ภาพเทพีแห่งฝรั่งเศสประคองเด็กทารกทั้งสองไว้ในอ้อมกอด แสดงความเอ็นดูและ ห่วงใยในของรักของหวงของเธอมีเด็กญวนจากตังเกี๋ย (ซ้าย) และเด็กขี้แยจากโมร็อกโก (ขวา) ซึ่งล้วนเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสหวงแหนทั้งสิ้น (ภาพจากนิตยสาร LE RUY BLAS,1886)
เทพีแห่งฝรั่งเศสกำลังดุเด็กดื้อจากสยาม (ขวา) และโมร็อกโก (ซ้าย) ท่ามกลางสายตาเป็นกังวลของผู้นำยุโรปทางด้านหลัง (ภาพจาก PUNCH, 23 June 1893)
การตีความใหม่กรณี ร.ศ. ๑๑๒
ยุทธวิธีของฝรั่งเศสในการเข้าครอบครองฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง คือการหาเหตุวิวาทกับสยามเรื่องพื้นที่ทับซ้อนเหนือดินแดนล้านช้าง ซึ่งทั้งไทยและญวนต่างก็อ้างกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าประเทศราชเหนือดินแดนนั้น ทั้งที่ไม่มีหลักฐานมาอ้างกรรมสิทธิ์ได้
ข้างฝ่ายฝรั่งเศสก็มีนโยบายขั้นบันไดที่จะต้องรีบเผด็จศึกโดยเร็ว ก่อนที่สยามจะดึงชาติมหาอำนาจอื่นๆ เข้ามาเป็นมือที่ ๓ ขัดขวางแผนการรวมชาติของฝรั่งเศส
นโยบายขั้นบันไดของฝรั่งเศส ได้แก่
แผนขั้นแรก : เพื่อก่อตั้งสหภาพอินโดจีน
ภายหลังฝรั่งเศสเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไปเป็นระบอบสาธารณรัฐโดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข ในปี ค.ศ. ๑๘๗๒ แล้ว รัฐบาลระบอบใหม่ยิ่งต้องโหมนโยบายจักรวรรดินิยมให้หนักขึ้น ทั้งนี้เพราะต้องพ่ายแพ้สงครามอย่างยับเยินกับเยอรมนี (France-Prussian War 1870-71) ผลของสงครามทำให้ฝรั่งเศสยากจนลง เพราะต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาล และต้องเสียเกียรติภูมิของการเป็นผู้นำยุโรป แล้วยังต้องยกแคว้นอัลซาซและลอร์เรน (Alsace & Lorraine) ให้เยอรมนีอย่างน่าอับอาย
การที่จะเรียกชื่อเสียง เกียรติภูมิ และฐานะกลับคืนมาไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่อาจสร้างขึ้นใหม่ทันทีทันใดในทวีปยุโรปที่ตนเพิ่งแพ้สงครามและสูญสิ้นจนหมดตัวเช่นนี้ แต่อาจจะทำได้ง่ายกว่าโดยแสวงหาอาณานิคมนอกทวีปยุโรปที่อ่อนแอกว่าและมีทางเอาชนะได้ง่ายกว่า ซึ่งหมายถึงการมีเมืองขึ้นให้มากและการสะสมความมั่งคั่งร่ำรวยในต่างแดน และนี่คือเหตุปัจจัยที่ผลักดันให้รัฐบาลสาธารณรัฐฝรั่งเศสที่ ๓ (ค.ศ. ๑๘๗๑-๑๙๔๐) เดินทางออกล่าอาณานิคมอย่างจริงจังและเป็นรูปธรรมมากยิ่งกว่าสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ เสียอีก
รูปทหารพื้นเมืองชาวญวนในกองทัพฝรั่งเศส ถูกเกณฑ์มาใช้งานใน ร.ศ. ๑๑๒
ม.ปาวี (คนที่ ๒ จากซ้าย) และเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (นั่งกลาง) ที่เมืองหลวงพระบาง ม.ปาวีกระซิบบอกว่าไม่ใช่จะรบ ไปทูลในหลวงเถิด
ดังนั้น ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๘๘๑ เป็นต้นมา ฝรั่งเศสก็เริ่มแสวงหาเมืองขึ้นในทวีปแอฟริกาตอนเหนือ ซึ่งตั้งอยู่ใกล้พรมแดนฝรั่งเศสที่สุด และสามารถครอบครองประเทศต่างๆ มาเป็นเมืองขึ้นของตนรวมถึง แอลจีเรีย ตูนิเซีย มอริเตเนีย เซเนกัล กินี มาลี ไอวอรี่โคสต์ เบนิน ไนเจอร์ชาด สาธารณรัฐแอฟริกากลาง คองโก เฟรนช์โซมาลีแลนด์ โตโก แคเมอรูน โมซัมบิก และมาดากัสการ์ ทั้งยังได้ผนวกหมู่เกาะต่างๆ ในมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิก ได้แก่ เฮติ คิวบา กวาเดอลูป มาร์ตินีก เซนต์ลูเซีย เซนต์ดอมินิก นิวแคลิโดเนีย เฟรนช์โปลินีเซีย และควิเบก (ในแคนาดา)
ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ เรื่อยมา กิตติศัพท์ของมณฑลยูนนานทางตอนใต้ของจีนเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวตะวันตกว่าเป็นแหล่งทรัพยากรขนาดใหญ่เป็นพื้นที่การเกษตรขนาดมหึมา มีความอุดมสมบูรณ์เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำโขง เป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุนานาชนิด ทั้งยังเป็นตลาดการค้าขนาดใหญ่ หากพัฒนาให้เป็นเขตอุตสาหกรรมได้ก็จะตอบสนองการเป็นอาณานิคมขนาดใหญ่ที่มีคุณภาพไม่น้อยหน้าอินเดีย พม่า หรือแม้กระทั่งคาบสมุทรอินโดจีน
ฝรั่งเศสเล็งเห็นช่องทางที่จะเจาะเข้าสู่มณฑลยูนนานโดยใช้ลำน้ำโขงเป็นเส้นทางลัดเข้าสู่จีนตอนใต้ทางประตูหลังของจีน วิธีเดียวที่จะทำเช่นนั้นได้ก็คือ ต้องผนวกคาบสมุทรอินโดจีนเป็นฐานปฏิบัติการเสียก่อน และนี่คือเหตุผลหลักที่ฝรั่งเศสหาทางเข้ายึดครองเวียดนาม (ต่อไปจะเรียกสั้นๆว่า ญวน) เป็นอันดับแรก ที่ตั้งของญวนนั้นเหมาะต่อการใช้เป็นฐานที่มั่นทางการทหารและชุมทางเศรษฐกิจ มีเมืองท่าขนาดใหญ่เรียงรายอยู่ตามชายฝั่งอันยาวเหยียดติดกับทะเล และยังเข้าถึงจีนได้ทั้งทางบกและทางทะเล ปัญหามีอยู่ว่าญวนเป็นรัฐบรรณาการของจีนมาก่อน ทำให้ฝรั่งเศสต้องเผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่อย่างจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าจะสร้างจักรวรรดิใหม่บนคาบสมุทรอินโดจีน
แรกเริ่มเดิมทีฝรั่งเศสคาดว่าน่าจะใช้เส้นทางแม่น้ำโขงลัดเข้าจีนทางเมืองลาวล้านช้างได้ จึงส่งนายทหารนักสำรวจชื่อ ฟรานซิส การ์นิเอร์ (Francis Garnier) ล่องเรือย้อนศรจากไซง่อน ผ่านเขมร เข้าสู่ลาว จนถึงมณฑลยูนนานในจีน ในปี ค.ศ. ๑๗๖๖ ใช้เวลาสำรวจทั้งสิ้น ๒ ปี กับอีก ๒๔ วัน เป็นระยะทางรวม ๙,๙๖๐ กิโลเมตร
ผลการสำรวจ พิสูจน์ว่าแม่น้ำโขงไม่เหมาะที่จะเป็นเส้นทางหลักได้ เพราะมีเกาะแก่งมากมายเกินกว่าที่เรือขนาดใหญ่จะแล่นผ่านได้สะดวก ทั้งในช่วงหน้าแล้งก็จะแห่งขอดจนคนสามารถเดินข้ามไปยังอีกฝั่งได้โดยไม่ต้องใช้เรือ เป็นเหตุให้รัฐบาลฝรั่งเศสต้องคิดหาหนทางใหม่เข้าจีนผ่านแม่น้ำแดงทางภาคเหนือของญวน
อนุสาวรีย์ ม.ปาวีที่เวียงจันทน์ ภายหลัง ร.ศ. ๑๑๒ ได้รับการยกย่องจากรัฐบาลฝรั่งเศสว่าเป็นรัฐบุรุษที่น่ายกย่อง
ม.ปาวีตัวจริงดูกันชัดๆ (มีเคราถือหมวก) กับขุนนางชาวสยามสมัย ร.ศ. ๑๑๒
ความพยายามครั้งใหม่สร้างความไม่พอใจให้แก่รัฐบาลจีน ราชวงศ์ชิงถือว่าเป็นรัฐบรรณาการของจีนโดยชอบธรรม จึงส่งกองทัพไปที่ชายแดนเพื่อหยุดยั้งความพยายามของพวกฝรั่งเศส ก่อให้เกิดสงครามตังเกี๋ย (SinoFrench War) ขึ้น ระหว่างปี ค.ศ. ๑๘๘๔-๘๕
สงครามตังเกี๋ยจบลงที่ทั้ง ๒ ฝ่ายเลิกรากันไปเอง โดยมีการลงนามสงบศึกกันในวันที่ ๙ มิถุนายน ๑๘๘๕ ข้อตกลงที่สำคัญที่สุด คือ รัฐบาลจีนยอมรับอำนาจของฝรั่งเศสเหนือญวน จึงทำให้ดูเหมือนว่าฝ่ายฝรั่งเศสจะมีชัยชนะในสงครามนี้
แต่ที่เป็นความพายแพ้อย่างชัดเจนของฝรั่งเศสก็คือ การที่นายกรัฐมนตรีคนดังของฝรั่งเศส ชื่อ นายจูลส์ แฟร์รี่ (Jules Ferry) ผู้เป็นหัวหอกในการขับเคลื่อนนโยบายขยายอาณานิคมต้องหลุดออกจากตำแหน่ง เพราะการโหวตในรัฐสภาไม่เห็นชอบให้เขาทำสงครามกับจีนต่อไปภายหลังความสูญเสียอย่างมากมาย
สนธิสัญญาเทียนสิน ระหว่างจีนกับฝรั่งเศสจากสัญญาสงบศึกสงครามตังเกี๋ย ระบุว่าจีนยอมรับอำนาจของฝรั่งเศสเหนือญวน ยอมรับความพ่ายแพ้ต่อจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส และยอมสวามิภักดิ์เป็นรัฐในอารักขาของฝรั่งเศส รวมถึงดินแดนตังเกี๋ย เว้ตอนกลาง และไซ่ง่อนตอนใต้ (ในเอกสารต่างประเทศตอนเหนือของญวนเรียก Tonkin ตอนกลางเรียก Annam และตอนใต้เรียก Cochinchina)
ในปี ค.ศ. ๑๘๘๗ ฝรั่งเศสก็สามารถเข้าครอบครองคาบสมุทรอินโดจีนทั้งหมด และได้จัดตั้ง สหภาพอินโดจีน ขึ้นอย่างเป็นทางการ ประกอบด้วย ตังเกี๋ย อันนัม โคชินไชน่า และเขมรส่วนนอก จนกระทั่งปี ค.ศ. ๑๘๙๓ (ร.ศ. ๑๑๒) จึงได้ผนวกลาวเพิ่มเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพอินโดจีน โดยได้ตั้งไซ่ง่อนให้เป็นศูนย์กลางของอาณานิคมแห่งใหม่ และแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแห่งอินโดจีนขึ้น เรียกว่า Governor General of Indochina ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๐๒ รัฐบาลฝรั่งเศสก็ได้ย้ายศูนย์กลางการปกครองจากไซ่ง่อนมาตั้งที่เมืองฮานอยแทน
การรวบรวมจักรวรรดิใหม่ในคาบสมุทรอินโดจีนมีความหมายทางกายภาพ เพราะนอกจากจำเป็นต้องมีประสิทธิภาพในการปกครองพื้นที่อันกว้างใหญ่ครอบคลุมถึง ๓ อาณาจักร (คือ ญวน-เขมร-ลาว) แล้ว ยังอำนวยประโยชน์เป็นฐานปฏิบัติการสำหรับเอเชียทั้งทวีป และเพื่อเป็นบันไดเชื่อมต่อไปยังดินแดนรอบข้างที่ยังรกร้างว่างเปล่า โอกาสที่เจ้าผู้ครองรัฐบริวารโดยรอบจะเข้ามาขอสวามิภักดิ์หรืออ่อนน้อมถ่อมตนก็มากขึ้น แล้วยังช่วยให้ภารกิจของรัฐบาลกลางที่ปารีสซึ่งอยู่ห่างไกลลดน้อยลง เมื่อจักรวรรดิใหม่สามารถดูแลตัวเองได้
กรณี ร.ศ. ๑๑๒ เกิดจากการที่สยามขัดขวางการรวมสหภาพอินโดจีนของฝรั่งเศสมิให้เกิดขึ้น โดยอ้างว่าเขมรและลาวเป็นเมืองขึ้นของสยาม ฝรั่งเศสจะล่วงละเมิดมิได้ แต่สหภาพอินโดจีนในนิยามของฝรั่งเศสต้องมีเขมรและลาวรวมอยู่ด้วย จึงจะสมบูรณ์ การแย่งชิงฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงไปเป็นกรรมสิทธิ์ จึงมีความสำคัญต่อการรวมจักรวรรดิใหม่อย่างยิ่ง
แผนขั้นที่ ๒ : ทำลายฐานอำนาจเดิม คือสยาม
การเข้ามาของจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสสู่สยามประเทศสามารถวิเคราะห์ด้วยเหตุผลแวดล้อมราบด้านได้ชัดเจนว่ามิได้เป็นการเดิมพันเข้ามาประชิดเมืองเพื่อสู้รบกันจริงจังดังเช่นการศึกสงครามทั่วไป ด้วยเหตุว่าไม่มีการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการ แต่เป็นการคุกคามแบบกองโจร โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันกองกำลังฝ่ายสยามให้ออกจากพื้นที่เป้าหมาย ซึ่งก็คือฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงที่ฝรั่งเศสอ้างว่าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอินโดจีนมาแต่เดิม
จุดอ่อน ของสยามในมุมมองทางโบราณคดีกับลัทธิจักรวรรดินิยม คือการไม่สามารถหาหลักฐานมาชี้แจงได้ว่าเมืองขึ้นเก่าของสยามบนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงนั้นเคยเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยามจริงหรือไม่ เพราะสยามมีหลักฐานแต่เพียงว่าได้ครอบครองฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเป็นเมืองขึ้นมาได้ประมาณ ๑๓๐ ปีก่อนหน้าเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ เท่านั้นเอง
ด้วยเหตุฉะนี้ฝรั่งเศสจึงตีความว่าฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงก็เคยเป็นเมืองขึ้นเก่าของญวนเช่นกัน และไม่ใช่ของสยามโดยนิตินัย วิธีหนึ่งที่จะตัดทอนอำนาจของสยามออกไปจากอินโดจีนก็คือ หากทำลายหลักฐานอำนาจเก่าลงได้ การรวมสหภาพอินโดจีนก็จะทำให้สะดวกขึ้น
แต่สำหรับชาวสยามในสมัยรัชกาลที่ ๕ แล้วไม่ได้คิดแบบฝรั่งเศสเลย และภาคอีสานก็มิได้แบ่งแยกจากลาวล้านช้างเป็นฝั่งขวาฝั่งซ้าย แต่เป็นแผ่นดินเดียวกัน ทั้งด้านเชื้อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม หัวเมืองทั้งหมดต่างขึ้นอยู่กับรัฐบาลเดียวกันคือรัฐบาลที่กรุงเพทฯ สยามปกครองลาวแบบประเทศราช คือกิจการภายในรัฐบาลสยามไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวด้วย ไม่ว่าจะเป็นการปกครอง การตั้งข้าราชการ การศาล และภาษีอากร หัวเมืองลาวฝั่งซ้ายจึงดูแลปกครองกันเอง และนี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้ฝรั่งเศสเข้ามาแทรกแซงได้ง่าย แต่การแบ่งเป็นลาวฝั่งซ้าย (ล้านช้าง) และฝั่งขวา (ภาคอีสาน) ก็ยังไม่เกิดขึ้นจนกระทั่ง ร.ศ. ๑๑๒ ตัวการที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกก็คือฝรั่งเศส
วิกฤติการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ เป็นเพียงชนวนให้เกิดข้อพิพาทขึ้น เพื่อเป็นข้ออ้างในการครอบครองฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง จุดใหญ่ใจความเพื่อจะได้ทำลายฐานอำนาจเดิมของสยามในพื้นที่ และลดบทบาทของสยามในคาบสมุทรอินโดจีน มิใช่จะเอาชนะในสงครามปกติ เพราะมิได้มีเป้าหมายที่จะยึดครองสยามเป็นเมืองขึ้นโดยตรง
แผนขั้นที่ ๓ : เทียบชั้นกับอังกฤษ
เป้าหมายทางอ้อมของฝรั่งเศส คือได้ประกาศศักดาเทียบรัศมีคู่แข่งตังฉกาจอย่างอังกฤษ ซึ่งแย่งชิงอาณานิคมกันอยู่ทั่วโลก ทั้งในอเมริกาเหนือ แอฟริกา ตะวันออกกลาง และน่านน้ำในมหาสมุทรต่างๆ ต่อไปก็ถึงคราวเอเชีย ซึ่งอุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติอันมหาศาล ใครได้ครอบครองเมืองจีนก่อนก็เหมือนได้ยึดครองเอเชียทั้งทวีป
การกระทำของฝรั่งเศสกระทบกระเทือนผลประโยชน์ของอังกฤษ ไม่เพียงทำให้ความได้เปรียบในบริเวณแม่น้ำแยงซีเกียงตอนบนเกิดการสั่งคลอน อีกทั้งยังเป็นการตัดขาดการติดต่อและคมนาคมทางบกของบริเวณนี้จากอินเดียผ่านพม่าเข้าจีน ซึ่งคุกคามเสถียรภาพของอังกฤษในบุรพทิศ ดังนั้น รัฐบาลอังกฤษจึงเรียกร้องขอเปิดเจรจากับฝรั่งเศส เพื่อต่อรองปัญหาการแย่งชิงดินแดนในตะวันออกไกลและแอฟริกา ซึ่งทั้ง ๒ ประเทศมีอิทธิพลครอบงำอยู่ ทั้ง ๒ ฝ่ายได้บรรลุข้อตกลงแบ่งผลประโยชน์กันที่กรุงลอนดอนในเดือนมกราคม ค.ศ. ๑๘๙๖ (Anglo-French Declaration 1896) ในเบื้องต้นอังกฤษยอมถอยให้ฝรั่งเศสหนึ่งก้าวในทวีปอแฟริกา ส่วนมณฑลยูนนานและเสฉวนของจีนก็ได้ตกลงกันว่าไม่ว่าฝ่ายใดได้อำนาจหรือสิทธิพิเศษจากจีน ทั้ง ๒ ฝ่ายจะต้องแบ่งผลประโยชน์ร่วมกัน
ในกรณี ร.ศ. ๑๑๒ อังกฤษได้ปิดตาข้างเดียวและทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับข้อพิพาทที่เกิดขึ้น มนทางกลับกันดันแนะนำสยามให้คล้อยตามข้อเรียกร้องของฝรั่งเศส เพราะตนเองก็มีนอกมีในอยู่กับฝรั่งเศส ในปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนเกี่ยวกับอาณานิคมในแอฟริกา และกำลังมองหามาตรการอย่างหนึ่งอย่างใดมาถ่วงดุลอำนาจระหว่างตนซึ่งได้ข้อสรุปในที่สุด คือข้อตกลง ค.ศ. ๑๘๙๖ โดยมีข้อกำหนดข้อหนึ่งที่จะตั้งให้สยามเป็นรัฐกันชนในระหว่างเขตอิทธิพลของพวกตน
ปราสาทนครวัดจำลองที่ทั้งไทยและฝรั่งเศสต่างหมายปอง และเป็นสัญลักษณ์เมืองขึ้นเก่าของตน (บน) ในงาน Expo ที่ปารีส และ (ล่าง) ในวัดพระแก้วที่กรุงเทพฯ
วิกฤติการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ เป็นเพียงฉากหนึ่งของมหากาพย์การล่าอาณานิคมระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศสมิได้มีเรื่องบาดหมางกันเป็นส่วนตัวกับสยามเลย เป้าหมายสูงสุดของการเอาชนะสยาม คือทำให้สหภาพอินโดจีนเป็นเอกภาพเท่านั้น
ยังจะเห็นต่อไปว่าสนธิสัญญาสงบศึก ร.ศ. ๑๑๒ ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ลงวันที่ ๓ ตุลาคม ร.ศ. ๑๑๒ มิได้เป็นสัญญาใจระหว่างคู่กรณีในเหตุการณ์นี้เท่านั้น แต่ถัดมาอีก ๒ ปี (ร.ศ.๑๑๔) อังกฤษกับฝรั่งเศสก็ลนลานที่จะทำข้อผูกมัดระหว่างกันอีกฉบับหนึ่ง ยืนยันที่จะเคารพบูรณภาพระหว่างกันเกี่ยวกับดินแดนที่ฝรั่งเศสช่วงชิงไปได้ใน ร.ศ. ๑๑๒ มีใจความว่า
หนังสือปฏิญญาฤาหนังสือสัญญา
ในระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส
ได้ทำไว้ที่กรุงลอนดอน ณ วันที่ ๑๕ มกราคม
รัตนโกสินทรศก ๑๑๔
ด้วยผู้มีชื่อในท้ายหนังสือนี้ คือ มาร์ควิส ออฟ สอลสบุรี เสนาบดีว่าการต่างประเทศของสมเด็จพระนางเจ้าราชินีอังกฤษฝ่ายหนึ่ง กับบารอนเดอคัวร์เซล เอกอรรคราชทูตของรีปับลิกฝรั่งเศส ณ สำนักกรุงลอนดอนอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งได้รับอำนาจจากคอเวอนเมนต์ทั้งสองฝ่ายโดยถูกต้องแล้ว จึงได้ลงชื่อไว้ในคำปฏิญญาดังมีอยู่ต่อไปนี้
ข้อ ๑ คอเวอนเมนต์ของสมเด็จพระนางเจ้าราชินีอังกฤษกับคอเวอนเมนต์รีปับลิกฝรั่งเศสสัญญาต่อกันไว้ว่า เมื่อยังไม่ได้ยินพร้อมกันแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีการอย่างใดๆ ก็ดี ฤาเหตุใดก็ดี ฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวจะไม่ยกกำลังประกอบด้วยเครื่องสาตราวุธล่วงล้ำเข้าไปในดินแดนทั้งหลายเหล่านี้ คือพื้นดินที่น้ำไหลจากแม่น้ำเพชรบุรี แม่น้ำแม่กลอง แม่น้ำท่าจีน และเจ้าพระยา แม่น้ำบางปะกงกับลำน้ำลำคลองทั้งหลาย ที่ติดต่อกับแม่น้ำทั้งปวงนี้ กับทั้งที่ฝั่งทะเลตั้งแต่เมืองกำเนิดนพคุณจนถึงเมืองแกลงแลที่ดินซึ่งน้ำไหลตกลำน้ำบางตพาน กับลำน้ำพะแส ซึ่งเมืองทั้งสองนี้ตั้งอยู่แล้วทั้งที่ดินตามลำน้ำคลองอื่นๆ ซึ่งไหลลงในทุ่งฤาอ่าวตามชายฝั่งทะเลที่กล่าวมานี้ด้วยกับอีกทั้งที่ดินซึ่งตั้งอยู่ข้างเหนือที่น้ำตกแม่น้ำเจ้าพระยาแลตั้งอยู่ในระหว่างพรมแดนฝ่ายอังกฤษกับฝ่ายไทยลำแม่น้ำโขงกับที่ดินฟากตะวันออกซึ่งน้ำตกลำน้ำแม่ปิงนั้นด้วย อีกประการหนึ่งสัญญากันไว้ว่า จะไม่คิดอำนวยแลหาผลประโยชน์วิเศษ ภายในเขตรที่ดินนี้ซึ่งจะเปนอันไม่ได้รับผลเสมอเหมือนกันฤา ซึ่งจะเปนการที่ไม่ให้ฝ่ายอังกฤษและฝรั่งเศสกับคนชาวเมืองของสองประเทศ แลคนที่พึ่งพาอาไศรยในสองประเทศนั้นได้รับผลท่ากันด้วย แต่ข้อสัญญานี้จะไม่ตีความไปตัดทอนลดหย่อนข้อวิเศษทั้งหลาย ซึ่งมีอยู่ตามความในหนังสือสัญญาฝรั่งเศสกับกรุงสยาม ลงวันที่ ๓ ตุลาคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๒ อันว่าด้วยการในแถบพื้นที่ ๒๕ กิโลเมตร ฝั่งตะวันออกแม่น้ำโขง แลว่าด้วยการเดินเรือในลำแม่น้ำนั้นด้วย
บทสนทนาของแม่ทัพฝรั่งเศสกับเจ้ากรุงสยาม เมื่อเจรจา ต่อรองกัน ใน ร.ศ. ๑๑๒ ตามทัศนะของ บ.ก. PUNCH MAGAZINE สมัย ร.ศ. ๑๑๒
ข้อ ๒ ความที่กล่าวไว้ในข้อก่อนนี้ จะเปนที่ขัดขวางต่อการที่ประเทศทั้งสองจะยินยอมกันต่อไปอันเปนการที่ประเทศทั้งสองคิดเห็นว่าจำเปนจะต้องรักษาความเป็นอิสรภาพของกรุงสยามไว้ด้วย แต่ว่าประเทศทั้งสองนี้สัญญากันไว้ว่า จะไม่แยกจากกันไปทำสัญญาที่ยอมให้ประเทศอื่นอีกประเทศหนึ่งทำการ ที่ประเทศทั้งสองนี้ต้องละเว้นเองตามหนังสือสัญญานี้ด้วย
ข้อ ๓ ตั้งแต่ปากลำแม่น้ำฮวก ซึ่งเป็นเขตรแดนไทยกับอังกฤษนั้น ขึ้นไปข้างเหนือจนถึงพรมแดนของกรุงจีนนั้น ทางน้ำของแม่น้ำโขงจะต้องเปนพรมแดน เมืองขึ้นของอังกฤษแลฝรั่งเศสฤาเปนเขตที่อังกฤษแลฝรั่งเศสมีอำนาจต่อกัน ณ ที่นั้น แลเมืองสิงห์นั้นอังกฤษยกให้ฝรั่งเศสแล้ว
ข้อ ๔ ว่าผลประโยชน์ในทางการค้าขาย ในเมืองยูนนานฤาโฮนั้นก็ดี แลในเมืองเสฉวนก็ดี บรรดาที่ได้มาตามสัญญาอังกฤษกับจีน ลงวันที่ ๑ มีนาคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๒ ก็ดี ตามสัญญาฝรั่งเศสกับจีนลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน รัตนโกสินทรศก ๑๑๔ ก็ดี จะต้องเปนที่ให้ได้แก่สองประเทศที่ทำหนังสือสัญญานี้เสมอกัน
ข้อ ๕ ว่าสองประเทศที่ทำสัญญากันอยู่นี้ ยอมตกลงกันว่าจะแต่งข้าหลวงออกไปพร้อมกันเพื่อประโยชน์ที่จะได้ปักปันเขตรแดนในแม่น้ำไนซ์เยอร์แลหัวเมืองขึ้นของประเทศในทวีปอาฟริกานั้น
ข้อ ๖ ว่าสองประเทศได้ยินยอมตกลงกันว่า จะลงมือทำสัญญาใหม่สำหรับการค้าขายในเมืองตูนิสนั้น
(เซ็น) สอลสบุรี (เซ็น) เดอคัวร์เซล
ข้อตกลงใหม่ระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส (ร.ศ. ๑๑๔) เกี่ยวข้องด้วยกับกรณี ร.ศ.๑๑๒ เต็มประตู เป็นสิ่งยืนยันว่าแท้จริงแล้วฝรั่งเศสไม่ได้ทำสงครามจริงจังกับไทยเลย แต่ได้ทำ สงครามจิตวิทยา กับอังกฤษคู่ต่อสู้ตัวจริงของตนมากกว่า
สยามถูกบีบให้สละเมืองขึ้นไม่ได้ให้เสียเอกราช
ก่อนการลงนามในสนธิสัญญาสงบศึก วิกฤติการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ เพียง ๑ เดือน สำนักข่าวจากเมืองผู้ดีที่มักจะออกตัวว่าเป็น ประเทศที่ ๓ ที่ไม่อยากเข้ามาเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทของสยามและฝรั่งเศส ก็นำมาเสนอภาพล้อการเมืองในวารสาร PUNCH ที่ขึ้นชื่อของตนมีภาพ ลูกแกะสยามกับสุนัขป่าฝรั่งเศส ที่ผู้คนทั่วโลกได้เห็นกันอย่างกว้างขวางเป็นต้น
ภาพล้อการเมืองใน PUNCH อาจจะไม่มีน้ำหนักมากมายในลักษณะของข้อเท็จจริง แต่ในเชิงมโนภาพแล้วการ์ตูนของ PUNCH ก็สามารถชี้นำความเชื่อทางการเมือง และมีอิทธิพลอย่างสูงในอังกฤษตลอดสมัยรัชกาที่ ๔ และที่ ๕ ขอไทย
ภาพๆ หนึ่งจาก PUNCH ในปี ร.ศ. ๑๑๒ วาดภาพเจ้าผู้ครองประเทศสยาม (Sovereign) ถูกกดดันให้ลงพระนามในสินธิสัญญากับผู้เจรจา (Negotiator) ของฝ่ายตรงข้าม พร้อมลงบทสนทนาที่พาดพิงถึงกรณี ร.ศ. ๑๑๒ โดยมีเจตนาให้ผู้อ่านรับรู้ถึงความตึงเครียดของสถานการณ์เมื่อสยามถูกบีบคั้นให้สละเมืองขึ้นบนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการ
TURE FRENCH POLITENESS
(ความมีมารยาทที่แท้จริงของฝรั่งเศส)
(บนสนทนาที่ไม่เกินความคาดเดาในสยาม)
สถานที่เกิดเหตุ : วังหลวง ระหว่างการเจรจาของเจ้าผู้ครองนครผู้มัวหมองกับนักเจรจาผู้ร่าเริง
Negotiator : ขอประทานอภัยที่ต้องรบกวนท่านอีกครั้ง แต่มันยังมีข้อแม้ปลีกย่อยที่ต้องตกลงกัน
Sovereign : อะไรอีก ข้อเรียกร้องของทานยังปอกลอกเราไม่พออีกหรือ?
Neg : ยังหรอกท่าน ยังมีอีกก็บรรดาที่ปรึกษาชาวต่างชาติของท่านไงละ
Sov. : อ๋อใช่ แต่ฉันก็คงต้องเชื่อคำแนะนำของพวกเขานะ
Neg. : งั้นเหรอ
แต่ตอนนี้มันจำเป็นต้องส่งพวกเค้ากลับยุโรป แล้วก็เลิกติดต่อกับพวกเขาเสียที
Sov. : แต่นั่นเป็นการตัดสินที่รุนแรงไปหน่อย
Neg. : ท่านคิดยังงั้นรึ? มันก็คงจะดีกว่ากรุงเทพฯ ของท่านถูกถล่มกระมัง
Sov. : ท่านมีอะไรเรียกร้องอีกมั้ย?
Neg. : คงไม่จำเป็นต้องย้ำอีกกระมัง เราขอให้ท่านมอบหน้าที่การงานให้กับคนทุกชาติเท่าเทียมกันนะ
Sov. : ทุกข้อผูกมัดเลยรึ?
Neg. : ให้มันเป็นไปตามครรลองคลองธรรมก็แล้วกัน
Sov. : อยากได้อะไรอีกมั้ย?
Neg. : ไม่ใช่แต่อยาก แต่จำเป็นต้องบังคับใช้ด้วย ท่านต้องให้ป้อมทั้งหลายยอมจำนนและสลายกองทัพรวมทั้งปลดอาวุธพวกเรือรบด้วย
Sov. : คงเป็นไปไม่ได้กระมัง?
Neg. : ได้สิ ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเอาจริงละนะ หากท่านจะรักษาบัลลังก์ไว้และพลเมืองต้องการรักษาชีวิต
Sov. : ท่านอยากชี้แนะอะไรอีก?
Neg. : เราไม่ชี้แนะหรอก แต่เราออกคำสั่งเลย ท่านจะตัดสินใจอะไรไม่ได้ แต่ต้องให้เราอนุมัติ มิฉะนั้นก็จะต้องลำบากกว่านี้นะ
Sov. : นี่มันข่มขู่กันชัดๆ
Neg. : หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ถึงแม้เราจะพูดกับท่านตรงๆ แต่ก็ด้วยความเคารพน่ะ
Sov. : หากท่านไม่คิดจะเหลืออะไรให้เลย ก็เหมือนกับข้าพเจ้าต้องสละบัลลังก์เชียวหรือ?
Neg. : ก็แล้วแต่ท่านจะโปรด เรารับคำสั่งมาอย่างเด็ดขาด ท่านจะฏิบัติตามหรือไม่ก็แล้วแต่ เราบังคับจิตใจท่านไม่ได้ และเราก็ยังเคารพนับถือท่านเฉกเช่นประเทศที่มีเอกราช เรารับคำสั่งมาให้ท่านได้ตรึกตรองอย่างเป็นอิสระ ตราบเท่าที่มันสอดคล้องกับความประสงค์ของเรา!
ประธานาธิบดีฟาลิแยร์แห่งฝรั่งเศส (ซ้าย) และพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ ๗ แห่งอังกฤษ (ขวา) ลงนามปรองดองกันจัดสรรอาณานิคมทั่วโลก ให้ได้เท่าๆ กันตามข้อตกลงชื่อ LEntente Cordiale 1903
หมายเหตุ ; แม้จะเหมือนบทสนทนาของตัวแสดงในบทละครที่หาแก่นสารไม่ได้ก็ตาม แต่ความคิดของคนอังกฤษก็ยังเชื่อว่ารัฐบาลของฝรั่งเศสก็ยังเคารพบูรณภาพและเอกราชของประเทศสยามโดยไม่เปลี่ยนแปลง แรงกดดันทั้งหลายแหล่เป็นการบีบบังคับให้สยามต้องตัดสินใจสละดินแดนบางส่วนเพื่อความเป็นปึกแผ่นของคาบสมุทรอินโดจีนเท่านั้น
กรณี ร.ศ. ๑๑๒ จึงมิใช่บริบทจากสงครามและการต่อสู้ป้องกันตนเองที่ป้อมพระจุลจอมเกล้าอย่างเดียว แต่ยังมีบริบทอื่นๆ อีกที่โยงไปถึงการขัดผลประโยชน์ การแข่งขันระหว่างนักล่าเมืองขึ้น การถ่วงดุลอำนาจและการกำหนดเขตแดนของชาติจักรวรรดินิยมโดยมีสยามเป็นเวทีการต่อรองทางการเมืองเท่านั้น
มองสิเออร์ปาวี ทูตฝรั่งเศส ยังได้เคยบอกเป็นนัยๆ กับเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี แล้วยังแนะนำให้แม่ทัพไทยไปกราบบังคับทูลรัชกาลที่ ๕ อย่างเปิดใจว่า ไม่ใช่จะรบไปทูลในหลวงเถิด อย่าได้กังวลเลย
ก.ค. 15, 2017
http://www.siammanussati.com/?p=2083