ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 26 ส.ค.-1 ก.ย.2555  (อ่าน 1015 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9797
    • ดูรายละเอียด
 1. ศาลเยาวชนฯ พิพากษาจำคุก “แพรวา” 2 ปี รอลงอาญา 3 ปี พร้อมห้ามขับรถจนกว่าจะอายุ 25 ปี!

       เมื่อวันที่ 31 ส.ค. ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการฝ่ายคดีเยาวชนและครอบครัว 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.แพรวา อายุ 18 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายต่อร่างกายบาดเจ็บสาหัส และทรัพย์สินเสียหาย และใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ
       
       คดีนี้ อัยการฯ ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.2553 เวลากลางคืน จำเลยได้ขับรถฮอนด้า ซีวิค ทะเบียน ฎว 8461 กรุงเทพมหานคร ขึ้นบนทางยกระดับโทลล์เวย์ มุ่งหน้าถนนดินแดงด้วยความเร็วสูงกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจำเลยได้กระทำการประมาท โดยปราศจากความระมัดระวัง เมื่อมาถึงบริเวณแยกทางลงบางเขนช่วงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำเลยได้เปลี่ยนช่องทางไปมา จากขวาสุดไปซ้าย และเปลี่ยนกลับมาขวาอีกครั้ง เป็นเหตุให้รถของจำเลยพุ่งเข้าชนรถตู้โดยสาร ทะเบียน 13-7795 กรุงเทพมหานคร ที่วิ่งระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ศูนย์รังสิต-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มีนางนฤมล ปิตาทานัง อายุ 38 ปี เป็นคนขับ ทำให้รถตู้เสียหลักหมุนไปชนขอบกั้นทางโทลล์เวย์ พลิกคว่ำพังเสียหาย ขณะที่คนขับรถตู้และผู้โดยสารกระเด็นออกจากตัวรถตกจากทางด่วนเสียชีวิตรวม 9 รายและบาดเจ็บสาหัสจำนวนหนึ่ง ส่วนรถของจำเลยแฉลบเลยจากรถตู้ประมาณ 50 เมตร นอกจากนี้ก่อนเกิดเหตุจำเลยยังได้ใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถด้วย โดยมีหลักฐานเป็นรายงานการใช้โทรศัพท์ของจำเลย อย่างไรก็ตามในชั้นสอบสวน จำเลยให้การปฏิเสธทั้ง 2 ข้อหา
       
       ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ฝ่ายโจทก์มีประจักษ์พยานเป็นผู้เสียหายที่โดยสารมากับรถตู้ รวมทั้งมีพยานเป็นพนักงานขับรถยกของท่าอากาศยานดอนเมืองที่ขับรถตามมาก่อนเกิดเหตุ ภาพวงจรปิดบนทางด่วน และหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง จึงพิพากษาจำคุกจำเลย 3 ปี ในความผิดฐานขับรถโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและทำให้ทรัพย์สินเสียหาย แต่คำให้การในชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์ จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกเป็นเวลา 2 ปี โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญาเป็นเวลา 3 ปี นอกจากนี้ให้คุมประพฤติจำเลย 3 ปี และให้รายงานตัวทุกๆ 3 เดือน ให้ทำงานบริการสังคมโดยการดูแลผู้ป่วยจากอุบัติเหตุเป็นเวลา 48 ชั่วโมง และห้ามจำเลยขับรถยนต์จนกว่าจะอายุ 25 ปี ส่วนความผิดฐานใช้โทรศัพท์ขณะขับรถนั้น ศาลยกฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า ไม่สามารถนำสืบได้ว่าจำเลยใช้โทรศัพท์จริงหรือไม่ เพราะอยู่ในรถ
       
       หลังฟังคำพิพากษา นางยุวดี เยี่ยงยุกดิ์สากล อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด บอกว่า จะยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลไม่รอลงอาญาจำเลยหรือไม่ รวมทั้งอุทธรณ์ข้อหาจำเลยใช้โทรศัพท์ขณะขับรถหรือไม่ ต้องขอคัดคำพิพากษาไปปรึกษาอธิบดีอัยการฝ่ายคดีเยาวชนฯ ก่อน อย่างไรก็ตาม นางยุวดี บอกว่า ตามข้อกฎหมายแล้ว ห้ามอุทธรณ์ข้อหาใช้โทรศัพท์ เพราะมีโทษแค่ปรับเท่านั้น ยกเว้นจะได้รับการรับรอง และว่า หากโจทก์ร่วมต้องการยื่นอุทธรณ์คดี ก็สามารถทำได้ทันทีภายใน 1 เดือน นางยุวดี ยังพูดถึงคำพิพากษาของศาลด้วยว่า “คดีนี้ศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง ซึ่งเป็นธรรมชาติของคดีเยาวชนที่มุ่งเน้นแก้ไข บำบัด ฟื้นฟูเยาวชน”
       
       ด้านนางถวิล เช้าเที่ยง มารดาของนายศาสตรา หรือ ดร.เป็ด นักวิจัย อดีตนักเรียนทุน ก.พ. ซึ่งเสียชีวิตจากกรณีแพรวาซิ่งซีวิคชนรถตู้ บอกว่า พอใจคำพิพากษา ส่วนจะอุทธรณ์หรือจะดำเนินคดีทางแพ่งอย่างไร ต้องปรึกษาทนายความอีกครั้ง และว่า หลังจากนี้ จะไปบอกลูกชายว่าศาลพิพากษาลงโทษและได้ภาคทัณฑ์จำเลยแล้ว
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า น.ส.แพรวา จำเลย ได้เดินทางมาศาลพร้อมพ่อ-แม่และทนายความ โดยหลังรู้ผลคำพิพากษาว่าจำคุก แต่รอลงอาญา น.ส.แพรวาและครอบครัวได้เดินออกจากห้องพิจารณาด้วยสีหน้าที่แสดงอาการโล่งใจ
       
       2. “สุกำพล” ยัวะถูกร้องเรียนล้วงลูกย้ายทหาร สั่งเด้งฟ้าผ่าปลัด กห. ด้าน “ปชป.”ซัด ลุแก่อำนาจ ขณะที่ “ประยุทธ์”ปัดวิจารณ์!

       จากกรณีที่ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้ทำหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 ส.ค. โดยขออนุญาตเข้าพบเพื่อชี้แจงเกี่ยวกับการแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลของกระทรวงกลาโหมประจำปี 2555 เนื่องจากเห็นว่าการเสนอชื่อผู้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่ไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงกลาโหมได้กำหนดไว้
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้องการให้ พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่แทน พล.อ.เสถียร ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือน ก.ย.นี้ แต่ พล.อ.เสถียร ไม่เห็นด้วย เพราะยังมีนายพลคนอื่นที่อาวุโสสูงกว่า พล.อ.ทนงศักดิ์ ประกอบกับมีรายงานว่า พล.อ.เสถียร เห็นว่า พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกระทรวงกลาโหม มีความเหมาะสมกับตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมมากกว่า พล.อ.เสถียร จึงทำหนังสือขอเข้าพบนายกฯ เพื่อร้องเรียนเรื่องดังกล่าว แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ให้เข้าพบ โดยนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกฯ บอก(26 ส.ค.)ว่า หนังสือของ พล.อ.เสถียรที่ทำถึงนายกฯ อยู่ที่ตน โดยจะแจ้งกลับไปว่า นายกฯ ไม่สามารถให้เข้าพบได้ เพราะอาจถูกมองว่านายกฯ เข้าไปแทรกแซงการทำงานของกองทัพ ดังนั้น พล.อ.เสถียร และ พล.อ.อ.สุกำพล ต้องไปหารือกันเอง
       
       ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล บอก(26 ส.ค.)ว่า จะคุยกับ พล.อ.เสถียรถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่จะคุยวันไหนยังตอบไม่ได้ต้องดูอีกที พร้อมยืนยันว่า ไม่มีปัญหาอะไร อย่างไรก็ตาม วันต่อมา(27 ส.ค.) พล.อ.อ.สุกำพลได้มีคำสั่งเด้งฟ้าผ่าให้ พล.อ.เสถียรไปช่วยราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม โดยให้ไปรายงานตัวตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค.-30 ก.ย. พร้อมกันนี้ยังมีคำสั่งให้ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา ไปช่วยราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมเช่นกัน โดยให้ไปรายงานตัวตั้งแต่วันที่ 27 ส.ค.เป็นต้นไป นอกจากนี้ พล.อ.อ.สุกำพล ได้แต่งตั้งให้ พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ รองปลัดกระทรวงกลาโหมคนที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่แทน พล.อ.เสถียร ส่วน พล.ร.อ.รุ่งรัตน์ บุณยรัตพันธุ์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ปฏิบัติหน้าที่แทน พล.อ.ชาตรี และ พล.ท.ชาญ โกมลหิรัญ รองเจ้ากรมเสมียนตรา ปฏิบัติหน้าที่แทน พล.อ.พิณพาษณ์
       
       ทั้งนี้ พล.อ.อ.สุกำพล เผยเหตุที่มีคำสั่งย้าย พล.อ.เสถียรไปช่วยราชการที่สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมว่า เพื่อให้การทำงานภายในกระทรวงคล่องตัวขึ้น เพราะที่ผ่านมาการทำงานไม่ไหลลื่น “ผมยืนยันว่า การย้าย พล.อ.เสถียร ไม่ใช่การเมืองเข้ามาแทรกแซงการทหาร แต่การทำหน้าที่ของ พล.อ.เสถียร ถือว่าทำไม่ถูกต้อง ที่นำเรื่องภายในกระทรวงกลาโหมออกไปพูด ทำให้เกิดผลกระทบต่อกระทรวง”
       
       ด้าน พล.อ.เสถียร บอกว่า ตนยังไม่เห็นคำสั่ง พร้อมยืนยันว่า สิ่งที่ตนทำ ทำไปตามความถูกต้อง ทำตามตัวบทกฎหมาย เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ยอมรับสภาพ แล้วแต่ผู้บังคับบัญชา ไม่เป็นไร พล.อ.เสถียร ยังบอกด้วยว่า เมื่อตนโดนแบบนี้ อีกหน่อยผู้บัญชาการเหล่าทัพก็โดนเหมือนกัน ดูตนเป็นตัวอย่าง ส่วนจะมีการฟ้องร้องหรือไม่ พล.อ.เสถียรปฏิเสธที่จะตอบคำถาม
       
       ขณะที่ พล.อ.ชาตรี ทัตติ รองปลัดกระทรวงกลาโหม บอกว่า ยังไม่ทราบเหตุผลที่ถูกย้ายไปช่วยราชการ แต่ยืนยันว่า ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดทำบัญชีโยกย้ายนายทหารประจำปี 2555 เพราะเป็นแค่ 1 ในแคนดิเดตที่ถูกเสนอให้ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่เท่านั้น “การย้ายผมไปช่วยราชการ หากไม่เป็นธรรม ก็ต้องขอหารือกับผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายก่อน ...ยังไม่เห็นเอกสาร จึงไม่อยากเอป็นผู้ร้าย ให้อีกฝ่ายเป็นผู้ร้ายไปฝ่ายเดียวดีกว่า...”
       
       ทั้งนี้ ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของ พล.อ.อ.สุกำพล โดยนายโกวิทย์ ธารณา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการการทหาร สภาผู้แทนราษฎร ได้โจมตี พล.อ.อ.สุกำพลและรัฐบาลว่า ลุแก่อำนาจแทรกแซงโผทหาร เมื่อถูกจับได้ว่าทำผิดขั้นตอน กลับไม่ปรับปรุง แต่ใช้อำนาจสั่งย้ายเข้ากรุ และว่า การกระทำของ พล.อ.อ.สุกำพลเป็นการทำลายองค์กรทหาร และทำลายอนาคตของนายทหารดีดีคนหนึ่ง ทั้งที่ พล.อ.เสถียรควรจะเกษียณอย่างสง่างามในตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมที่เหลือเวลาอีกประมาณ 1 เดือน
       
       ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล ได้ออกมายืนยันว่า เป็นสิทธิและอำนาจของตนที่จะสั่งให้ปลัดกระทรวงกลาโหมไปช่วยราชการ ส่วนที่ พล.อ.ชาตรี เตรียมฟ้องร้องขอความเป็นธรรมนั้น พล.อ.อ.สุกำพล บอกว่า จะให้ความเป็นธรรม ถ้า พล.อ.ชาตรีเดินมาหามาคุย ตนก็คุยด้วย
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลัง พล.อ.อ.สุกำพล เปิดทางพร้อมคุยกับผู้ที่ถูกย้ายไปช่วยราชการ ปรากฏว่า พล.อ.พิณพาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา ได้ทำหนังสือขอเข้าพบเพื่อขอขมา พล.อ.อ.สุกำพล เมื่อวันที่ 29 ส.ค. หลัง พล.อ.อ.สุกำพลอนุญาตให้เข้าพบที่ห้องทำงานภายในกระทรวงกลาโหม พล.อ.พิณพาษณ์ได้นำดอกไม้ ธูปเทียน มาไหว้ขอขมา โดยยอมรับผิดทุกประการ พร้อมยืนยันว่า คำสั่งของ พล.อ.อ.สุกำพลที่ให้ไปช่วยราชการนั้นถูกต้องแล้ว ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล บอกว่า เมื่อขอโทษแล้วก็ต้องให้อภัยกัน เพราะเป็นพี่น้องกัน เมื่อผิดก็ต้องยอมรับผิด และว่า ต่อไปนี้ไม่มีอะไรติดใจต่อกัน ส่วนคำสั่งที่ออกไปนั้น ยังไม่เปลี่ยนแปลงอะไร
       
       ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาแฉพฤติกรรมของรัฐบาลที่พยายามทุกวิถีทางที่จะล้วงลูกการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารและผลักดันคนของตัวเองให้ได้ตำแหน่ง โดยเฉพาะการผลักดัน พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ให้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหมคนใหม่ โดยมีเจ๊ “ด.” อยู่เบื้องหลัง “มีข้อมูลว่า พล.อ.ทนงศักดิ์มีความสัมพันธ์ฉันเครือญาติกับเด็กคนหนึ่งของเจ๊ “ด.” ผู้กว้างขวางทางภาคเหนือ ขาใหญ่ดูแลนักการเมืองหลายระดับใช่หรือไม่ พล.อ.อ.สุกำพลไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ ถ้ายังทำงานรับคำสั่งจากผู้มีบารมีนอกพรรค คิดว่าการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการจะเกิดปัญหาตามมาอีกมาก”
       
       หลังนายองอาจพาดพิงถึงเจ๊ “ด.” ปรากฏว่า นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาปฏิเสธว่า ตนไม่ได้อยู่เบื้องหลังการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารหรือปลัดกระทรวงกลาโหม รวมทั้งไม่ได้เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวที่มีการร้องเรียนเรื่องทุจริต และว่า ตั้งแต่พ้นโทษตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ตนก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับฝ่ายการเมืองอีก “ดิฉันไม่อยากให้เล่นเกมการเมืองกันมากเกินไป เพราะทำให้เกิดความเสียหาย...”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์กรณี พล.อ.อ.สุกำพลสั่งย้ายปลัดกระทรวงกลาโหมไปช่วยราชการ โดยบอกว่า การย้าย การลงโทษและการให้ความดีความชอบ เป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชา ไม่ขอวิจารณ์ แต่ยืนยันว่า พล.อ.เสถียรยังคงเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมอยู่ เพียงแต่ไปช่วราชการเท่านั้น ซึ่งคงต้องคุยกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด “ผมทราบข่าวก็ไม่สบายใจ แต่ก็เป็นเรื่องของผู้บังคับบัญชา เพราะทหาร คำว่าผู้บังคับบัญชาสำคัญที่สุด...”
       
       3. “ทักษิณ-สุริยะ” รอด ป.ป.ช. ไม่ฟ้องคดีทุจริตซีทีเอ็กซ์ อ้าง หลักฐานไม่พอ ขณะที่ 6 จนท.รัฐส่อไม่รอด ถูกตั้งอนุ กก.ไต่สวน!

       เมื่อวันที่ 28 ส.ค. นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนคดีการจัดซื้อและติดตั้งเครื่องตรวจจับระเบิด(ซีทีเอ็กซ์ 9000) และการก่อสร้างระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้แถลงความคืบหน้าของคดีกรณีคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ได้ตั้งข้อหาผู้เกี่ยวข้อง 2 ข้อหา คือ 1.บริษัทท่าอากาศยานสากลกรุงเทพแห่งใหม่(บทม.) ว่าจ้างบริษัทกิจการค้าร่วมค้าไอทีโอ จัดหาระบบสายพานลำเลียงฯ โดยไม่ชอบด้วยยกฎหมายหรือไม่ 2.บทม.ออกหน้าเป็นตัวแทนบริษัทนายหน้าจัดซื้อเครื่องตรวจสอบซีทีเอ็กซ์เสียเองหรือไม่
       
       ทั้งนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.เห็นว่า สำนวนของ คตส.จำนวน 560 แผ่น และเอกสารอื่นๆ ยังไม่เพียงพอต่อการพิจารณา ดังนั้น เพื่อเป็นการอำนวยความยุติธรรม ป.ป.ช.จึงได้ขอความร่วมมือจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา ซึ่งทางสำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา(เอฟบีไอ) ได้ส่งเอกสารเพิ่มมาให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบจำนวน 5,000 แผ่น แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช.เห็นว่า หลักฐานยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหากระทำผิดโดยปราศจากข้อสงสัย จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่ฟ้องผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด เช่น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ,นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ฯลฯ
       
       อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ ป.ป.ช.เห็นว่า เอกสารบางส่วนแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง 6 คนในคดีนี้น่าจะมีมูลความผิด แต่ คตส.ไม่ได้ไต่สวนไว้ ประกอบด้วย นายศรีสุข จันทรางศุ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ในฐานะประธาน บทม. ,พล.อ.สมชัย สมประสงค์ รองประธาน บทม. ,นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุด ,นายเทิดศักดิ์ เศรษฐมานพ ,นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ และ พล.อ.อ.ณรงค์ศักดิ์ สังขะพงศ์ กรรมการ บทม. ซึ่งทั้งหมดเป็นกรรมการ บทม. และได้เดินทางไปดูงานที่นครซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีหลักฐานเป็นใบเสร็จแสดงค่าใช้จ่ายว่าบริษัทตัวแทนขายเครื่องซีทีเอ็กซ์จ่ายค่าเครื่องบิน ค่าที่พัก ค่าเล่นกอล์ฟให้ นอกจากนี้ยังพบว่า กรรมการบางคนได้พาภรรยาและครอบครัวไปด้วย ซึ่งกรณีดังกล่าวถือว่าเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับผลประโยชน์ และมาตรา 103 ของ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีมติให้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนเจ้าหน้าที่รัฐทั้ง 6 คนดังกล่าวว่าเรียกรับผลประโยชน์หรือไม่ นอกจากนี้หากพบว่ามีหลักฐานใหม่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกกล่าวหาคดีทุจริตจัดซื้อและติดตั้งเครื่องซีทีเอ็กซ์ ก็สามารถหยิบคดีนี้ขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้
       
       ทั้งนี้ นายวิชัย ยืนยันว่า การพิจารณาคดีนี้ของ ป.ป.ช.ไม่ใช่มวยล้ม เพราะคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้ไม่ได้มาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร การจะไปช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ จึงไม่มีเหตุผล พร้อมย้ำว่า ข้อมูลที่ได้มาก็ไม่ได้ถูกตัดตอน จนไม่สามารถเอาผิดผู้ถูกกล่าวหาได้ และที่ผ่านมาก็ไม่ได้ยื้อคดีแต่อย่างใด เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการพิจารณาคดีซีทีเอ็กซ์ครั้งนี้ ไม่มีนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นอดีต คตส. ร่วมพิจารณาด้วยแต่อย่างใด
       
       4. “ปลอดประสพ” เตรียมซ้อมปล่อยน้ำเข้ากรุงทดสอบระบบระบายน้ำ 5 และ 7 ก.ย.นี้ ด้าน “สุขุมพันธุ์” ลั่น หากเกิดอุบัติเหตุ รบ.ต้องรับผิดชอบ!

       เมื่อวันที่ 29 ส.ค. นายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธานคณะกรรมการการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย(กบอ.) เผยว่า ในวันที่ 5 และ 7 ก.ย.นี้ จะมีการทดสอบการระบายน้ำและขีดความสามารถของการระบายน้ำในคูคลองในกรุงเทพฯ เพื่อทดสอบความพร้อมในการรับมือน้ำเหนือที่จะลงมากรุงเทพฯ ในช่วงเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งถือว่าเป็นการทดลองโมเดลระบบระบายน้ำใหม่ครั้งแรกในพื้นที่จริง โดยการทดสอบครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง กบอ.กับกรมชลประทาน กองทัพเรือ และกรุงเทพมหานคร(กทม.)
       
        ทั้งนี้ นายปลอดประสพ บอกประชาชนว่าอย่าตกใจกับการทดสอบครั้งนี้ เพราะน้ำที่จะระบายลงมากรุงเทพฯ มีปริมาณไม่มาก “การทดสอบปล่อยน้ำครั้งนี้ จะปล่อยไม่เกิน 20 ลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.)ต่อวินาที โดยวันที่ 5 ก.ย. จะทดสอบในฝั่งตะวันตก บริเวณคลองทวีวัฒนาและคลองอื่นๆ ที่เชื่อมต่อกันในกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก และวันที่ 7 ก.ย. จะทดสอบฝั่งตะวันออก บริเวณคลองระพีพัฒน์และคลองลาดพร้าว... ยืนนยันว่าการทดสอบจะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ริมน้ำ และจะไม่ส่งผลกระทบต่อน้ำที่ใช้ในการเกษตรด้วย และหากเกิดสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย จะหยุดการทดสอบทันที”
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า หลายฝ่ายไม่มั่นใจว่าการทดสอบระบบการระบายน้ำดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนตามที่นายปลอดประสพยืนยัน ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาช่วยนายปลอดประสพการันตีว่า พี่น้องประชาชนที่อยู่ริมคลองสบายใจได้ ไม่ต้องห่วง เพราะการทดสอบการระบายน้ำครั้งนี้ทำด้วยความระมัดระวัง หากมีผลกระทบ พร้อมที่จะหยุดทันทีอยู่แล้ว
       
        ทั้งนี้ ในส่วนของ กทม.ค่อนข้างเป็นห่วงกลัวว่าการทดสอบระบบระบายน้ำครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อประชาชน โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.บอกว่า ส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยกับการทดสอบระบบระบายน้ำของ กบอ.ในวันที่ 5 และ 7 ก.ย.นี้ เพราะเดือน ก.ย.เป็นเดือนที่ฝนตกหนักมากที่สุดในรอบปี ซึ่งจากข้อมูลการพยากรณ์อากาศในช่วงนี้ จะมีฝนตกถึง 60 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีการก่อตัวของพายุในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งจะเคลื่อนเข้าไทยในที่สุด
       
        ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บอกด้วยว่า แม้ไม่เห็นด้วยกับการทดสอบระบบระบายน้ำ แต่เมื่อเป็นเจตนาของรัฐบาล กทม.ก็พร้อมร่วมมือ แต่หากเกิดอุบัติเหตุขึ้น รัฐบาลต้องรับผิดชอบ เพราะเดิมพันครั้งนี้คือคนและบ้านเรือนของประชาชน “กบอ.พูดว่า ถ้ามีปัญหาจะยกเลิกการทดสอบทันที แต่เรากำลังพูดถึงน้ำธรรมชาติไม่ใช่น้ำก๊อก ในฝั่งตะวันตกผมไม่ห่วงมาก จะมีบ้างก็ในส่วนของคลองมหาสวัสดิ์ที่ขณะนี้การก่อสร้างเขื่อมริมแม่น้ำของ กทม.ยังไม่แล้วเสร็จดี ซึ่งตรงนี้ได้เตรียมมาตรการเร่งด่วนไว้โดยเสริมกระสอบทราย แต่ที่ผมมีความเป็นห่วง คือคลองลาดพร้าวที่กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ รับดำเนินการขุดลอก ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ขุดลอกเลย ก็ขอให้การดำเนินการของรัฐบาลเป็นไปได้ด้วยความระมัดระวัง หากเกิดปัญหาขึ้นก็ไม่ต้องฟังใคร ขอให้ฟังผมคนเดียว”

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    2 กันยายน 2555