5.ศาล พิพากษาจำคุก ธาริต เพ็งดิษฐ์ 2 ปี ไม่รอลงอาญา คดีย้าย พ.อ.ปิยะวัฒก์ ข้าราชการดีเอสไอไม่ชอบ!
เมื่อวันที่ 11 ส.ค. ศาลอาญา ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่ พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ อดีตผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เป็นโจทก์ฟ้องนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีดีเอสไอ และนายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รักษาราชการปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157, 83
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 30 มี.ค. - 8 ต.ค. 2555 นายธาริต จำเลยที่ 1 ขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ และนายชาญเชาวน์ จำเลยที่ 2 ในฐานะรองปลัดกระทรวงยุติธรรมได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยการทำหนังสือโยกย้ายโจทก์ ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ ซึ่งมีระดับต่ำกว่าตำแหน่งเดิม อันเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งว่าคดีไม่มีมูลให้ยกฟ้อง แต่ภายหลังโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ประทับฟ้อง
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้วฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2555 จำเลยที่ 1 ขณะดำรงตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของโจทก์ ได้มีคำขอเสนอให้ย้ายโจทก์จากตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา ไปดำรงตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษของดีเอสไอ ต่อมา นายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม มีคำสั่งเมื่อวันที่ 18 เม.ย. 2555 ให้จำเลยที่ 1 ชี้แจงเหตุผลในการขอย้ายโจทก์เพิ่มเติมก่อนที่นายกิตติพงษ์ จะเดินทางไปต่างประเทศ จำเลยที่ 1 จึงมีหนังสือลงวันที่ 19 เม.ย. 2555 ชี้แจงเหตุผลเพิ่มเติมกลับไป โดยระบุว่าโจทก์ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ถูกตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริง ถูกร้องทุกข์กล่าวโทษ และถูกร้องเรียนเรื่องการทำหน้าที่ควบคุมคดี รวมถึงมีการส่งเรื่องของโจทก์ไปให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบสวน ขณะที่จำเลยที่ 2 ในฐานะรองปลัดกระทรวงรักษาราชการแทนปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ลงนามคำสั่งย้ายโจทก์เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2555 หลังจากนั้นโจทก์ได้ยื่นร้องทุกข์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม(ค.ก.พ.) ซึ่ง ค.ก.พ.วินิจฉัยว่า คำสั่งย้ายโจทก์เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จากนั้น ปลัดกระทรวงยุติธรรมได้มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งย้ายโจทก์ และให้โจทก์กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ตามเดิมในเวลาต่อมา
ศาลเห็นว่า แม้คำสั่งย้ายโจทก์จะเป็นคำสั่งตามปกครอง แต่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจบังคับบัญชาสูงสุดของดีเอสไอ ต้องยึดหลักคุณธรรม ในการให้ความเป็นธรรมต่อผู้ใต้บังคับบัญชาทุกระดับ ต้องเป็นขวัญและกำลังใจต่อเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ การเสนอขอให้ย้ายโจทก์ดังกล่าว จำเลยที่ 1 อ้างว่ามีอำนาจตามกฎหมายที่สามารถกระทำได้ แต่ ค.ก.พ.มีคำวินิจฉัยว่า คำสั่งย้ายโจทก์ไม่ชอบและไม่มีเหตุผลเพียงพอ รวมทั้งไม่เป็นประโยชน์ต่อทางราชการแต่อย่างใด ซึ่งคำวินิจฉัยของ ค.ก.พ.มีผลให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตาม แม้จำเลยที่ 1 จะต่อสู้ว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวเกิดขึ้นในภายหลังก็ตาม แต่จำเลยที่ 1 เสนอขอให้ย้ายโจทก์ ซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูง ยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังและมีความรอบคอบเพียงพอ มิฉะนั้นแต่ละหน่วยงานต่างก็จะวินิจฉัยหรือตีความไปตามอำเภอใจ
ขณะที่โจทก์นำสืบว่า การเสนอขอให้ย้ายโจทก์น่าจะมีมูลความขัดแย้งมาจากเรื่องการสั่งสำนวนคดีหลายคดีที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 มีความเห็นไม่ตรงกัน โดยเฉพาะคดีแชร์สลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งโจทก์ได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวน และโจทก์มีคำสั่งให้อายัดทรัพย์สินของผู้เกี่ยวข้องที่ตกเป็นผู้ต้องหาหลายราย มูลค่าทรัพย์สินหลายล้านบาท ต่อมาผู้ต้องหาบางราย ยื่นหนังสือถึงจำเลยที่ 1 ขอให้ยกเลิกการอายัดทรัพย์สิน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่จำเลยที่ 1 เสนอขอให้ย้ายโจทก์ และหลังจากจำเลยที่ 2 ลงนามสั่งย้ายโจทก์ไม่กี่วัน จำเลยที่ 1 ได้มีคำสั่งยกเลิกการอายัดทรัพย์สินของผู้ต้องหารายนั้น ทั้งนี้ ศาลเห็นว่า ช่วงเวลาเชื่อมโยงสอดคล้องกัน เชื่อว่า การที่จำเลยที่ 1 เสนอขอให้ย้ายโจทก์เช่นนั้น มีมูลเหตุจากความไม่พอใจหรือขัดแย้งจากการปฏิบัติหน้าที่ จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ตามที่โจทก์ฟ้อง ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
ในส่วนของจำเลยที่ 2 นั้น โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดมานำสืบให้เห็นว่า มีเจตนากลั่นแกล้งหรือจงใจให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ หรือมีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตเกี่ยวกับคำสั่งย้ายโจทก์อย่างไรบ้าง อีกทั้งโจทก์กับจำเลยที่ 2 ไม่มีมูลเหตุขัดแย้งหรือเหตุผลอื่นใดที่จะให้ร้ายแก่กัน พยานหลักฐานของโจทก์จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ให้จำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา และยกฟ้องจำเลยที่ 2
ทั้งนี้ หลังฟังคำพิพากษา นายธาริต จำเลยที่ 1 ได้ยื่นหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราวเพื่ออุทธรณ์สู้คดีเป็นเงินสด 200,000 บาท ด้านศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 200,000 บาท และไม่กำหนดเงื่อนไขในการปล่อยชั่วคราว
ด้านนายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความของโจทก์ เปิดเผยว่า คดีนี้นายธาริตอุทธรณ์สู้คดี ส่วนตนในฐานะทนายความโจทก์ก็จะอุทธรณ์คดีเช่นกัน เนื่องจากเห็นว่าศาลลงโทษนายธาริตเพียงแค่ 2 ปี ถือว่าโทษยังเบาเกินไป เพราะความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการนั้น เป็นเรื่องร้ายแรง และตามกฎหมาย มีอัตราโทษสูงสุดถึง 10 ปี ส่วนประเด็นที่ศาลยกฟ้องจำเลยที่ 2 นั้น จะยื่นอุทธรณ์เช่นกันในประเด็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย การพิจารณาต่างๆ จะต้องใช้ความรอบคอบความระมัดระวังให้มาก อีกทั้งในการสืบพยาน ก็นำหลักฐาน เช่น คำสั่งต่างๆ มาแสดงให้ศาลเห็นทั้งข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงแล้ว ซึ่งจะขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอีกครั้ง แต่ก็อยู่ที่ดุลพินิจของศาลด้วย
6.ก.ต.ช.มีมติเอกฉันท์เลือก จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ พบเจ้าตัวอู้ฟู่ มีทรัพย์สินนับพันล้าน!
เมื่อวันที่ 14 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ได้นัดประชุม ก.ต.ช. แต่ได้มอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะรองประธานทำหน้าที่เป็นประธาน ก.ต.ช.แทน โดยวาระสำคัญในการประชุมที่ถูกจับตามากที่สุด คือ การคัดเลือกผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) คนที่ 11 ต่อจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้
สำหรับตำรวจที่อยู่ในข่ายได้รับการเสนอชื่อเป็น ผบ.ตร.คนใหม่ มี 5 คน คือ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์, พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ, พล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัลลภ, พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา โดยมี 2 แคนดิเดตสำคัญที่น่าจับตามอง คือ พล.ต.อ.เอก และ พล.ต.อ.จักรทิพย์
หลังประชุม พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะ ก.ต.ช. เผยว่า ที่ประชุม ก.ต.ช.มีมติเอกฉันท์เลือก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่
ทั้งนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ มีอาวุโสน้อยสุดในบรรดาแคนดิเดต ผบ.ตร.ทั้ง 5 คน โดยจะเกษียณอายุราชการในปี 2563 ขณะที่ พล.ต.อ.เอก นั้น ในการคัดเลือก ผบ.ตร.เมื่อปี 2557 เคยเป็นแคนดิเดตชิงตำแหน่งกับ พล.ต.อ.สมยศ แต่ไม่ได้รับการคัดเลือก ทำให้ถูกจับตาว่ามีโอกาสในปีนี้อีก แต่ในที่สุดที่ประชุม ก.ต.ช.ก็มีมติเลือก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ตามที่ พล.ต.อ.สมยศ เสนอ
สำหรับประวัติของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เกิดเมื่อวันที่ 19 ต.ค. พ.ศ.2502 จบการศึกษาจากโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย,โรงเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นที่ 36 (นรต.36) ปริญญาโทสาขาบริหารรัฐกิจ จากประเทศสหรัฐอเมริกา ศึกษาเพิ่มเติมหลักสูตรการสอบสวน (ATF-ILEA) และหลักสูตร FBI รัฐเนวาดา ประเทศสหรัฐอเมริกา รับราชการโดยเริ่มต้นจากตำแหน่งนายเวรผู้บังคับการประจำกรมตำรวจสำนักงานกำลังพล และสารวัตรแผนกสายตรวจรถยนต์และรถจักรยานยนต์ กองกำกับการสายตรวจ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ได้รับฉายาจากบุคคลใกล้ชิดว่า "แป๊ะ 8 กิโล" เนื่องจากเป็นบุคคลรูปร่างเล็ก แต่เมื่อแต่งเครื่องแบบแล้วจะพกพาอาวุธปืนขนาดต่าง ๆ พร้อมแม็กกาซีนบรรจุกระสุนและอุปกรณ์ต่างๆ ติดตัวไว้เสมอ ซึ่งรวมกันทั้งหมดมีน้ำหนักประมาณ 8 กิโลกรัม นอกจากนี้ยังได้รับฉายาจากสื่อมวลชนเมื่อปลายปี พ.ศ. 2553 ว่า "น.1 อีซี่พาส" เนื่องจากติดยศ พลตำรวจโท อย่างรวดเร็ว และเป็นถึงผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
ทั้งนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ช่วงดำรงตำแหน่ง สนช. ปี 2557 ว่า มีทรัพย์สินกว่า 87 ล้านบาท ขณะที่ ดร.บุษบา ชัยจินดา ภรรยา ซึ่งเป็นเจ้าของมหาวิทยาลัยศรีปทุม มีทรัพย์สินกว่า 870 ล้านบาท รวมทรัพย์สินของทั้งคู่กว่า 962 ล้านบาท มีหนี้สินกว่า 6 ล้านบาท และเป็นที่น่าสังเกตว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ แจ้งในส่วนของรายได้ด้วยว่า มีรายได้จาก เงินราชการลับ จำนวน 7.2 แสนบาท เมื่อสื่อมวลชนถามถึงเงินดังกล่าว พล.ต.อ.จักรทิพย์ ตอบว่า เงินราชการลับก็คือเงินราชการลับ ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เป็นเงินของทางตำรวจ ซึ่ง ป.ป.ช. สามารถตรวจสอบได้อยู่แล้ว
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 สิงหาคม 2558