รณรงค์หญิงไทยให้ 'กล้า-มั่นใจ-คุม' ชีวิตตนเองมุ่งสร้างสังคมปราศจากภาวะท้องไม่พึงประสงค์อย่างยั่งยืน
สภาวิชาการคุมกำเนิดแห่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ร่วมกับกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข วิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และไบเออร์ เฮลธ์แคร์ แผนกเวชภัณฑ์ จัดกิจกรรมรณรงค์วันคุมกำเนิดโลกปี 2554 ในวันที่ 26 กันยายนของทุกปี
โดยในปีนี้มีพันธกิจที่จะสร้างสรรค์สังคมที่ปราศจากการตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์ ภายใต้แนวคิด "เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้สิทธิ เรียนรู้การคุมกำเนิด" ผ่านกิจกรรมเสวนา "สอนหญิงมั่น คุมรักอย่างชาญฉลาด" เพื่อเปิดเผยผลการสำรวจล่าสุดใน 9 ประเทศเอเชียแปซิฟิกเกี่ยวกับ "ความรู้และการเข้าถึงแหล่งข้อมูลด้านการคุมกำเนิด" พร้อมกิจกรรมละครเวที "สงครามดอกรัก...รักนี้คุมได้" เพื่อที่ผู้หญิงยุคใหม่จะสามารถใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องกังวลกับการตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์และแท้งในวัยเรียน
ศ.นพ.สุรศักดิ์ ฐานีพานิชสกุล คณบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในฐานะผู้แทนสภาวิชาการคุมกำเนิดแห่งภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกประจำประเทศไทย (APCOC) เปิดเผยว่า "ปัจจุบันผู้หญิงมีความกล้าคิดกล้าแสดงออก และกล้าที่จะต่อสู้เพื่อความต้องการของตัวเองมากขึ้น ทั้งในด้านการทำงาน และเรื่องชีวิตส่วนตัว โดยเฉพาะเรื่องความรักที่ผู้หญิงไม่ได้รอเพื่อเป็นฝ่ายถูกเลือกอีกต่อไป แต่ก็มีผู้หญิงจำนวนอีกไม่น้อยที่พลาดในเกมความรักทำให้ชีวิตพัง เนื่องจากไม่คุมกำเนิด"
จากผลการสำรวจล่าสุดเกี่ยวกับ "ความรู้และการเข้าถึงแหล่งข้อมูลด้านการคุมกำเนิด" โดยจีเอฟเค (GFK-Growth from Knowledge) และไบเออร์ เฮลธ์แคร์ ฟาร์มา ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างทั้งชายและหญิงอายุระหว่าง 20-35 ปี ในประเทศกลุ่มเอเชียแปซิฟิก 9 ประเทศ ได้แก่ จีน เกาหลีใต้ ไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย อินเดีย ปากีสถาน ไต้หวัน และมาเลเซีย แบ่งเป็นเพศชายประเทศละ 100 คน และเพศหญิงประเทศละ 100 คน ผ่านการตอบแบบสอบถามแบบออนไลน์ ยกเว้นปากีสถานซึ่งตอบแบบสอบถามแบบตัวต่อตัว ในเดือนกรกฎาคม 2554 พบว่า ชาวไทยต้องการมีบุตรคนแรกเมื่ออายุ 31 ปีขึ้นไป และอีกร้อยละ 19 ไม่ต้องการมีบุตรเลย สิ่งที่น่าเป็นห่วงพบว่าหญิงไทยกว่าร้อยละ 52 ไม่เคยพบสูตินรีแพทย์
สิ่งที่น่ากังวลเป็นอย่างมากจากผลสำรวจอีกอย่างหนึ่งพบว่าร้อยละ 77 ของหญิงไทยเคยไม่ป้องกันและคุมกำเนิดเมื่อมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนใหม่ โดยร้อยละ 23 ของหญิงไทยให้เหตุผลว่าตนไม่มีความเสี่ยงในการตั้งครรภ์ และคู่นอนไม่ต้องการใช้อุปกรณ์ป้องกัน อีกร้อยละ 10 ตอบว่าขณะนั้นไม่มีความพร้อมในเรื่องอุปกรณ์ป้องกัน และตนไม่ชอบใช้อุปกรณ์ป้องกัน
จากแบบสอบถามยังพบเรื่องที่น่าประหลาดใจว่า ร้อยละ 49 ของกลุ่มตัวอย่างชาวไทยตอบว่าตนสบายใจ
ที่จะปรึกษาเรื่องการคุมกำเนิดกับ
เพื่อน ซึ่งขัดแย้งกับผลสำรวจที่พบว่ากลุ่มตัวอย่างเดียวกันนี้ร้อยละ 48 คิดว่าเพื่อน คือแหล่งข้อมูลที่ให้ข้อมูลผิดพลาด และไม่ถูกต้องมากที่สุด โดยสาเหตุมาจากความอาย และกลัวพ่อแม่รวมถึงคนใกล้ชิดจะรู้
เมื่อสอบถามถึงวิธีการป้องกันการตั้งครรภ์ที่มีประสิทธิภาพ หญิงไทยร้อยละ 56 เลือกยาเม็ดคุมกำเนิด และร้อยละ 54 เลือกยาคุมกำเนิดฉุกเฉิน ซึ่งนั่นหมายความว่าหญิงไทยในปัจจุบันยังไม่มีความรู้ ความเข้าใจถึงอันตรายของยาคุมกำเนิดฉุกเฉินเพียงพอ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก เนื่องจากยาคุมกำเนิดฉุกเฉินมีผลข้างเคียงคือ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง มีเลือดออกกะปริบกะปรอย หรือมีเลือดออกมากระหว่างมีประจำเดือน และหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้เกิดภาวะระดับฮอร์โมนสูงในร่างกาย ส่งผลให้เกิดความผิดปกติที่รังไข่ เยื่อบุโพรงมดลูก รวมทั้งเพิ่มความเสี่ยงในการตั้งครรภ์นอกมดลูก ซึ่งโดยเฉลี่ยแล้วไม่ควรทานยาคุมฉุกเฉินเกิน 2 ครั้งต่อเดือน
น.พ.กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง ผู้อำนวยการสำนักอนามัยเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า "ในปัจจุบันมีหญิงไทยจำนวนมากที่ต้องเผชิญกับภาวะการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ รวมถึงสถานการณ์ที่บีบบังคับให้ต้องทำแท้ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้กรมอนามัยต้องการรณรงค์ให้ผู้หญิงไทยรู้จักวิธีป้องกันการคุมกำเนิดอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ นอกจากการให้ความรู้ที่ถูกต้องแล้ว การสร้างทัศนคติและค่านิยมที่ถูกต้องเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ และการคุมกำเนิดเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะทำให้ผู้หญิงสามารถควบคุมชีวิตตัวเองให้เป็นไปตามที่วางแผนไว้ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น นอกจากนี้การคุมกำเนิดยังเป็นส่วนสำคัญในการลดอัตราการตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์และอัตราการทำแท้งอีกทางหนึ่งด้วย"
ดังนั้น "วันคุมกำเนิดโลก 54" จึงเป็นกิจกรรมเพื่อรณรงค์การคุมกำเนิดที่สามารถกระตุ้นความสนใจให้คนในสังคมหันมาเห็นถึงความจำเป็นในการคุมกำเนิด แม้ว่าผู้หญิงในปัจจุบันจะมีความกล้า และความมั่นใจในการควบคุมชีวิตของตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านของหน้าที่การงานในอาชีพต่างๆ ก็จะมีผู้หญิงเก่งประดับวงการอยู่เสมอ ผู้หญิงในปัจจุบันมีความกล้ามากขึ้นที่จะใช้ชีวิตตามความปรารถนาของตนเอง แต่ก็มีหลายคนที่พลาดในเรื่องการคุมกำเนิด ทำให้ชีวิตต้องหักเหไปจากเส้นทางชีวิตที่วางแผนไว้ ร่วมเรียนรู้วิถีการต่อสู้เพื่อความรักของลูกผู้หญิงอย่างชาญฉลาดผ่านละครเวที "สงครามดอกรัก...รักนี้คุมได้" โดย 3 ดาราสาวตัวแทนผู้หญิงแกร่งยุคใหม่ เบนซ์-พรชิต ณ สงขลา เมย์-พิชญ์นาฏ สาขากร และจิ๊บ-ปกฉัตร เทียมชัย ที่จะมาเป็นภาพสะท้อนของผู้หญิง 3 สไตล์ที่มีวิธีการต่อสู้เพื่อความรักในรูปแบบต่างๆ กันเพื่อมัดใจชายหนุ่ม ซึ่งได้ บอย-พิษณุ นิ่มสกุล มาร่วมแสดง ในผู้หญิง 3 คนนี้ คนหนึ่งมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน อีกคนเลือกที่จะใช้ยาคุมกำเนิดฉุกเฉินอย่างต่อเนื่อง และอีกคนหนึ่งนั้นเลือกใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นวิธีที่ชาญฉลาดและปลอดภัยที่สุด และแน่นอนว่าทั้ง 3 คนย่อมเผชิญชะตากรรมชีวิตที่ต่างกันไปตามทางที่ตัวเองเลือก บางคนอาจต้องลาจากจากคนที่ตัวเองรัก บางคนต้องเผชิญหน้ากับโรคร้าย และบางคนต้องแลกทั้งหมดด้วยชีวิตของตนเอง
วันคุมกำเนิดโลกนี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อรณรงค์ให้ผู้หญิงมีคุณภาพชีวิตที่ดี และเพื่อผลักดันให้ผู้หญิงตระหนักถึงความสำคัญของการคุมกำเนิด และรู้จักประโยชน์ของยาเม็ดคุมกำเนิดเพิ่มมากขึ้น โดยหน่วยงานที่ร่วมกันจัดงานนั้นต่างพร้อมใจกันเดินหน้าเพื่อเผยแพร่ความรู้และสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีคุมกำเนิดและยาเม็ดคุมกำเนิดที่ถูกต้องให้แก่ผู้หญิงไทย เพื่อให้ผู้หญิงไทยสามารถจัดการและควบคุมชีวิตได้ดั่งใจ และร่วมสร้างสรรค์สังคมที่ปราศจากการตั้งครรภ์อันไม่พึงประสงค์อย่างยั่งยืน
บ้านเมือง 3 ตุลาคม 2554