ด.ญ.พิไลพร เวชประเสริฐ (แม่พลอยวัยเด็ก) และรางวัลบทประพันธ์ยอดนิยม คือ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
       
       วันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2524 สมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย จัดมอบรางวัลเป็นปีแรก โดย นันทวัน เมฆใหญ่ ได้รับรางวัลนักแสดงนำฝ่ายหญิงยอดเยี่ยม และ นพพล โกมารชุน ได้รับรางวัลนักแสดงนำฝ่ายชายดีเด่น
       
       พ.ศ. 2534 - ทางสถานีโทรทัศน์สีช่อง 3 โดย วรายุธ (วรายุทธ) มิลินทจินดา ในนามของบริษัท ไอแอม กำกับการแสดงโดย สุประวัติ ปัทมสูต นำแสดงโดย จินตรา สุขพัฒน์ และฉัตรชัย เปล่งพานิช ร่วมด้วย ธิติมา สังขพิทักษ์, เพ็ญพิสุทธิ์ คงสมุทร, ธัญญา โสภณ, พลรัตน์ รอดรักษา, สถาพร นาควิลัย, รอน บรรจงสร้าง ฯลฯ
       
       รางวัลโทรทัศน์ทองคำครั้งที่ 6 ประจำปี 2534 ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2535 จินตหรา สุขพัฒน์คว้ารางวัลดารานำฝ่ายหญิงจากบท “แม่พลอย” ในเวอร์ชันนี้
       
       พ.ศ. 2546 - ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ในนามของบริษัททูแฮนส์ กำกับการแสดงโดย ม.ล.พันธุ์เทวนพ เทวกุล นำแสดงโดย สิริยากร พุกกะเวส และธีรภัทร์ สัจจกุล ร่วมด้วย สะแกวัลย์ ยงใจยุทธ, ชลิดา เถาว์ชาลี, ชุดาภา จันทเขตต์, เพ็ญเพ็ชร เพ็ญกุล, ชาคริต แย้มนาม, เกริกพล มัสยวานิช ฯลฯ
       ไม่อาจปฏิเสธว่า “สี่แผ่นดิน” ในเวอร์ชันนี้สมบูรณ์ด้วยฉาก, พร็อพ, เสื้อผ้า, หน้า, ผม เพียบพร้อม สมจริง จนคว้ารางวัลองค์ประกอบศิลป์ยอดเยี่ยมจากการประกาศรางวัลโทรทัศน์ทองคำ เมื่อปี พ.ศ. 2546 มาครอง
       
       ละครเวทีวิทยานิพนธ์ “สี่แผ่นดิน”
       “สี่แผ่นดิน” เคยเป็นละครเวทีวิทยานิพนธ์ของ “หง่าว” ยุทธนา มุกดาสนิท เมื่อครั้งที่ศึกษาอยู่ที่แผนกอิสระ วารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดการแสดงครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2516 ณ หอประชุมเล็กมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (หอประชุมศรีบูรพา ในปัจจุบัน) แม่พลอยในโลกละครเวทีคนแรกคือ สุวัฒนา ชมบุญ, แม่ช้อย รับบทโดย สุพัตรา นาคะตะ, เพิ่ม รับบทโดย สวัสดิ์ มิตรานนท์ (เสียชีวิตแล้ว เป็นคนไทยคนแรกและคนเดียวที่นอนปราศรัยด้วยร่างกายที่อิดโรย อันเนื่องจากการอดข้าวประท้วงเพื่อให้รัฐบาลปล่อยตัวผู้บริสุทธิ์ เหตุเกิดก่อน 14 ตุลาคม 2516 เพียงไม่กี่วัน) , อั้น รับบทโดย สมชาย อนงคณะตระกูล ฯลฯ
       
       ปี 2517 บทละครเวทีที่เคยจัดแสดงนี้ได้จัดพิมพ์เป็นหนังสือปกอ่อน กระดาษปรูพ 205 หน้า
       หนังสือเล่มดังกล่าวนำ “คำนำ” จากหน้า 5 ของหนังสือพิมพ์สยามรัฐ โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เขียนไว้มาตีพิมพ์รวมอยู่ด้วย ความว่า
       
       “เมื่อนักศึกษามาขออนุญาตนำเอาเรื่องสี่แผ่นดินไปทำบทละคอน ผมก็ได้ให้อนุญาตไปด้วยความเป็นห่วงอยู่ไม่น้อย เพราะแลเห็นความยากลำบากของผู้ที่จะต้องสร้างบทละคอนขึ้นจากหนังสือเรื่องสี่แผ่นดิน
       
       แต่เมื่อดูละคอนเรื่องนี้แล้ว ผมก็สิ้นความห่วงใยและสิ้นความวิตก
       
       มีแต่ความเคารพนับถือ และความชื่นชมในความสามารถของนักศึกษาผู้ทำบทละคอนนั้นเหลืออยู่ในใจแต่เพียงอย่างเดียว
       
       จะเป็นเพราะความชราหรืออะไรก็ตามที ทุกวันนี้ถ้าผมได้เห็นคนที่ยังอยู่ในวัยเยาว์ทำอะไรได้ดี และแสดงความสามารถให้ปรากฏแล้ว ผมก็เกิดความปลื้มใจ เกิดความปีติโสมนัสยิ่งกว่าที่ตัวได้ทำเองเป็นไหนๆ
       
       จึงขอแสดงความปลื้มใจและความปีติโสมนัสนั้นไว้ในที่นี้ - - คึกฤทธิ์ ปราโมช”
       
       สี่แผ่นดินเดอะมิวสิคัล
       สี่แผ่นดินเวอร์ชันนี้ใช้พระบรมสาทิสลักษณ์ของ “ในหลวง” รัชกาลต่างๆ เป็นสัญลักษณ์และการเปลี่ยนผ่านของแผ่นดิน โดยในเวอร์ชันนี้ให้ความสำคัญต่อธีม “รักพระเจ้าอยู่หัว” มากเป็นพิเศษ รายละเอียดปลีกย่อยที่เคยปรากฏในนิยายถูกตัดออกไปมากเพื่อมุ่งเชิดชูความจงรักภักดีต่อในหลวงของแม่พลอยเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์และเหตุการณ์ในปัจจุบัน
       
       หลังดำเนินเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ความพิเศษของเวอร์ชันนี้ได้เปิดม่านอีกครั้ง เพื่ออัญเชิญพระบรมสาทิสลักษณ์องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันขึ้นประดิษฐานบนผนัง เนื่งด้วยพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ในวันเดียวกับที่พระเชษฐาธิราช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลสวรรคต เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 ความพิเศษนี้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
       
       เพลงพิเศษของ “สี่แผ่นดิน เดอะมิวสิคัล” ชื่อ “ในหลวงของแผ่นดิน” แต่งคำร้องโดย วิเชียร ตันติพิมลพันธ์, ประพันธ์ทำนองและเรียบเรียงเสียงประสานโดย สราวุธ เลิศปัญญานุช
       
       “มองเห็นพระเจ้าอยู่หัว ท่ามกลางคนมืดมัว เหมือนเห็นแสงทองส่อง ใจ ตื้นตันเพียงได้มอง พนมมือทั้งสอง ก้มลงกราบด้วยหัวใจ มองพระผู้ทรงเมตตา เฝ้าดูแลประชา ทั่วอาณาใกล้ไกล เมื่อยามอ่อนล้า หมดหวัง พระองค์อยู่เป็นหลักนำหัวใจ” ...
       
       เพลงนี้นอกจากจะเป็นเพลงประกอบละครเวที “สี่แผ่นดิน เดอะมิวสิคัล” แล้ว ยังเป็นเพลงซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อเทิดพระะเกียรติฯ เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเจริญพระชนมายุครบ 7 รอบ 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554 ซึ่งขับร้องโดยศิลปิน นักร้อง นักแสดง 123 คน ที่เคยร่วมงานกับค่ายเอ็กแซ็กท์-ซีเนริโอ
       
       วันที่ 5 ธันวาคม เวลา 15.30 น. “สี่แผ่นดิน เดอะมิวสิคัล”จะเปิดการแสดงรอบพิเศษ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยรายได้ทั้งหมดจะมอบแก่สถาบันการแพทย์ สยามินทราธิราช โรงพยาบาลศิริราช โดยไม่หักค่าใช้จ่าย
       
       สี่แผ่นดิน เดอะมิวสิคัล กำกับการแสดงโดย ถกลเกียรติ วีรวรรณ โดย “แม่พลอย” ใน 3 ช่วงวัย นำแสดงโดย ด.ญ.ณัฐนิช รัตนเสรีเกียรติ (น้องพินต้า), “มัดหมี่” พิมดาว พานิชสมัย และ “นก” สินจัย เปล่งพานิช, “คุณเปรม” 2 ช่วงวัย นำแสดงโดย “กัน เดอะสตาร์” นภัทร อินทร์ใจเอื้อ และ “อุ้ย” เกรียงไกร อุณหนันท์, รัดเกล้า อามระดิษ รับบทเป็น “แม่ช้อย”, ลูกชายทั้ง 3 คนของแม่พลอยกับคุณเปรม แสดงโดย “อาร์ เดอะสตาร์” อาณัตพล ศิริชุมแสง (อ้น - ลูกติดของคุณเปรม), “สิงโต เดอะสตาร์” สิงหรัตน์ จันทร์ภักดี (อ๊อด ลูกติดแม่) และ “ตูมตาม เดอะสตาร์” ยุทธนา เปื้องกลาง (ลูกที่มีความคิดเสรีนิยม สนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย) ร่วมด้วยรัดเกล้า อามระดิษ, ตี๋ ดอกสะเดา
       
       “สี่แผ่นดิน เดอะมิวสิคัล” เริ่มเปิดการแสดง (หลังจากที่เลื่อนมาจากเดือนตุลาคม) ตั้งแต่วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 - 22 มกราคม พ.ศ. 2555 บัตรการแสดงทุกรอบ ติดต่อได้ที่ www. thaiticketmajor.com โทร. 0-2262-3456 หรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ ซีเนริโอ โทร. 0-2642-2400-5

ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 พฤศจิกายน 2554

24
ปีกระต่ายผ่านไป ปีงูใหญ่ผ่านเข้ามา
       
       และจะอยู่กับเราไปอีก 1 ปีเต็มๆ
       
       เป็น 1 ปีกับตัวเลข ค.ศ. 2012 ที่ใครหลายๆคนหวาดหวั่น ตื่นตระหนกกับคำนายถึงพิบัติภัยล้างโลกต่างๆ ซึ่งผมขอทุกคนให้อยู่กับมันอย่างมีสติ มีความสุขอย่างพอเพียงกับปัจจุบัน อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ส่วนสัตว์โลกจะต้องเป็นไปตามกรรมหรือเปล่านั้น ที่ผ่านมาผมยังไม่เห็นนักการเมืองโกงกินบ้านเราถูกกรรมติดจรวดตามทันเลย
       
       สำหรับยุทธจักรวงการเพลงทั้งไทยและเทศในปีกระต่ายที่ผ่านมานั้น ต้องบอกว่าเป็นปีทองของผู้หญิงอย่างแท้จริง
       
2011-เพลงสากล ดนตรีโลก
       
       พูดถึงปีกระต่าย 2011 แล้ว นักร้องเบอร์หนึ่งที่นอนมาในแวดวงดนตรีสากล ทอดตาทั้งยุทธจักรจนตาไหม้เกรียม คงเห็นจะไม่มีใครโดดเด่นเป็นเบอร์หนึ่งเกินไปว่า “อะเดล” (Adele : Adele Laurie Blue Adkins) นักร้องสาวสวยร่างอวบอั๋นชาวอังกฤษ
       
       อัลบั้ม “21” อัลบั้มที่สองของเธอที่ตั้งชื่อตามอายุในช่วงกำลังทำอัลบั้มนั้น สุดแสนจะโด่งดังค้างฟ้าพาอัลบั้ม 21 ขึ้นไปนั่งแท่นครองบัลลังก์เบอร์หนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ด 200 ได้อย่างยาวนานหลาย 10 สัปดาห์
       
       อะเดล เป็นนักร้องแม้จะเคยผิดหวังในความรักจนถึงขนาดนำมาเขียนเป็นเพลงโด่งดัง แต่พฤติกรรมการแสดงออกของเธอนั้นถือเป็นที่ยอมรับของแฟนเพลง นักวิจารณ์ และคนในวงการ เพราะเธอมุ่งเน้นขายความสามารถเป็นหลัก ไม่ได้มุ่งเน้นการตลาดในด้านการสร้างข่าวฉาว หรือมุ่งเน้นด้านโชว์เนื้อหนังมังสาขายความเซ็กซี่
       
       และนั่นก็ยิ่งเป็นตัวเสริมส่งให้ อะเดล กับผลงานของเธอทั้งตัวอัลบั้มและซิงเกิ้ลเพลงดัง “Rolling in the Deep” โด่งดังและขายดีถล่มทลาย โดยเฉพาะกับอัลบั้ม 21 ล่าสุดกลับขึ้นมาขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ดอีกครั้งรับคริสตศักราชใหม่ หลังปล่อยให้พ่อหนุ่มหล่อไมเคิล บลูเบลย์ ยึดบังลังก์ไปครองในช่วงเวลาสั้นๆกับอัลบั้ม“Christmas” ที่เป็นไปตามอีเวนต์ นอกจากนี้อเดลยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ในปี 2012 นี้ มากถึง 6 รางวัล

       ด้านขั้วตรงข้ามคู่แข่งทางเสียงเพลงอย่าง“เลดี้ กาก้า” นั้นก็ไม่เบา สามารถพาอัลบั้ม “Born This Way” อัลบั้มล่าสุดของเธอไปครองอัลบั้มหนึ่งบิลบอร์ดได้ในระยะเวลาๆสั้น พร้อมกับพาชื่อเสียงเลดี้ กาก้า ไปโด่งดังติดอันดับ 1 ใน 5 ของวงการปีกระต่ายได้อย่างไม่ยากเย็น
       
       อย่างไรก็ดีเลดี้ กาก้า และอะเดล แม้เธอจะเป็นคู่ขับเคี่ยวทางด้านเสียงเพลงกัน แต่ชีวิตนอกตัวโน้ตดนตรีทั้งคู่ต่างชื่นชมในฝีมือของกันและกัน โดยเฉพาะในเร่องความสวยความงามตามสไตล์สาวๆ ต่างคนต่างเคยออกมาผลัดกันชื่นชม(อวย)ในความงามของแต่ละคน จนเป็นที่ถูกอกถูกใจแฟนๆของทั้งคู่ ซึ่งผมอยากให้นักการเมืองไทยหลายๆคนมีพฤติกรรมด้านสร้างสรรค์อย่างนี้บ้างจัง
       
       ขณะที่แม่สาววัยใส เทย์เลอร์ สวิฟท์ ที่นับวันนิ่งสวยวันสวยคืนนั้นเธอก็ไม่น้อยหน้า ยังคงพาบทเพลงคันทรียุคใหม่กับอัลบั้ม Speak Now ไปโลดแล่นครองขวัญใจอเมริกันชน และเธอยังจะคงเป็นขวัญใจมหาชนคนอเมริกันไปอีกนาน ซึ่งนับเป็นอักหนึ่งคนดนตรีหญิงที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงปรี๊ดในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ถ้าถามถึงเรื่องความรักแล้ว เทย์เลอร์คงยังต้องความหาคู่แท้ของเธอต่อไป
       
       ส่วนในโลกโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊คนั้น ค่อยข้างมาแหวกแนวเมื่อ“รีฮันนา” นักร้องสาวมากความสามารถ สามารถครองแชมป์มาเป็นเบอร์หนึ่ง โดยรีฮันนามีแฟนเพจในเฟซบุ๊คเป็นจำนวนมากกว่าถึง 47 ล้านเพจวิว ส่วนอันดับสองตามมาด้วยเฟซบุ๊คของราชาเร็กเก้ บ็อบ มาร์เลย์ ผู้ล่วงลับ ซึ่งหากใครถามไป อยากให้ป๋าบ็อบแกตอบสดๆคงต้องจุดธูปอันเชิญหรือตามแกไปเร็กเก้บนสรวงสวรรค์ และอันดับที่ 3 เป็นของ อาฟริล ลาวีน ร็กเกอร์สาวสุดซ่า

       และนี่ก็คือสรุป ผลงาน 10 อันดับของศิลปินในปี 2011 ที่ผ่านมา
       
       10 อันดับเพลงยอดนิยม วัดจากผลงานรวมทั้งยอดดาวน์โหลด ยอดขายซิงเกิ้ล การเปิดทางวิทยุและทางออนไลน์ 1.“Rolling In The Deep” : อะเดล 2.“Party Rock Anthem” : แอลเอ็มเอฟ-เอโอ 3. “Firework” : เคที่ เพอรี่ 4. “E.T.” : เคที่ เพอร์รี่ 5. “Give Me Everything” ของ พิทบูลล์ 6.“Grenade” : บรูโน่ มาร์ส 7. “F**k You (Forget You)” : ซี-โล กรีน 8. “Superbass” : นิคกี้ มินาจ 9. “Moves Like Jagger” : มารูน ไฟว์ 10. “Just Can't Get Enough” : เดอะ แบล็ค อายด์ พีส์
       
       10 อันดับอัลบั้มยอดนิยม 1. “21” : อะเดล 2. “Speak Now” : เทย์เลอร์ สวิฟท์ 3. “Born This Way” : เลดี้ กาก้า 4. “My Kindy Party” : เจสัน อัลดีน 5.“The Gift” : ซูซาน บอยส์ 6. “The Carter IV” : ลิล เวย์น 7. “Pink Lady” : นิคกี้ มินาจ 8. “Sigh No More” : มัมฟอร์ด แอนด์ ซันส์ 9. “Loud” : รีฮันน่า 10. “Teenage Dream” : เคที่ เพอร์รี่
       
       10 อันดับศิลปินเพลงยอดนิยมบนเฟซบุ๊ค 1. รีฮันนา 2. บ็อบ มาร์เลย์ 3. อาฟริล ลาวีน 4. เดวิด เกว็ตตา 5. เอนริเก้ อิกเลเซียส 6. อัชเชอร์ 7. เลดี้ กาก้า 8. Metallica 9. Green Day 10. Black Eyed Peas
       
       10 อันดับศิลปินแห่งปี ที่รวมทั้งหมด ทั้งรวมการขายทั้งอัลบั้ม, ซิงเกิ้ล, การออกอากาศ และ ยอดดาวน์โหลด 1.อะเดล 2.รีฮันน่า 3.เคที่ เพอร์รี่ 4.เลดี้ กาก้า 5.ลิล เวย์น 6.บรูโน่ มาร์ส 7.นิคกี้ มินาจ 8.เทย์เลอร์ สวิฟท์ 9.จัสติน บีเบอร์ 10.คริส บราวน์

2554 -เพลงไทย
       
       ปี พ.ศ. 2554 นับเป็นอีกปีหนึ่งที่วงการเพลงไทยไม่หวือหวา และไม่มีอะไรใหม่ แต่กระนั้นในปีกระต่ายก็มีความเคลื่อนไหวเด่นๆของวงการเพลงไทยให้ได้พูดถึงกันพอสมควร เริ่มกันที่ข่าวฉาวดังๆ 3 ข่าวของคนดนตรีในบ้านเราก่อน
       
       ข่าวแรก ประเดิมรับข่าวฉาวต้นปีกับ “น้าแอ๊ด คาราบาว”(ยืนยง โอภากุล) ที่ของขึ้น ทุ่มกีตาร์กลางงานประกาศรางวัลสีสันอวอร์ด ครั้งที่ 23 จนกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ย่อยๆ พร้อมกับคำถามถึงวุฒิภาวะทางการควบคุมอารมณ์ของนักร้องรุ่นใหญ่คนนี้ ว่าอายุปูนนี้แล้วน่าจะควบคุมสติอารมณ์ได้ดีกว่านี้
       
       ข่าวที่สอง เกิดขึ้นช่วงกลางปีกับข่าวคลิปฉาวของคนหน้าคล้ายม่ายสาว พราวเสน่ห์ มาช่า วัฒนพานิช ที่มีภาพหลุดกำลังนัวเนียกับฝรั่ง ซึ่งสุดท้ายแล้วเจ้าตัวออกมายอมรับว่าเป็นภาพตัวเธอจริง ซึ่งถูกคนกลั่นแกล้งทำลายชื่อเสียง
       
       ข่าวสุดท้ายเกิดขึ้นสดๆร้อนๆในช่วงท้ายปี กับข่าวฉาวของ“เสก โลโซ”(เสกสรรค์ สุขพิมาย) เจ้าของบทเพลงดัง“ใจสั่งมา” ที่ถูกหลายๆคนเปลี่ยนฉายาให้เป็น “เสก ใจสั่งยา” เพียงชั่วข้ามคืน หลังหมอตกเป็นข่าวเสพยา(มานานแล้ว) ทำลายอดีตภรรยาเก่า จนกลายเป็นทอล์คออฟเดอะท่าวน์ส่งท้ายปี พร้อมๆกับเรื่องที่ไม่จบ เพราะหลังจากที่ต้นสังกัดแกรมมี่ตัดหางนายเสก หมอก็เลยออกมาโวยวายว่าจะขอแฉค่ายเก่าของตัวเองว่าเคยทำอะไรไว้บ้าง ซึ่งสุดท้ายแล้วก็จบแบบไม่สวยเมื่อนายเสกถูกตำรวจเรียกให้ไปบำบัดยา พร้อมกับการถูกดองเค็มผลงานชุดใหม่ที่เขาไปแบบไม่มีกำหนด

       แวดวงดนตรีเด่นปี 2554 ยังมีเรื่องของการ ฉลองครบรอบ 30 ปีของเจ้าพ่อเพลงเพื่อชีวิตคาราบาว ที่โหมโรงประชาสัมพันธ์คอนเสิร์ต 30 ปี มาตั้งแต่ปี 53 โดยการจับมือกันของคาราบาวกับเฟรซแอร์โดยมีเงาทะมึนของพี่ห้อยยืนตระหง่าน แต่สุดท้ายคอนเสิร์ต 30 ปีคาราบาวก็เป็นเรื่อง ตกเป็นข่าวดังเมื่อมีผู้ออกมาทักท้วงและถึงขั้นจะดำเนินการฟ้องร้องฐานผิด กม.จัดคอนเสิร์ตพ่วงโฆษณาขายเหล้า ที่ทำให้คนเสิร์ตฉลอง 30 ปีวงหัวควายเหี่ยวไปถนัดตา
       
       หันมาดูที่ด้านผลงานเพลงของนักร้อง นักดนตรีในบ้านเรากันบ้าง ปี 2554 นับเป็นอีกหนึ่งปีที่นักร้อง นักดนตรีในบ้านเรากันบ้าง มีอัลบั้มออกมาค่อนข้างน้อย เพราะทางค่ายใหญ่ดูเหมือนยังหาทางรับมือกับการละเมิดลิขสิทธิ์ แผ่นผีซีดีเถื่อน และระบบดาวน์โหลดที่ผิดกฎหมายไม่ได้ จะมีก็แต่ค่ายเล็กที่สบจังหวะนี้สร้างสรรค์นักร้อง นักดนตรี และวงดนตรี ทั้งที่มีคุณภาพ และคุณภาพไม่ถึง มาสร้างสีสันให้กับวงการเพลงไทยกันพอเหม็นปากเหม็นคอ
       
       อย่างไรก็ดีปีนี้ในเรื่องของซิงเกิ้ลเพลงเดี่ยวๆกลับเป็นที่นิยมและสร้างความฮือฮาให้กับสังคมได้ไม่น้อยเลย โดยปีนี้มีเพลงดังค้างปีจากปี 2553 มาเป็นตัวสร้างสีสัน ได้แก่ “เบาเบา”ของ 2 หนุ่มคู่หูดูโอ เช่นเดียวกับเพลง “กินตับ” ของ“เท่ง เถิดเทิง” จากจีวรบิน ที่โด่งดังข้ามปี ให้เด็กๆ วัยรุ่น ยันผู้เฒ่าผู้แก่ ร้องท่อน “ตับๆ ตับ ตับ”กันอย่างมันปาก ส่งผลให้เพลงนี้ติดอันดับ 3 ของการเสิร์ซค้นหาคำในกูเกิ้ลในหมวดบันเทิง
       
       ขณะที่ 5 บทเพลงเด่งดังในปี 2554 นั้นก็มี “คิดมาก” ของปาล์มมี่ ที่เธอกลับมาในสไตล์ย้อนยุค ติดอันดับ 8 ของการเสิร์ซค้นหาคำในกูเกิ้ลในหมวดบันเทิง “พูดไม่คิด” ของ “Season Five” มาเป็นอันดับ 4 ของกูเกิ้ลในหมวดเดียวกัน
       
       ต่อมาเป็นเพลง “หน่วง” ของวง "รูม 39" ที่เริ่มต้นมาแรงจากในยูทูบ ก่อนได้รับความนิยมขยายวงกว้าง ติดอันดับ 5 ของการเสิร์ซค้นหาคำรวมในกูเกิ้ล ส่วนเพลง “กรุณาฟังให้จบ” ของแช่ม แช่มรัมย์ ที่แต่งคำร้องทำนองโดย พยัต ภูวิชัย ถือเป็นอีกหนึ่งเพลงที่ร้อนแรงมากในปี 2011
       
       เพลงนี้มีจุดเด่นที่ทำนองติดหู ท่อนฮุคที่โดน และจุดขายอันโดดเด่นตรงท่อนร้องกึ่งๆแร๊พที่แม้จะเร็วแต่ว่าก็มีสัมผัสของภาษาไทยเป็นเสน่ห์ดึงดูดให้หลายๆคนร้องตามได้อย่างไม่ยากเย็น กรุณาฟังให้จบ ถูกเปิดในยูทูบไปมากกว่า 23 ล้านวิวแล้ว และคาดว่าน่าจะถึง 30 ล้านวิวได้อย่างไม่ยากเย็นในปีนี้
       
       และก็มาถึงบทเพลงแห่งปีของยุทธจักรวงการเพลงไทยปี 2554 ที่แน่นอนว่าจะเป็นเพลงไหนไปไม่ได้นอกจากเพลง “คันหู” อันโด่งดังสะท้านสะเทือนสังคมไทย
       
       เพลงนี้เป็นเพลงเก่าของลูกทุ่งสาว หลิว วาริสสรา(ฐานิสสรา เล้าประเสริฐ) ในอัลบั้มชุดที่ 2 “กล้าๆกลัวๆ” แต่งโดยราตรี อิ่มสำราญ(ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) ซึ่งตอนในเวอร์ชั่นของหลิวนั้นก็ไม่ได้เปรี้ยงปร้างอะไรมากมาย จนเมื่อน้อง“จ๊ะ เทอร์โบ”(นงมณี มหาดไทย) เธอนำมาร้องใหม่ในเวอร์เวอร์ชั่นแสดงสด พร้อมมีภาพปรากฏเป็นคลิปลงยูทูบด้วยท่าเต้นสุดยั่วยวน และชวนให้คิดว่าตกลงเธอคันหูไหนกันแน่ เพราะทั้งท่าเต้นเกาหูต่ำกับเนื้อเพลงนั้นมันสื่อชัดเจน
       
       แต่นั่นมันก็ทำให้น้องจ๊ะ โด่งดังขึ้นมาเพียงชั่วข้ามคืน จนได้รับฉายาใหม่เป็น “จ๊ะ คันหู” พร้อมๆกับการกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์พูดถึงเรื่อต่อมศีลธรรมความเหมาะสมอยู่พักใหญ่
       
       ครับและนั่นก็เป็นเรื่องราวในรอบปี พ.ศ. 2554 ค.ศ. 2011 ของยุทธจักรวงการเพลงทั้งไทยและเทศที่บางครั้ง ผลจากความโด่งดังของบทเพลงมันก็สะท้อนความเป็นไปของสังคมบางสังคมได้ดีทีเดียว

       *****************************************
คอนเสิร์ต

ก้อง นูโว กับวงเบญจแบนด์
       มันไปกับร็อกคลาสสิก จากก้อง นูโว-วงเบญจแบนด์
       
       ก้อง สหรัถ สังคปรีชา ฉีกลุค จับมือกับพลพรรคนักดนตรีมากฝีมือ ในชื่อ วงเบญจแบนด์ ขึ้นเวทีโชว์คอนเสิร์ตเต็มรูปแบบครั้งแรกใน จุดประกายคอนเสิร์ต ซีรีส์ 48 The Moment of Classic Rock "สังสรรค์บนทางสายร็อค"
       
       ก้อง สหรัถ สังคปรีชา หรือ ก้องนูโว จับมือกับพลพรรคนักดนตรีมากฝีมือ ในชื่อ วงเบญจแบนด์ นำบทเพลงร็อกคลาสสิคของวงร็อกดังๆในยุค 60's 70's และ 80's มานำเสนอให้แฟนได้มันสะใจกัน อาทิ เพลงของ เดอะ บีเทิลส์, ดีพเพอร์เพิล , เลด เซพพลิน,จิมิ เฮนดริกซ์, ยูเอฟโอ,จอห์น เมเยอร์ ฯลฯ
       
       สำหรับสมาชิกที่เหลือของวงเบญจแบนด์ ประกอบด้วย
       
       รูบา โมซาน (Ruba Mosan) มือคีย์บอร์ดอินพอร์ตจากมาเลเซียการันตีประสบการณ์ร่วมเวทีกับ ดิ โอฬาร โปรเจ็ค, นูโว, กิตติ กีตาร์ปืน, แหลม มอริสัน หรือโอม-ชาตรี คงสุวรรณ
       
       พีรยศ สุนทรธาดากุล หลานชายของ สุ นูโว มือเบสร็อคที่มีความสนใจในทางสายแจ๊ส
       
       เอก มิสเตอร์ทีม มือกลองระดับแถวหน้าของวงการ
       
       และ เก็น ฐากูร สังคปรีชา อดีตศิลปินดูโอ “น็อต-เก็น” มารับหน้าที่ร้องนำ
       
       สำหรับผู้สนใจพบกับความมันเฉพาะกิจของพวกเขาได้ใน จุดประกายคอนเสิร์ต ซีรีส์ หมายเลข 48 ตอน The Moment of Classic Rock ในวันที่ 15 มกราคม 2555 เวลา 17.00 น. ณ หอประชุมเล็ก ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย บัตรราคา 1,200 บาท สำรองที่นั่งและสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.thaiticketmajor.com
       
       คอนเสิร์ตเปียโนแจ๊ส โดยปอล เลย์
       
       สมาคมฝรั่งเสศกรุงเทพ ชวนร่วมคอนเสิร์ตเปียโนแจ๊สจากหนึ่งในสุดยอดนักเปียโนแห่งยุค ปอล เลย์ (Paul Lay) เปิดการแสดงคอนเสิร์ตสุดพิเศษในวันพฤหัสบดีที่ 12 ม.ค. 2555 เวลา 19.00 น. ณ ห้องออดิทอเรียม สมาคมฝรั่งเศส
       
       ปอล เลย์ ไม่ได้เป็นเพียงแค่นักเปียโนชั้นยอด เขาได้สร้างสรรค์ดนตรีสองแนว ที่เปิดโอกาสให้เขาเป็นทั้งผู้ร่วมบรรเลงและผู้เล่นเดี่ยว ปอลแสดงดนตรีร่วมกับศิลปินอื่นและได้เปิดการแสดงเดี่ยว โดยเป็นการแสดงจัดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส กรุงนิวยอร์ค เมืองโตรอนโต้ และกรุงเบอร์ลิน อีกทั้งยังได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตแถทบอเมริกากลางอีกด้วย ดนตรีอัลบั้มแรกของเขาเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าปอล เลย์ เป็นหนึ่งในสุดยอดนักเปียโนแห่งยุคก็ว่าได้
       
โดย : บอน บอระเพ็ด
ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 มกราคม 2555

25
  ในรอบปี 2554 ที่ผ่านมา ค่ายหนังสือทั้งเล็กและใหญ่รวมถึงหน่วยงานราชการและเอกชน ต่างจัดทำหนังสือเพื่อประกาศเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษาในปีนี้ คอลัมน์หนังสือในตู้ จึงขอรวบรวมหนังสือที่เป็นที่สุดของหนังสืออันทรงคุณค่า ที่คุณผู้อ่านต้องมีสะสมเอาไว้

       เริ่มที่ สนพ.นานาชาติ เอดิซิยองส์ ดิดิเยร์ มิลเยต์ ผู้จัดพิมพ์หนังสือที่ประสบความสำเร็จมาแล้วหลายเล่ม เกี่ยวกับประเทศไทยและภูมิภาคเอเชีย ได้จัดพิมพ์หนังสือ King Bhumibol Adulyadej: A Life’s Work ซึ่งพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษ นำเสนอเรื่องราวพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อย่างละเอียดและอ่านง่าย พร้อมข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าและน่าสนใจ ในประเด็นที่ไม่ค่อยมีการกล่าวถึงในสื่อสิ่งพิมพ์ อาทิ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การสืบราชสันตติวงศ์ คณะองคมนตรี และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

       หนังสือ King Bhumibol Adulyadej: A Life’s Work เปิดเล่มด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับระบอบกษัตริย์ของไทยและมิติที่เป็นเอกลักษณ์ ก่อนที่จะเข้าสู่เนื้อหา ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจและภาพรวมเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งกฎหมาย แบบแผนและจารีตประเพณีที่เชิดชูและเกี่ยวข้องกับสถาบัน

       ขณะที่ บมจ.ปตท ได้จัดทำหนังสือ “84 พรรษา มหาราชในดวงใจ” หนังสือพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสสำคัญครั้งนี้ โดยร่วมมือกับ บมจ.มาสเตอน์ แอด และ นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย เนื้อหาในหนังสือที่เปรียบเสมือนบันทึกความทรงจำล้ำค่า 7 รอบพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมพระบรมฉายาลักษณ์ที่บางภาพยังไม่เคยปรากฏที่ใดมาก่อน จะเป็นหนังสือที่แนบมาคู่กับนิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย ที่จะออกวางแผงในวันที่ 4 ม.ค. 2555 ที่จะถึงนี้

       ส่วน สนพ.อมรินทร์คอมมิกส์ ได้จัดทำหนังสือพระราชประวัติฉบับการ์ตูนที่สมบูรณ์ที่สุดในชื่อ “การ์ตูนเทิดไท้องค์ราชัน รัชกาลที่ 9” นำเสนอเนื้อหาตั้งแต่ทรงขึ้นครองราชย์ และพระราชกรณียกิจต่างๆ ในรูปแบบของการ์ตูนสี่สีสวยงาม ที่ง่ายต่อการอ่านและความเข้าใจของนักอ่านวัยเยาว์ ซึ่งนอกจากเป็นการแสดงความจงรักภักดีแล้ว หนังสือชุดนี้ยังแสดงให้ประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะ เยาวชน ได้ตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทยอีกด้วย

       จุดเด่นของหนังสือชุดนี้ เป็นการรวบรวมเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ในความทรงจำของประชาชนชาวไทย ด้วยภาพการ์ตูนสลับภาพจริงในบางช่วงบางตอน โดยเรียบเรียงข้อมูลจากอดีตถึงปัจจุบันเริ่มจาก
เล่มที่ 1 ตอน พระคือพลังแห่งแผ่นดิน พ.ศ. 2489-2513
เล่มที่ 2 ตอน เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม พ.ศ. 2514-2535 และ
เล่มที่ 3 ตอน มหาราชกลางใจชน พ.ศ. 2536-2550     

       อีกหนึ่งเล่มที่ไม่มีไม่ได้คือ “มองผ่านเลนส์พ่อ” จัดทำขึ้นโดย ทีเอ็มบี หรือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เป็นหนังสือภาพที่รวบรวมภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงงานทั่วทุกภูมิภาคอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่เว้นแม้แต่ในถิ่นทุรกันดาร ซึ่งภาพทุกภาพที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนี้ เป็นภาพที่ผ่านมุมมองและความมีศิลปะส่วนพระองค์ รวมถึงมิติภาพ สถานที่และผู้คนในมุมมองแปลกตา อีกทั้งยังเป็นบันทึกข้อมูลประวัติศาสตร์ด้านการพัฒนาประเทศ ในฐานะกษัตริย์นักพัฒนา และองค์อัครศิลปินผู้ทรงประสานศาสตร์และศิลป์ ในการนำพาประเทศชาติและประชาชนชาวไทย ให้ก้าวไปสู่วิถีแห่งความสุขและความเจริญอย่างยั่งยืน

       หนังสือมหามงคล “มองผ่านเลนส์พ่อ” แบ่งเนื้อหาเป็น 3 บท ได้แก่
บทที่ 1 ทรงครองดวงใจไทยทั้งหล้า บอกเล่าเรื่องราวพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนขึ้นครองสิริราชสมบัติ
บทที่ 2 มองผ่านเลนส์พ่อ เป็นการประมวลภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ จำนวน 48 ภาพ ที่ร้อยเรียงเรื่องราวพระราชกรณียกิจที่พระองค์ทรงงานตลอด 65 ปีที่ครองราชย์ และ
บทที่ 3 พระปรีชาสามารถด้านการถ่ายภาพ นำเสนอพระปรีชาสามารถด้านการถ่ายภาพและเรื่องราวเกี่ยวกับกล้องส่วนพระองค์

       ด้าน พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี (ว. วชิรเมธี) ร่วมกับ สำนักพิมพ์ดีเอ็มจี ทำหนังสือ “ที่สุดแห่งความดี” เชิญชวนคนไทยร่วมเทิดพระเกียรติในปีมหามงคลนี้ด้วย “ความกตัญญู” ซึ่งในพระพุทธศาสนามีหลักการวัดคนดีเอาไว้อย่างชัดเจนผ่านพุทธภาษิตว่า “ความกตัญญูกตเวที เป็นเครื่องหมายของคนดี” โดยกล่าวถึง เรื่องราวของมหาบุรุษยอดกตัญญูในสมัยพุทธกาล คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสารีบุตร ผสานความรักระหว่างแม่กับลูก ของท่านพุทธทาสและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นำมาซึ่งความงดงามของลูกกตัญญู และการเป็นต้นแบบของ “แรงบันดาลใจแห่งความดี” เชื่อมร้อยปลุกพลังให้คนไทยลุกขึ้นมา “ทำดี” เพื่อประโยชน์สุขของตนและสังคมไทย

       ปิดท้ายกันที่หนังสือ “ธรรมดีที่พ่อทำ” เป็นผลงานเขียนที่สะท้อนความรู้สึกของ ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ในฐานะคนไทยผู้รู้สึกและสำนึกเสมอว่า ตนเองโชคดีมีบุญได้เกิดมาอยู่ในแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งนับเป็นผลงานลำดับที่ 4 ต่อจากหนังสือ

พระราชประวัติภาษาอังกฤษชุด King Bhumibol Adulyadej of Thailand ประกอบด้วย 3 เล่ม ได้แก่ From Prince to King, Strength of the Land และ By the Light of Your Wisdom (โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต)

หนังสือในหลวงในรอยธรรม (โดยได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาต)

และหนังสือตามรอยพระยุคลบาท รัชกาลที่ 9 (รางวัลพระราชทานหนังสือดีเด่นประจำปีพุทธศักราช 2551 จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี)

ASTVผู้จัดการออนไลน์
   30 ธันวาคม 2554

26
ก่อนนี้ชาวออนไลน์นิยมค้นหาเว็บไซต์แปลกใหม่บนกูเกิล (Google.com) แต่วันนี้หลายคนพบเว็บไซต์ใหม่ผ่านเฟซบุ๊ก (Facebook) และทวิตเตอร์ (Twitter) ทิศทางทั้งหมดชัดเจนขึ้นมากในปี 2011 และกำลังมีแนวโน้มชัดเจนขึ้นอีกในปี 2012
       
       สำนักข่าวพีซีเวิร์ลตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่ทำให้มนต์ขลังของกูเกิลเริ่มเสื่อมลงคือการแชร์หรือแบ่งปันลิงก์เว็บไซต์บนเครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ หากลิงก์เว็บไซต์ใดถูกโพสต์บนเฟซบุ๊กหรือทวิตเตอร์ แล้วเกิดโดนใจผู้ใช้รายอื่น ลิงก์เว็บไซต์เหล่านั้นก็จะถูกส่งต่อไปไม่รู้จบ ผลจึงทำให้ผู้ใช้สามารถพบเว็บไซต์ใหม่น่าสนใจบนเครือข่ายสังคมได้มากกว่าการค้นหาบนกูเกิล
       
       หากมองในแง่ของสถิติการใช้งาน บริษัทวิจัย Nielsen ระบุว่าเฟซบุ๊กคือเว็บไซต์เดียวที่มีจำนวนผู้ใช้งานทั่วโลกต่อเดือนไล่ตามกูเกิลได้มากที่สุด ปี 2011 เฟซบุ๊กนั้นมี 137 ล้านยูนีคไอพี เทียบกับกูเกิลซึ่งมี 153 ล้านไอพี แม้จะน้อยกว่า แต่เฟซบุ๊กกลับมีระยะเวลาผูกติดกับผู้มใช้ได้มากกว่า โดยการสำรวจเบื้องต้นพบว่า ชาวออนไลน์เทเวลามากกว่า 16% ให้กับเฟซบุ๊ก ซึ่งถือว่ามากกว่าเวลาที่ผู้ใช้เทเวลาให้เว็บไซต์อดีตยักษ์ใหญ่อย่างยาฮู (Yahoo), กูเกิล (Google), เอโอแอล (AOL) และยูทูบรวมกัน
       
       เท่านี้ก็เรียกว่า เฟซบุ๊กสามารถถล่มเว็บไซต์อื่นได้ราบเรียบแล้วไม่เฉพาะกูเกิล แถมนาทีนี้ เฟซบุ๊กหรือ Facebook ยังกลายเป็นเว็บไซต์ที่ถูกค้นหาหรือเสิร์ชมากที่สุดในโลก โดยปี 2011 ถือว่าเฟซบุ๊กเป็นแชมป์ 3 สมัยติดต่อกันมาแล้ว

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ภาพล้อเลียนเฟซบุ๊ก
   
หากมองย้อนไปที่กูเกิลพลัส (Google Plus) เว็บเครือข่ายสังคมที่กูเกิลสร้างขึ้นเองนั้นถูกกูเกิลการันตีว่ามีการแชร์คอนเทนต์เกินกว่า 1 พันล้านครั้งแล้ว แต่ตัวเลขดังกล่าวก็ยังคิดเป็นเพียง 1 ใน 4 ของการแชร์คอนเทนต์บนเฟซบุ๊ก ซึ่งมีอัตราเติบโตมากกว่าเท่าตัวในแต่ละปี
       
       อีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้กูเกิลหมดมนต์ขลัง คือปัญหาเรื่องความปลอดภัย ในสายตาของชาวออนไลน์บางคน กูเกิลเริ่มเป็นสถานที่ซึ่งมีภัยเว็บไซต์ล่อลวงแฝงตัวอยู่จำนวนมาก และผู้ใช้ต้องระวังตัวในการคลิกลิงก์เว็บไซต์บนกูเกิลตลอดเวลา
       
       ไม่แน่ว่ากูเกิลจะสามารถรู้ชะตาชีวิตตัวเองดีกว่าใคร จึงตัดสินใจเปิดตัวบริการกูเกิลพลัสซึ่งเป็นบริการที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่กูเกิลเปิดบริการฟรีอีเมล Gmail ในปี 2004 ทั้งหมดนี้ทำให้แลร์รี่ เพจ (Larry Page) ผู้ก่อตั้งกูเกิลเบนเข็มบริษัทไปที่วงการโซเชียลมีเดีย โดยยอมตามหลังเฟซบุ๊กชนิดไม่แคร์สายตาใคร
       
       หากรูปการณ์ยังเป็นอย่างนี้ต่อไป กูเกิลซึ่งเป็นเจ้าแห่งตลาดเสิร์ชเอนจิ้นของโลกและครองตลาดโฆษณาออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุด จะต้องตกที่นั่งลำบากแน่นอน เพราะมีโอกาสสูงที่กูเกิลจะตกที่นั่งเดียวกับไมโครซอฟท์ (Microsoft) ซึ่งแม้จะเป็นเจ้าตลาดเดสก์ท็อปอยู่ต่อไป แต่กลับไม่มีใครเห็นแววผู้นำในตัวไมโครซอฟท์
       
       แน่นอนว่าเฟซบุ๊กคือส่วนหนึ่งในหลายเรื่องเด่นที่เกิดขึ้นตลอดปี 2011 ทั้งการจากไปของสตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) และการบุกตลาดของแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนที่มากขึ้น แต่สิ่งที่ลืมไม่ได้คือปี 2011 คือจุดเริ่มต้นการครองตลาดโลกของเฟซบุ๊กที่เป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง ซึ่งมีโอกาสที่อิทธิพลของเฟซบุ๊กจะขยายตัวต่อเนื่องในปี 2012 ซึ่งเป็นปีที่เฟซบุ๊กจะเริ่มขาย IPO และเข้าตลาดหุ้นอย่างเป็นทางการ
       
       ไม่แน่ว่า ปี 2012 เราอาจจะได้พูดถึงเฟซบุ๊กในฐานะเรื่องราวบนโลกไอทีที่ใหญ่ที่สุดประจำปีก็ได้ ใครจะรู้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 มกราคม 2555

27
 เป็นไปได้ทุกเรื่องสำหรับโลกใบนี้ ล่าสุด รัฐบาลสวีเดนประกาศรับรองศาสนาใหม่นามว่า "Kopimism" ศาสนานี้มี"ข้อมูล"เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และการ"คัดลอกข้อมูลแล้วส่งต่อ"หรือการแชร์ไฟล์นั้นถือเป็นศีลปฏิบัติ แถมยังใช้ "CTRL+C และ CTRL+V" ซึ่งเป็นคีย์ลัดในการคัดลอกข้อมูลมาเป็นสัญลักษณ์ของศาสนา บนแนวคิดว่าการคัดลอกแล้วส่งต่อข้อมูลทุกชนิดนั้นเป็นการมอบคุณค่าจากข้อมูลแก่ชาวโลกชนิดทวีคูณ
       
       แน่นอนว่าฝ่ายปกป้องสิทธิทรัพย์สินทางปัญญาฟังแล้วงงเป็นไก่ตาแตก เพราะหากโลกมีคนอ้างศาสนานี้แล้วลงมือแชร์ไฟล์มากมาย แรงผลักดันในการสร้างผลงานของคนเหล่านี้อาจมอดไหม้ลง แถมกระบวนการปกป้องสิทธิก็จะลดความเข้มข้นลงเมื่อรัฐบาลสวีเดนให้การรับรองศาสนานี้อย่างเป็นทางการแล้ว
       
       ***จากมันสมองนักศึกษาปรัชญาอายุ 19
       
       ศาสนา Kopimism นี้ก่อตั้งโดยนักศึกษาเอกปรัชญาอายุ 19 ปี "ไอแซค เกอร์สัน (Isak Gerson)" เกิดขึ้นบนความหวังให้การแชร์ไฟล์หรือ file-sharing นั้นได้รับการปกป้องทางศาสนา ขณะนี้มีการก่อตั้งศาสนจักรแห่ง Kopimism หรือ Church of Kopimism เพื่อออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ซึ่งเรื่องที่สร้างความฮือฮาแก่โลกอินเทอร์เน็ตคือการประกาศว่า "kopyacting" หรือการแชร์ข้อมูลด้วยการคัดลอกนั้นเป็นบริการทางศาสนาที่ถูกต้องเหมาะสม
       
       กุสตาฟ ไนป์ (Gustav Nipe) ผู้นำทางจิตวิญญาณของศาสนาแห่งการแชร์ไฟล์นี้ระบุว่า การได้รับการรับรองจากรัฐบาลสวีเดนนั้นเป็น"ก้าวที่ยิ่งใหญ่"ของศาสนา แม้จะถูกปฏิเสธจนต้องยื่นเรื่องซ้ำถึง 3 ครั้ง
       
       แม้จะยึด CTRL+C และ CTRL+V (คีย์ลัดสำหรับการคัดลอกและวางข้อมูล) เป็นเครื่องหมายของศาสนา แต่กลุ่มยืนยันว่าไม่มีเจตนาประชาสัมพันธ์ให้มีการแชร์ไฟล์ที่ผิดกฏหมาย แต่ต้องการเน้นแนวคิดเรื่องการเปิดสังคมแห่งการเรียนรู้แก่สาธารณชน
       
       "สำหรับศาสนจักร Church of Kopimism ข้อมูลถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และการก็อปปี้ถือเป็นศีล เมื่อข้อมูลมีคุณค่าในตัวเอง และคุณค่านั้นสามารถเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณได้จากการก็อปปี้ ดังนั้นการก็อปปี้จึงเป็นศูนย์กลางของศาสนาและสมาชิก"
       
       ***ยิ่งลอกยิ่งได้บุญ
       
       การได้รับการรับรองจากรัฐบาลสวีเดนจะทำให้กลุ่มไม่ต้องกลัวในการ"ทำความดีตามความเชื่อของศาสนา" โดยขณะนี้ เว็บไซต์ของกลุ่ม (http://kopimistsamfundet.se/) นั้นเผยแพร่ข่าวการได้รับการรับรองครั้งนี้อย่างเต็มที่
       
       เรื่องนี้นักวิเคราะห์มองว่า กระบวนการแชร์ไฟล์ที่ได้รับการยอมรับให้เป็นศาสนาใหม่นั้นจะสร้างผลกระทบเล็กน้อยในสังคม เพราะสิ่งนี้ไม่ได้แปลว่าการคัดลอกแล้วแชร์ไฟล์จะเป็นเรื่องถูกกฏหมาย แต่สังคมการคัดลอกไฟล์อาจจะได้รับการยอมรับตามหลักศาสนาซึ่งอาจทำให้ผู้คัดลอกไฟล์ได้รับการยกย่อง
       
       ยังไม่นับรวมทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งหลายฝ่ายมองว่าจำเป็นต้องคุ้มครองเพื่อให้นักสร้างสรรค์ข้อมูลมีแรงผลักดันในการแต่งแต้มผลงาน ซึ่งทั้งหมดยังไม่มีรายงานความเห็นจากรัฐบาลสวีเดนในขณะนี้
       
       เห็นอย่างนี้แล้ว คุณอยากเข้าร่วมลัทธิแห่งการแชร์ไฟล์บ้างไหม?

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 มกราคม 2555

หน้า: 1 [2]