ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 2-8 ก.ย.2555  (อ่าน 1048 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9789
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 2-8 ก.ย.2555
« เมื่อ: 16 กันยายน 2012, 22:14:04 »
   1. “เจ๋ง ดอกจิก” นอนคุกต่อ ศาลไม่ให้ประกัน ชี้ ยังไม่มีเหตุผลพอให้เชื่อว่าจำเลยสำนึกผิด-เข็ดหลาบแล้ว!

       ความคืบหน้ากรณีนายยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย(นายฐานิสร์ เทียนทอง รมช.มหาดไทย) ผู้ต้องหาคดีก่อการร้าย ถูกศาลสั่งถอนประกันเมื่อวันที่ 22 ส.ค. เนื่องจากมีพฤติกรรมผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวด้วยการปราศรัยข่มขู่คุกคามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบนเวทีคนเสื้อแดงที่หน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.โดยบอกชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ของตุลาการฯ และครอบครัว พร้อมชักชวนคนเสื้อแดงให้โทรศัพท์ไปคุยหรือไปเยี่ยมไปจัดการ ส่งผลให้นายยศวริศต้องกลับเข้าไปนอนคุกอีกครั้งที่เรือนจำชั่วคราวหลักสี่ หรือที่มักเรียกกันว่า คุกวีไอพี
       
       ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 3 ก.ย. นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ นปช.ในฐานะทนายความนายยศวริศได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอประกันตัว โดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด 6 แสนบาท พร้อมกันนี้ยังได้นำ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และนายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไปเบิกความต่อศาลเพื่อรับรองความประพฤติให้นายยศวริศด้วย
       
       โดย พล.ต.อ.ประชา เบิกความว่า ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมมีโครงการสนับสนุนให้นักโทษคดีการเมืองได้รับการประกันตัว เพื่อให้เกิดความปรองดอง และนายยศวริศก็เข้าข่ายเช่นกัน และว่า ถ้าศาลอนุญาตให้ประกันตัว ตนจะคอยติดตามควบคุมดูแลไม่ให้นายยศวริศกระทำผิดเงื่อนไขของศาลอีก ทั้งนี้ ศาลได้นัดสอบถามนายยศวริศในวันต่อมา 4 ก.ย. เป็นที่น่าสังเกตว่า ทางอัยการไม่ได้คัดค้านการยื่นขอประกันตัวนายยศวริศแต่อย่างใด
       
       วันต่อมา(4 ก.ย.) นายยศวริศได้แถลงต่อศาล โดยยืนยันว่า ตนรู้สึกสำนึกผิดแล้ว ถ้าศาลเมตตาอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวอีกครั้ง จะไม่ละเมิดสัญญาประกันตัว และจะระวังไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพบุคคลอื่น ไม่ดูหมิ่นหรือทำผิดกฎหมาย นายยศวริศ ยังพยายามยกสารพัดเหตุผลเพื่อให้ตนได้รับการประกันตัว โดยบอกว่า ตอนนี้ตนเป็นเลขานุการนายฐานิสร์ เทียนทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มีภารกิจที่ได้รับมอบหมาย นอกจากนี้ยังมีหน้าที่เลี้ยงดูบุตร ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง และภรรยาก็ไม่มีรายได้ และว่า ถ้าได้รับการประกันตัว จะทำหนังสือขอโทษไปยังองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการอีกครั้ง พร้อมให้คำมั่นสัญญาว่า จะไม่มีการพูดปราศรัยหรือยุ่งเกี่ยวพาดพิงถึงศาลรัฐธรรมนูญอีก
       
       ด้านนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้ร้องให้ศาลถอนประกันนายยศวริศ ได้แถลงคัดค้านการประกันตัว โดยบอกว่า จำเลยเพิ่งถูกควบคุมตัวเป็นเวลาสั้นๆ และยังไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งศาล นายนิพิฏฐ์ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ตอนที่อยู่ในเรือนจำหลักสี่ นายยศวริศก็มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าบุคคลทั่วไป ขณะที่กรมราชทัณฑ์ได้อนุญาตให้ร้องเพลงคาราโอเกะในเรือนจำด้วย ทั้งนี้ ศาลได้นัดฟังคำสั่งว่าจะให้นายยศวริศประกันตัวหรือไม่ในวันต่อมา 5 ก.ย.
       
       ซึ่งเมื่อถึงกำหนด ศาลได้มีคำสั่งยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่า นายยศวริศเคยได้รับการปล่อยตัวมาแล้ว แต่ยังกระทำการฝ่าฝืนเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว แม้นายยศวริศจะบอกว่าสำนึกผิดแล้ว และให้คำมั่นสัญญาว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลอย่างเคร่งครัด จะทำหนังสือขอโทษตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็เป็นแค่การกล่าวอ้าง ยังไม่มีพฤติการณ์แสดงออกอย่างชัดเจน อีกทั้งศาลเห็นว่า การสูญเสียอิสรภาพของจำเลยยังเป็นช่วงเวลาสั้นๆ จึงยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้ศาลเชื่อได้ว่าจำเลยสำนึกและเข็ดหลาบต่อการกระทำความผิดแล้ว จึงเห็นควรให้ยกคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว
       
       ด้านนายยศวริศ หลังฟังคำสั่งศาล ถึงกับมีสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่นายวิญญัติ ทนายความนายยศวริศ บอกว่า หลังจากนี้จะทำหนังสือแสดงความสำนึกผิดของนายยศวริศส่งถึงตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้งหมดในสัปดาห์หน้า เพื่อให้ศาลเห็นว่านายยศวริศสำนึกผิดและปฏิบัติให้เห็นชัดเจนแล้ว โดยหนังสือที่จะส่งถึงตุลาการฯ จะชี้ให้เห็นว่า นายยศวริศไม่มีเจตนาจะทำร้ายบุคคลใด ที่ทำไปเพราะขาดความยับยั้งชั่งใจ นอกจากนี้จะยื่นขอประกันตัวนายยศวริศครั้งต่อไปไม่เกินเดือน ต.ค.
       
       ด้านพรรคประชาธิปัตย์ได้เตรียมยื่นหนังสือถึงผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อเอาผิด พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ฐานทำผิดประมวลจริยธรรมข้าราชการการเมือง เพราะได้ทำหนังสือรับรองความประพฤติให้นายยศวริศและไปให้ปากคำต่อศาลระหว่างขอประกันตัว ทั้งที่นายยศวริศมีคดีอยู่ในชั้นศาลถึง 3 คดี คือ รับจ้างเลือกตั้ง ขึ้นเวทีปราศรัยล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ และเป็นจำเลยในคดีก่อการร้าย หากผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบแล้วพบว่า พล.ต.อ.ประชามีความผิดร้ายแรง ต้องส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูล เพื่อถอดถอนออกจากตำแหน่งต่อไป
       
       2. ทายาท “กระทิงแดง” ซิ่งเฟอร์รารีชน ตร.ดับ ก่อนหนีเข้าคฤหาสน์ ด้าน “เฉลิม” ขอโทษ -พร้อมรับผิดชอบ ขณะที่ “คำรณวิทย์” สั่งเด้ง สวป. ฐานจัดฉากแพะ!

       เมื่อวันที่ 3 ก.ย. เวลา 05.40น. ตำรวจ สน.ทองหล่อ ได้รับแจ้งว่าเกิดอุบัติรถยนต์ชนรถจักรยานยนต์ตำรวจ ส่งผลให้ตำรวจเสียชีวิต บริเวณปากซอยสุขุมวิท 47 แขวงคลองตันเหนือ เขตวัฒนา กทม. ก่อนลากร่างตำรวจจากจุดเกิดเหตุไปไกล 200 เมตร จนถึงปากซอยสุขุมวิท 49 โดยผู้เสียชีวิตคือ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ อายุ 47 ปี ผบ.หมู่ฝ่ายปราบปราม สน.ทองหล่อ อยู่ในชุดเครื่องแบบตำรวจ นอกจากนี้ยังพบรถจักรยานยนต์ตำรวจยี่ห้อไทเกอร์พังเสียหายอยู่ใกล้กัน
       
       หลังเจ้าหน้าที่รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบชิ้นส่วนรถยนต์ตกอยู่และมีคราบน้ำมันเครื่องของรถคันก่อเหตุไหลเป็นทางยาวไปจนถึงหน้าบ้านเลขที่ 9 ภายในซอยสุขุมวิท 53 ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า เป็นบ้านของนายเฉลิม อยู่วิทยา บุตรชายนายเฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของกลุ่มบริษัทผลิตเครื่องดื่มกระทิงแดง
       
       ต่อมา พ.ต.อ.ชุมพล พุ่มพวง ผู้กำกับการ สน.ทองหล่อ ได้นำกำลังตำรวจไปปิดล้อมบ้านหลังดังกล่าว เพื่อขอเข้าตรวจค้น เนื่องจากเชื่อว่าผู้ก่อเหตุหลบหนีอยู่ภายในบ้าน แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย(รปภ.) ไม่อนุญาต โดยอ้างว่าเจ้าของบ้านไม่อยู่ กระทั่งต่อมา 08.00น. พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้เดินทางไปขอตรวจค้น โดยใช้เวลา 1 ชั่วโมง ก่อนเผยว่า ยังไม่พบผู้ขับขี่รถคันก่อเหตุ และว่า รปภ.ยังไม่อนุญาตให้ตรวจค้นโรงจอดรถใต้ดิน โดยอ้างว่ายังไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ จึงได้ประสานขอหมายค้นจากศาลเพื่อเข้าตรวจสอบ พร้อมประกาศว่า ขอเอาตำแหน่งเป็นประกันว่า ใครก็ตาม ต้องนำตัวมาดำเนินคดีให้ได้ เพราะเป็นเหตุอุกอาจ จะไม่ปล่อยให้ลูกน้องต้องมาตายฟรีๆ ถ้านำตัวจริงมาดำเนินคดีไม่ได้ ตนจะลาออก
       
       อย่างไรก็ตาม ให้หลังไม่นาน ทนายความและ รปภ.ของบ้านหลังดังกล่าว ได้อนุญาตให้ตำรวจเข้าตรวจสอบภายในบ้านได้ ซึ่งตำรวจได้พบรถคันก่อเหตุเป็นรถสปอตหรูยี่ห้อเฟอร์รารี สีเทาดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน โดยมีร่องรอยการชนที่ด้านซ้ายของรถ นอกจากนี้ยังพบเครื่องหมายยศของ ด.ต.วิเชียร ติดอยู่ที่รถคันดังกล่าวด้วย ไม่เท่านั้นยังพบบันทึกของ รปภ.ระบุว่า เมื่อเวลา 05.12น. “น้องบอส” ขับรถคันดังกล่าวออกจากบ้าน
       
       ต่อมา ทนายความได้แนะนำให้นายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส อายุ 27 ปี บุตรชายนายเฉลิม อยู่วิทยา ประธานบริษัท เรดบูล คอมปานี ลิมิเต็ด ออกมามอบตัวกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ก่อนนำตัวไปสอบปากคำที่ สน.ทองหล่อ
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนจะได้ผู้ต้องหาตัวจริง คือนายวรยุทธ ปรากฏว่า ทาง พ.ต.ท.ปัณณ์ณภณ นามเมือง สารวัตรปราบปราม สน.ทองหล่อ ได้นำตัวนายสุเวศ หอมอุบล อายุ 45 ปี พ่อบ้านของตระกูลอยู่วิทยา มามอบตัวโดยอ้างว่าเป็นผู้ขับรถคันก่อเหตุ แต่เมื่อ พล.ต.ท.คำรณวิทย์มารู้ภายหลังว่านายสุเวศไม่ใช่ผู้ก่อเหตุตัวจริง แต่น่าจะเป็นการจัดฉากและเป็นความพยายามช่วยเหลือผู้ต้องหาของ พ.ต.ท.ปัณณ์ณภณมากกว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์จึงไม่พอใจอย่างมาก และได้มีคำสั่งให้ พ.ต.ท.ปัณณ์ณภณ ไปช่วยราชการที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลเป็นเวลา 30 วัน พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบวินัย แต่ภายหลัง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้มีคำสั่งให้ พ.ต.ท.ปัณณ์ณภณ ออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ พร้อมกันนี้ได้ตั้ง พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีนี้ และยังได้แจ้งข้อหานายสุเวศฐานแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานด้วย
       
       สำหรับผลการสอบสวนนายวรยุทธ ผู้ก่อเหตุตัวจริงนั้น พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เผยว่า เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การภาคเสธ ซึ่งต้องนำตัวผู้ต้องหาไปตรวจว่าเมาแล้วขับหรือไม่ ก่อนอนุญาตให้ประกันตัวโดยตีราคาประกัน 5 แสนบาท ด้านนายสมัคร เชาวภานนท์ ทนายความนายวรยุทธ บอกว่า ผู้ต้องหาและครอบครัวยินดีชดใช้ค่าเสียหาย ไม่ว่าจะผิดหรือถูก และจะเป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมศพ ด.ต.วิเชียรทุกคืน รวมทั้งจะมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาให้ญาติผู้เสียชีวิตด้วย
       
       ด้านนายอานันท์ กลั่นประเสริฐ พี่ชาย ด.ต.วิเชียร กล่าวหลังเดินทางมารับศพน้องชายที่สถาบันนิติเวชวิทยาว่า “เรื่องนี้ผมรู้สึกรับไม่ได้ และถือเป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก ที่คนก่อเหตุขับรถชนน้องชายแล้วขับรถหนี มีการลากศพไปไกล หากชนแล้วหยุด น้องชายผมคงมีโอกาสรอด อาจจะไม่ตาย...”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า นายเฉลิม อยู่วิทยา บิดานายวรยุทธ ได้ไปร่วมงานศพ ด.ต.วิเชียรแทบทุกคืน โดยได้ขอโทษญาติของ ด.ต.วิเชียรถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมรับปากจะให้การช่วยเหลือและรับผิดชอบทุกอย่าง และเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย ขณะที่นายวรยุทธ ผู้ก่อเหตุ ได้เดินทางไปเคารพศพ ด.ต.วิเชียร พร้อมกับนางดารณี มารดาเมื่อวันที่ 5 ก.ย. แต่ไม่ได้พูดคุยหรือขอโทษญาติ ด.ต.วิเชียรถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า ผลการตรวจพิสูจน์ร่องรอยหลักฐานการชนของรถเฟอร์รารีกับรถจักรยานยนต์ พบว่า น่าจะเป็นการชนลักษณะตรง จากนั้นมีการลากรถจักรยานยนต์ครูดไปกับถนน โดยคาดว่าร่างของ ด.ต.วิเชียร ติดอยู่บนฝากระโปรงรถด้านหน้าเฟอร์รารี เพราะมีเส้นผม เลือด และเครื่องหมายยศของ ด.ต.วิเชียรติดอยู่ด้านหน้ารถ และจากจุดชน ห่างไปประมาณ 64.8 เมตร ได้พบกองเลือด คาดว่าร่างของ ด.ต.วิเชีรน่าจะตกจากกระโปรงรถลงพื้นถนน ณ จุดนี้ ส่วนรถจักรยานยนต์น่าจะยังติดอยู่ที่รถเฟอร์รารี ก่อนจะสะบัดหลุดออกจากเฟอร์รารีห่างจากจุดแรกที่พบร่องรอยการชนประมาณ 200 เมตร
       
       ด้าน พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เผยว่า ได้แจ้งข้อหานายวรยุทธฐานขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย มีโทษจำคุก 10 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท และข้อหาหลบหนีโดยไม่แจ้งเหตุให้เจ้าพนักงานทราบ และไม่หยุดให้ความช่วยเหลือ โทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับ 2-5 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ยังได้เตรียมแจ้งข้อหาเพิ่มอีก 1 ข้อหา คือขับรถขณะมึนเมา เป็นเหตุให้ผู้อื่นเสียชีวิต โทษจำคุก 3-10 ปี ปรับ 60,000-200,000 บาท และให้ศาลเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ หลังผลตรวจวัดแอลกอฮอล์ในเลือดของนายวรยุทธพบว่า อยู่ที่ 64 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ไม่เกิน 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ โดยนายวรยุทธได้ขอเลื่อนเข้ารับทราบข้อกล่าวหาเป็นวันที่ 12 ก.ย. ส่วนข้อหาพยายามฆ่า ยังไม่พบหลักฐานที่จะเอาผิด สำหรับความเร็วของรถขณะชนนั้น อยู่ระหว่างตรวจสอบกล้องวงจรปิด โดยเบื้องต้นมีรายงานว่า นายวรยุทธน่าจะขับรถด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่า 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
       
       3. กบอ.ผวา ฝนถล่มกรุง ทำหลายจุดน้ำท่วมขัง สั่งเลื่อนซ้อมระบายน้ำฝั่งตะวันออก!

       ความคืบหน้ากรณีรัฐบาลเตรียมปล่อยน้ำเข้ากรุงเพื่อทดสอบระบบระบายน้ำของคูคลองใน กทม. ในวันที่ 5 และ 7 ก.ย. โดยวันที่ 5 จะทดสอบกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก บริเวณคลองทวีวัฒนาและคลองอื่นๆ ที่เชื่อมต่อกัน ส่วนวันที่ 7 ก.ย. จะทดสอบฝั่งตะวันออก บริเวณคลองระพีพัฒน์และคลองลาดพร้าว โดยการทดสอบครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่างคณะกรรมการการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย(กบอ.) ที่มีนายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นประธาน ร่วมกับกรมชลประทาน กองทัพเรือ และกรุงเทพมหานคร(กทม.) โดย กทม.ไม่ค่อยเห็นด้วยกับการทดสอบปล่อยน้ำเข้ากรุงครั้งนี้ เพราะเกรงประชาชนจะได้รับผลกระทบ เนื่องจากเดือน ก.ย.เป็นเดือนที่ฝนตกหนักที่สุดในรอบปี
       
       แต่รัฐบาลยังยืนยันจะมีการทดสอบระบายน้ำใน กทม.ในช่วงดังกล่าว โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้สั่งให้คณะอนุกรรมการระบายน้ำชี้แจงเส้นทางที่จะมีการทดสอบการระบายน้ำอย่างละเอียด รวมทั้งเพิ่มการติดตั้งกล้องวงจรปิด เพื่อให้ประชาชนติดตามสถานการณ์ได้ พร้อมยืนยันว่า จะทำทุกขั้นตอนด้วยความระมัดระวัง หากทดสอบแล้วมีปัญหาตรงไหน พร้อมที่จะหยุดภายใน 5 นาที
       
       ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. แถลงก่อนหน้าจะมีการทดสอบระบายน้ำ 1 วัน(4 ก.ย.)ว่า ข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาแจ้งว่า ในวันที่ 5 ก.ย.จะมีฝนตกร้อยละ 80 ดังนั้นจะมีฝนตกแน่นอน กทม.จึงได้เตรียมเจ้าหน้าที่จากสำนักต่างๆ 2,000 คน พร้อมรถดับเพลิง ทีมแพทย์-พยาบาล และรถสุขาเคลื่อนที่ เพื่อเฝ้าระวังบริเวณประตูระบายน้ำคลองทวีวัฒนาและจุดเสี่ยง 7 แห่ง เช่น บริเวณพุทธมณฑลสาย 3 และสาย 4 ,หมู่บ้านเศรษฐกิจ ฯลฯ
       
       ขณะที่สถานการณ์โดยทั่วไป เริ่มมีน้ำท่วมในบางจังหวัดจากภาวะฝนตกหนัก เช่น อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ ,อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ที่หลายหมู่บ้านน้ำท่วมเกือบ 2 เมตร ฯลฯ ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) ได้ประกาศเตือน 20 จังหวัดในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ระหว่างน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และดินโคลนถล่มระหว่างวันที่ 4-6 ก.ย.
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ผลการทดสอบระบบระบายน้ำในวันแรก วันที่ 5 ก.ย. ซึ่งเป็นการทดสอบในพื้นที่ปลายน้ำฝั่งตะวันตกของ กทม. บริเวณคลองทวีวัฒนา ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่นเรียบร้อยดี แม้จะมีฝนตกลงมาบ้าง แต่ปริมาณน้ำฝนเพียงเล็กน้อยแค่ 12 มิลลิเมตรเท่านั้น จึงไม่ส่งผลกระทบต่อการทดสอบแต่อย่างใด
       
       ทั้งนี้ นายปลอดประสพ สุรัสวดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะประธาน กบอ.บอกว่า การทดสอบครั้งนี้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ถือเป็นการระบายน้ำที่ดีกว่าช่วงน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ถึง 3 เท่า ขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. แสดงความเป็นห่วงการทดสอบระบายน้ำฝั่งตะวันออกที่จะมีขึ้นในวันที่ 7 ก.ย. เพราะคลองลาดพร้าว คลองบางเขน และคลองเปรมประชากรตัดผ่านพื้นที่หลายชุมชน ประกอบกับอาจมีร่องมรสุมจากประเทศฟิลิปินส์เข้าไทยในช่วงดังกล่าวด้วย
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พอใจผลการทดสอบระบายน้ำในวันที่ 5 ก.ย. พร้อมมั่นใจ ปีนี้น้ำจะไม่ท่วม กทม.แน่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังยืนยันจะทดสอบระบายน้ำในวันที่ 7 ก.ย.อีกครั้ง แม้หลายฝ่ายจะห่วงเรื่องฝนที่อาจตกต่อเนื่องไปถึงวันที่ 7 ก.ย.ก็ตาม
       
       อย่างไรก็ตาม หลังเกิดฝนตกต่อเนื่องตลอดวันที่ 6 ก.ย. ส่งผลให้ กบอ.ตัดสินใจประกาศยกเลิกการทดสอบระบบระบายน้ำฝั่งตะวันออกของ กทม.ในวันที่ 7 ก.ย. เนื่องจากพบน้ำท่วมขังหลายจุด จึงเกรงว่าหากเดินหน้าทดสอบระบบระบายน้ำตามแผนที่วางไว้ต่อไป อาจเกิดปัญหาขึ้นได้ จึงขอเลื่อนออกไปก่อน
       
       4. ฟอร์บส์ จัดอันดับ 40 เศรษฐีไทย ปี’ 55 “เจ้าสัวธนินท์” ยังครองแชมป์ ด้าน “ทักษิณ” ติดอันดับ 23 !

       เมื่อวันที่ 6 ก.ย. นิตยสารฟอร์บส์ ฉบับประจำเดือน ก.ย.2555 ได้เผยผลการจัดอันดับบุคคลที่รวยที่สุดในประเทศไทย 40 อันดับ ประจำปี 2555 ปรากฏว่า อันดับ 1 ยังคงเป็นนายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหารเครือเจริญโภคภัณฑ์และครอบครัว โดยมีทรัพย์สินประมาณ 270,000 ล้านบาท ซึ่งนายธนินท์รั้งอันดับ 1 ต่อเนื่องเป็นปีที่สามแล้ว อันดับ 2 เป็นของตระกูลจิราธิวัฒน์ มีทรัพย์สินประมาณ 207,000 ล้านบาท อันดับ 3 นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ซึ่งตกจากอันดับสองเมื่อปีที่แล้ว มีทรัพย์สินประมาณ 186,000 ล้านบาท อันดับ 4 เป็นของตระกูลอยู่วิทยา ซึ่งเพิ่งสูญเสียนายเฉลียว อยู่วิทยา เจ้าของฉายาเจ้าพ่อกระทิงแดงไปเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา มีทรัพย์สินประมาณ 162,000 ล้านบาท อันดับ 5 นายกฤต รัตนรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก บรอดคาสติ้ง แอนด์ ทีวี มีทรัพย์สินประมาณ 93,000 ล้านบาท ฯลฯ
       
        ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ติดอันดับ 23 โดยมีทรัพย์สินร่วมกับครอบครัวประมาณ 18,000 ล้านบาท เป็นที่น่าสังเกตว่า การจัดอันดับปีนี้ มีเศรษฐีหน้าใหม่เพิ่มขึ้นมา 2 ราย คือ นายวิชัย ทองแตง อดีตทนายความประจำตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ติดอันดับ 20 มีทรัพย์สินประมาณ 21,200 ล้านบาท และนายเฉลิม หาญพิทักษ์ เจ้าของกิจการในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ติดอันดับ 33 มีทรัพย์สินประมาณ 8,550 ล้านบาท
       
        ส่วนผู้ที่รั้งท้ายมหาเศรษฐีอันดับ 40 ของไทยในปีนี้ คือ นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม แห่งจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ มีทรัพย์สินประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลกำไรจากการถ่ายทอดสดฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป หรือยูโร 2012
       
        ทั้งนี้ นิตยสารฟอร์บส์ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า มหาเศรษฐีของไทยร่ำรวยขึ้นกว่าเดิมปีละ 20% ต่อเนื่องเป็นปีที่สอง ซึ่งสาหตุที่ทำให้รวยขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ประกาศลดอัตราภาษีประกอบการของบริษัทลงจาก 30% เหลือ 23% และจะลดลงอีกเหลือ 20% ในปี 2556 และ 2557

ASTVผู้จัดการออนไลน์    9 กันยายน 2555