ผมเป็นนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกา เคยได้รับทุนคาร์เนกี (Carnegie Fellowship) และมูลนิธิฟุลไบรท์ (Fullbright Foundation) ไปเรียนจนจบได้ปริญญารัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต (Master of Public Administration) จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก นอกจากนั้นยังเรียนจบจากโรงเรียนตำรวจ นครนิวยอร์ก และวิทยาลัยตำรวจแห่งชาติของเอฟบีไอ (FBI National Academy) ด้วย ผมมีเพื่อนเป็นคนอเมริกันที่รักกันสนิทสนมยิ่งกว่าญาติหลายสิบคน มีทั้งเพื่อนที่เป็นคนอเมริกันซึ่งกลายเป็นอาจารย์สอนสมาธิหรือกรรมฐานให้ผม และมีพระภิกษุชาวอเมริกันที่ผมถือเป็นครูบาอาจารย์หลายรูป เช่น ท่านพระอาจารย์เจ้าพระคุณพระราชสุเมธาจารย์ และพระอาจารย์ชยสาโรภิกขุ เป็นต้น
ทางด้านราชการนั้น พอเริ่มรับราชการเป็นตำรวจสันติบาลใน พ.ศ.2499 ผมก็ได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่สำนักงานข่าวกรองกลางของสหรัฐที่รู้จักกันทั่วโลกในชื่อย่อซีไอเอ (CIA คือ Central Intelligence Agency) และได้ไปเรียนจนจบหลักสูตรวิชาข่าวกรองของซีไอเอด้วย
ผมกลับไปเยือนอเมริกาอีกหลายครั้งเพราะความผูกพัน กลับไปทีไรเพื่อนชาวอเมริกันของผมก็ต้อนรับอย่างอบอุ่นทีนั้น เหมือนเป็นญาติสนิท ทุกวันนี้ผมถือว่าผมรักคนอเมริกันและโปรอเมริกา
แต่ที่ผมรักไม่ลงนั้นคือรัฐบาลอเมริกันและเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลอเมริกันในประเทศไทย
ที่รักไม่ลงก็เพราะพฤติการณ์อันน่ารังเกียจของรัฐบาลนั้นและเจ้าหน้าที่เหล่านั้น
ก่อนรัฐประหารในประเทศไทยใน พ.ศ.2557 สหรัฐสนับสนุนรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างออกหน้าออกตา และไม่แยแสกับการปกครองแบบเผด็จการโดยรัฐสภาของรัฐบาลนั้น เจ้าหน้าที่ของสหรัฐไปเยือนหมู่บ้านคนเสื้อแดงและแสดงความชื่นชมอย่างเปิดเผย และในทันทีที่เกิดรัฐประหารในประเทศไทย มีการตั้งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และตั้งรัฐบาลซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี สหรัฐก็แสดงความไม่พอใจและเป็นปฏิปักษ์อย่างออกนอกหน้า นายจอห์น เคอร์รี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ เรียกร้องให้ตั้งรัฐบาลพลเรือนทันที และให้ กลับไปสู่ประชาธิปไตย ทั้งยังคาดคั้นว่า หนทางเบื้องหน้าของประเทศไทยจะต้องมีการเลือกตั้งโดยเร็ว ซึ่งการเลือกตั้งนั้นจะต้องสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชน นายเคอร์รีกล่าวด้วยว่า เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในเมืองไทยนั้นมี ผลกระทบที่เป็นลบ ต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับไทย โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับกองทัพไทย และนายเคอร์รียังขู่ด้วยว่ารัฐบาลสหรัฐกำลัง ทบทวนความช่วยเหลือทางทหาร และด้านอื่นๆ ที่ให้แก่ประเทศไทยด้วย
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคมที่เพิ่งจะผ่านไปนี้เอง รัฐบาลสหรัฐก็ยังแสดงความไร้เดียงสาเกี่ยวกับเมืองไทยอยู่ นายแพทริค เมอร์ฟี อุปทูตรักษาการในตำแหน่งเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับการจับกุมนักศึกษา 14 คนว่า สหรัฐเป็นกังวลกับสถานการณ์ประชาธิปไตยและกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญ ตลอดจนการจำกัดสิทธิเสรีภาพของพลเรือน
ผมเคยนึกว่าสหรัฐอเมริกาเป็นขุมของวิทยาการทุกแขนง และเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐมีคุณวุฒิ ความรู้ ประสบการณ์และความเข้าใจการเมือง สังคม และวัฒนธรรมของประเทศที่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นได้รับแต่งตั้งหรือมอบหมายให้ไปปฏิบัติหน้าที่อยู่ แต่พฤติการณ์และการแสดงออกของเจ้าหน้าที่สหรัฐ ทั้งที่เป็นชั้นผู้ใหญ่ระดับรัฐมนตรี และระดับรองลงมาที่มาปฏิบัติหน้าที่ในเมืองไทย กลับแสดงว่าไม่รู้อะไรจริงเกี่ยวกับเมืองไทยเลย หรือมิฉะนั้นก็ถูกอคติบดบังจนมองไม่เห็น
นายรอน พอล (Ron Paul) อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ซึ่งเคยสมัครรับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ กล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ในที่สุด เงิน อาวุธ และการดำเนินนโยบายแทรกแซงของเรา (สหรัฐ) จะซื้อเพื่อนให้เราได้ไม่นาน และเราจะกลับติดอาวุธให้ศัตรูของเรามากครั้งขึ้น
ขอขยายความว่า เพราะการดำเนินนโยบายของสหรัฐเองนั่นแหละที่ทำให้สหรัฐกลายเป็นมหาศัตรู แทนที่จะเป็นมหามิตรของหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย
วสิษฐ เดชกุญชร
8 กรกฎาคม 2015
http://chaoprayanews.com/blog/wasit/2015/07/08/%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3-%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A8%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%B9/