เมื่อวันที่ 7 มกราคม นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า หลังจากกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) ออกนโยบายให้แรงงานต่างด้าวและครอบครัว ซื้อบัตรประกันสุขภาพในราคากว่า 2 พันบาทโดยระบุว่าจะรวมการตรวจและการให้ยาต้านไวรัสเอชไอวีแก่แรงงานผู้ติดเชื้อ พบว่า แรงงานผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวี เนื่องจากโรงพยาบาลหลายแห่งไม่นับรวมในบัตรประกันสุขภาพ เพราะไม่มั่นใจว่าจะได้รับเงินคืนจาก สธ. ประกอบกับปัจจุบันไม่มีกฎระเบียบใดๆรองรับ ขณะเดียวกันในส่วนของคำนิยามการใช้ยาต้านไวรัสเอชไอวีจากการทำซีแอล หรือ สิทธิเหนือสิทธิบัตรยาที่ไทยสามารถผลิตยาต้านไวรัสฯในชื่อยาสามัญก็เป็นปัญหา เพราะที่ผ่านมากรมควบคุมโรค(คร.) ไม่มีการนิยามว่า ยาที่ผ่านการทำซีแอลจะใช้ได้เฉพาะคนไทย หรือคนทุกคนในประเทศไทยกันแน่ ปัญหาดังกล่าวส่งผลให้แรงงานต่างด้าวไม่มีช่องทางรับยาเลย ต้องซื้อเอง
"ที่ผ่านมากองทุนโลกเพื่อต่อสู้กับโรคเอดส์จะสนับสนุนงบฯในการซื้อยาต้านไวรัสเอชไอวี แต่ครอบคลุมเพียง 2,000 ราย ที่สำคัญโครงการนี้จะหมดอายุแล้ว ทำให้พวกเขาต้องพึ่งพาตัวเอง ทั้งๆที่การดูแลรักษาแรงงานกลุ่มนี้จะช่วยป้องกันการแพร่กระจายเชื้อเอชไอวีมายังคนไทยได้ ซึ่งเคยหารือปัญหากับรองปลัด สธ.แต่ยังไม่มีความคืบหน้า คาดว่าภายในเดือนมกราคมนี้จะขอเข้าพบอีกครั้ง รวมทั้งจะขอหารือกับทางอธิบดีกรมควบคุมโรคถึงการเปลี่ยนคำนิยามยาต้านไวรัสฯในโครงการซีแอลให้ครอบคลุมทุกคนในประเทศไทยด้วย" นายนิมิตร์ กล่าว
นพ.ชาญวิทย์ ทระเทพ รองปลัด สธ. กล่าวว่า ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้นิ่งเฉย แต่การดำเนินการอะไรต้องมีระเบียบรองรับ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการหารือร่วมกับหลายหน่วยงาน ทั้ง สธ. กระทรวงแรงงาน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) โดยจะตั้งเป็นคณะกรรมการบริหารจัดการด้านสาธารณสุขของแรงงานต่างชาติ โดยมีรองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีสธ.เป็นเลขานุการ ปัญหาคือ กำลังจะตั้งคณะกรรมการฯ แต่ต้องให้นายกรัฐมนตรีลงนาม ซึ่งมีการยุบสภา ทำให้เรื่องนี้ต้องชะลอ รวมไปถึงปัญหายาต้านไวรัสฯก็เช่นกัน หากไม่มีคณะกรรมการฯ หรือการทำงานใดๆที่มีระเบียบรองรับก็ทำไม่ได้ ดังนั้น ตอนนี้ต้องรอรัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ตาม ระหว่างรอได้เดินหน้าหารือกับกองทุนโลกเพื่อขอสนับสนุนงบประมาณเรื่องเอดส์ เพื่อเป็นอีกทางในการช่วยแรงงานต่างชาติผู้ติดเชื้อฯ โดยขณะนี้กำลังดำเนินการ
มติชนออนไลน์ 7 มกราคม พ.ศ. 2557