ผู้เขียน หัวข้อ: จับพิรุธ “หน่วยงานไทย” ในรายงานสรุปวุฒิสภาสหรัฐฯแฉคุกลับ CIA  (อ่าน 1163 ครั้ง)

seeat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 470
    • ดูรายละเอียด
เอเจนซีส์/ASTVผู้จัดการออนไลน์ - - เรื่องที่น่าสนใจประจำสัปดาห์และมีไทยถูกลากเกี่ยวไปด้วยคงหนีไม่พ้น เรื่องร้อนรายงานสรุปจากคณะกรรมาธิการความมั่นคงและข่าวกรองสหรัฐฯที่สะเทือนไปทั่วโลก และแน่นอนที่สุดถึงแม้ในรายงานร่วม 528 หน้า จากทั้งหมด 6,000 หน้า จะไม่มีการเปิดเผยชื่อสถานที่ “Dark Site” หรือคุกลับ CIA ในต่างแดน แต่สื่อทั่วโลก เช่น วอชิงตันโพสต์ ต่างรายงานถึงไทยในฐานะมีสิ่งที่เรียกว่า “Site Green” ที่ล่าสุดรัฐบาลไทยออกมาปฎิเสธอย่างเป็นทางการ ซึ่งบลูมเบิร์กบิสิเนสวีกรายงานว่า การเปิดเผยถึง “คุกลับ CIA” สร้างความสั่นสะเทือนให้กับการเมืองในประเทศต่าวๆ ที่อ้างถึง ไทยเป็นที่แรก และจึงสมควรที่เราในฐานะเจ้าของประเทศ และอาจเป็นเจ้าของสถานที่ “Site Green”นั้นควรรับทราบว่า ในรายงานหนากว่า 500 หน้านั้นมีอะไรซ่อนอยู่บ้าง และถือเป็นคำถามที่น่าสนใจที่ ศักดิ์สิทธิ์ ไสยสมบัติ จาก Asia Correspondent สื่อออนไลน์ ได้ตั้งคำถามว่า ประเทศไทยรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับคุกลับนี้
      
       บลูมเบิร์กบิสซิเนสวีกตีพิพม์วันที่ 11 ธันวาคม รายงานผลกระทบในวงกว้างในแวดวงการเมืองต่างประเทศหลังจากรายงานตีแผ่โครงการสอบปากคำลับของ CIA ที่เกิดขึ้นในสมัยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์จ ดับเบิลยู บูช ให้รับทราบกันทั่วโลก ซึ่งบลูมเบิร์กได้พาดพิงไทยเป็นประเทศแรกว่า ไทยในฐานะเป็น “พันธมิตรอย่างเป็นทางการของสหรัฐฯ” ซึ่งในขณะนั้นอยู่ภายใต้การนำของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตรที่บลูมเบิร์กให้คำนิยามว่า เป็นนายกฯที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ใส่ใจกับ “นิติรัฐ” หรือ Rule of Law” น้อยมาก และเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีในสมัยทำสงครามกับยาเสพติด หรือ “War on drugs” ซึ่งไปละม้ายคล้ายกับคำประกาศของบูชผู้ลูกหลัง 11 กันยา ที่ประกาศทำสงครามต่อต้านก่อการร้าย “War on terror” ซึ่งผู้นำทั้งสองประเทศต่างถูกประนามในนโยายของตน บลูมเบิร์กชี้ว่า ผลจากนโยบาย “War on drugs” เป็นผลทำให้มีคนถึง 2,500 รายต้องเสียชีวิต ซึ่งตัวทักษิณเองได้เคยยอมกับสื่อ แดร์ ชปีเกิล นิตยสารข่าวเยอรมันในขณะยังดำรงตำแหน่งว่า เป็นความผิดของนโยบายจนทำให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และอีกครั้งเมื่อมาถึง “War on terror” ของอดีตประธานาธิบดีบูชในขณะนั้น มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของไทยร่วมกับ CIA สหรัฐฯ ได้นำตัวผู้ต้องสงสัยแกนนำระดับสูงตามนโยบาย “War on terror” รวมไปถึง อาบู ซูไบดา (Abu Zubydah) แกนนำคนสำคัญของกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์มายังเซฟฮาส์ คุกลับในไทย
      
       และแต่ถึงแม้จะมีรายงานออกมาว่า ในเบื้องต้นทักษิณไม่ทราบเรื่อง “คุกลับ รหัส Site Green” จนกระทั่งสถานที่แห่งนี้ได้เริ่มสร้างและเปิดใช้ไปแล้ว แต่บลูมเบิร์กชี้ว่า ในภายหลัง ผู้นำไทยในขณะนั้นได้รับทราบการมีอยูถึงคุกลับ CIA ซึ่งเป็นสถานที่กักขังซูไบดาผู้ต้องสงสัยอัลกออิดะห์รายแรกของหน่วยงานความมั่นคงสหรัฐฯ ที่ถูกใช้วิธีสอบปากคำแบบพิเศษที่เรียกว่า “enhanced interrogation techniques” ซึ่งนับจนถึงวินาทีนี้ CIA ยังยืนยันว่า สามารถช่วยให้สหรัฐฯได้ข้อมูล และปกป้องชีวิตพลเมืองอเมริกัน จากการเปิดปากของนายใหญ่สำนักงาน จอห์น เบรนแนน ซึ่งซูไบดาถูกกระบวนการทรมานด้วยวิธีต่างๆในไทย เหมือนดังเป็นข่าวครึกโครม ไม่ว่าจะเป็นการทำให้เสมือนจมน้ำ หรือขังในกล่องขนาดเท่าร่างกาย
      
       บลูมเบิร์กบิสซิเนสวีกยังกล่าวต่อไปถึงทักษิณว่า หลังจากที่เขาถูกโค่นจากอำนาจในปี 2006 และน้องสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สามารถชนะการเลือกตั้งและกลับขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกครั้งก่อนที่จะโดนยึดอำนาจไปเช่นกันในปีนี้ ไทยที่ยังอยู่ภายใต้กฏอัยการศึก และมีผู้นำรักษาการมาจากผู้นำกองทัพที่ทำรัฐประหาร สื่อไทยที่ยังหวั่นเกรงในการนำเสนอข่าววิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลชั่วคราว แต่ดูเหมือนว่าสื่อไทยนำเสนอข่าวรายงานวุฒิสภาสหรัฐฯอย่างกว้างขวาง

        โดยบลูมเบิร์กชี้ว่า จากแหล่งข้อมูลจากสื่อไทยหลายสำนัก ดูเหมือนว่ารัฐบาลทหารไทยพยายามจะให้ข่าวเปิดเผยคุกลับพุ่งเป้าไปที่ทักษิณคนเดียวเท่านั้น และในขณะเดียวกันต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนไทยให้ลืมเลือนการละเมิดสิทธิเสรีภาพที่รัฐบาลทหารกระทำอยู่
      
       บลูมเบิร์กชี้ว่า ถึงทางรัฐบาลไทยจะพยายามปัดข้อหาให้พ้นตัว แต่ทว่าในทัศนะของบลูมเบิร์กนั้น นายพลทั้งหลายที่กุมอำนาจปกครองของไทยอยู่ในขณะนี้ขอให้พึงระวังในการชี้นิ้ว เพราะเป็นที่แน่ชัดว่ากองทัพไทยเป็นสนิทเนื้อเดียวกับสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ และผู้ที่กุมอำนาจในฐานะฝ่ายบริหารในขณะนี้ ล้วนแล้วแต่ดำรงตำแหน่งระดับสูงในกองทัพไทยในขณะนั้น ซึ่งคำเตือนของบลูมเบิร์กตรงกับความเห็นของ ศักดิ์สิทธิ์ ไสยสมบัติ จาก Asia Correspondent สื่อออนไลน์ ที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในอังกฤษ ได้ตั้งคำถามผ่านงานเขียนหัวข้อ “What does Thailand really know about the CIA’s ‘black site’ prisons?” ในวันศุกร์(12)ว่า ประเทศไทยรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับคุกลับนี้ หรือที่เจาะจงลงไปคือ มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยคนไหนบ้างที่ทราบ หรือเกี่ยวข้องในเรื่องนี้
      
       โดยศักดิ์สิทธิ์ นักข่าวอิสระและบล็อกเกอร์ร่วมกับสยามวอยส์ ได้เปิดประเด็นด้วยแถลงการณ์ปฎิเสธของรัฐบาลไทยอย่างเป็นทางการถึงความเกี่ยวข้อง การรับรู้ และการไม่มีอยู่ของ“Site Green” แต่กระนั้นศักดิ์สิทธิ์ชี้ว่า จากข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ผ่านหน้าระดาษกว่าห้าร้อยหน้า มีบางสิ่งบ่งบอกว่า “ไทยอาจรู้มากกว่าสิ่งที่ได้ยอมรับออกไป”
     
       จากสื่อเดอะเนชัน หนังสือพิมพ์ไทยภาคภาษาอังกฤษตีพิพม์เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม รัฐบาลไทยได้ปฎิเสธการมีอยู่ของคุกลับ CIA ว่า “ไม่เคยมีคุกลับตั้งอยู่ที่นี่ และไม่มีรายงานการทรมานในไทย รวมไปถึงไม่มีหน่วยงานใดของไทยที่จะใช้วิธีนี้” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ กล่าว และเสริมว่า “ ไม่เคยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในการนำตัวนักโทษประเภทนี้ ทางเราไม่เคยร่วมปฎิบัติการผิดกฎหมายกับสหรัฐฯ”
      
       ทั้งนี้ สุวพันธุ์ อดีตหัวหน้าสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติให้สัมภาษณ์ว่า เขาไม่เคยเห็นข้อความใดที่เอ่ยถึงไทยในรายงานคณะกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐฯ “เหตุการณ์ที่ถูกเอ่ยถึงในรายงานฉบับนั้นมันเกิดขึ้นนานหลายปีแล้ว แต่อย่างไรก็ตามผมรับประกันกับพวกคุณได้เลยว่า ไม่มีคุกลับทรมานนักโทษในไทย” สุวพันธุ์กล่าว
      
       นอกจากนี้ในรายงานของเดอะเนชัน รัฐมนตรีมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้ยืนยันคำกล่าวของสุวพันธุ์ถึงการไม่มีคุกลับตั้งอยู่ในไทย “กองทัพไทยไม่เคยทราบถึงการตั้งอยู่ของคุกลับในไทยในขณะที่ผมดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำในกองทัพ ซึ่งในขณะนั้นผมมยืนยันได้ว่า ไม่มีคุกลับในไทยอย่างแน่นอน” และสอดคล้องกับผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลเอก วรพงษ์ สง่าเนตร ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า เขาไม่มีข้อมูลถึงคุกลับในไทยที่ใช้กักขังและทรมานผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย
      
       และทำให้ศักดิ์สิทธิ์ชี้ถึง ข้อผิดพลาดจากแถลงการณ์ของอดีตหัวหน้าสำนักงานข่าวกรองแห่งชาติ ที่อ้างว่า “ไม่มีการอ้างอิงถึงไทยในรายงานวุฒิสภาสหรัฐฯ ซึ่งนักข่าวอิสระไทยอธิบายผ่าน Asia Correspondent ว่า แท้จริงแล้ว มีการระบุถึงไทยในรายงานชิ้นนี้ ซึ่งเริ่มตั้งแต่หน้า 301 ในส่วนการจับกุม ฮัมบาลี ผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายเจไอ ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์ ชาวอินโดนีเซีย และเป็นผู้ต้องสงสัยวางแผนก่อเหตุโจมตีเกาะบาหลีในปี 2002 ถูกจับกุมได้ที่ จ.อยุทธยา โดยจากการชี้ตัวของสายแหล่งข่าว CIA และหน่วยงานไทย ที่ถึงแม้ว่าในปัจจุบันนี้ จะมีการเปิดเผยว่า การจับกุมครั้งนั้น “เกิดขึ้นเพราะโชคช่วยกว่า 70%” ก็ตาม
      
       นอกจากนี้ศักดิ์สิทธิ์ยังชี้ว่า ในช่วงต้นยุค 2000 ในสมัยรัฐบาลทักษิณ มีข่าวลือถึงคุกลับในไทย ซึ่งหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ สื่อสหรัฐฯ เป็นเจ้าแรกที่รายงานเรื่องนี้ในวันที่ 2 ธันวาคม 2005 ว่า “ก่อนกลางปี 2002 CIA มีข้อตกลงลับตั้งคุกลับกับ 2 ชาติ ที่หนึ่งในนั้นคือ “ไทย” และอีกชาติอยู่ในยุโรปตะวันออก แหล่งข่าวความมั่นคงที่ยังอยู่ในตำแหน่งและเกษียณแล้วให้ข้อมูล และเปิดเผยต่อว่า เม็ดเงินร่วม 100 ล้านดอลลาร์ถูกใช้เป็นเงินก้อนแรกสนับสนุนคุกลับในอัฟกานิสถาน และภายหลัง CIA สามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยกลุ่มติดอาวุธตัวสำคัญได้รายแรกในวันที่ 28 มีนาคม 2002 กองกำลังปากีสถานนำตัว อาบู ซูไบดา ผู้บัญชาการฝ่ายปฎิบัติการของอัลกออิดะห์ ไปกักขัง หลังจากนั้น ซูไบดาถูก CIA นำตัวไปขังต่อยังคุกลับแห่งใหม่ใน "ไทย" ซึ่งรวมไปถึงห้องสอบปากคำแบบพิเศษ อ้างจากแหล่งข่าวทั้งประจำการและเกษียณอายุ และนอกจากนี้ในอีก 6 เดือนต่อจากนั้น รอมซี บิน อัล-ชิบฮ์ (Ramzi bin al-Shibh)ที่เชื่อกันว่า เป็นผู้วางแผนการโจมตีสหรัฐฯในวินาศกรรม 11 กันยา ถูกนำตัวบินเข้าไทย และส่งไปยังคุกลับแห่งนี้เช่นกัน”
      
       และศักดิ์สิทธิ์ยังชี้เพิ่มเติมว่า แม้ในรายงานจะกล่าวถึงไทยน้อยมาก แต่ทว่ามีข้อความระบุถึง “คุกลับรหัส Site Green” ที่มีความเชื่อในวงกว้างว่า เป็นการเอ่ยถึง “คุกลับในไทย” ซึ่งมีข่าวหลายกระแสวิเคราะห์ว่า สถานที่ตั้งคุกลับแห่งนี้น่าจะเป็นระหว่าง จ.อุดรธานี และภายในฐานทัพเรือสัตหีบ หรือแม้กระทั่งท่าอากาศยานดอนเมือง
      
       นอกจากนี้ศักดิ์สิทธิ์ยังแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงว่า จากหน้า 30 ของรายงานวุฒิสภาสหรัฐฯ ได้เอ่ยถึงการนำตัวซูไบดาไปยังคุกลับแห่งนี้ในวันที่ 18 มิถุนายน 2002 และขังเดี่ยวเขาเป็นเวลา 47 วันก่อนเริ่มสอบปากคำแบบทรมานพิเศษในวันที่ 4 สิงหาคม 2002 เพื่อหวังจะล้วงความลับสำคัญของอัลกออิดะห์
      
       และถึงแม้รายงานฉบับวุฒิสภาสหรัฐฯที่เต็มไปด้วยการปกปิดข้อมูลสำคัญมากมาย แต่ในตัวรายงานยังระบุว่า “อย่างน้อยมีเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งล่วงรู้ถึงการถูกกักขังของซูไบดาในคุกลับที่ไทย” ซึ่งขัดแย้งกับการออกแถลงการณ์ปฎิเสธในสัปดาห์ที่ผ่านมาของผู้มีอำนาจในไทยอย่างสิ้นเชิง และศักดิ์สิทธิ์ได้อ้างอิงถึงข้อความในรายงานหน้า 24 บอกเล่าถึงการปิด “คุกลับรหัส Site Green” ภายใต้หัวข้อ “Tensions with Host Country Leadership and Media Attention Foreshadow Future Challenges” ที่เกี่ยวกับอาบู ซูไบดา ว่า “ในเดือนเมษายน 2002 เจ้าหน้าที่ CIA ประจำประเทศ X พยายามจัดทำลิสต์รายชื่อเจ้าหน้าที่ประเทศท้องถิ่นที่จำเป็นต้องรู้การถูกกักขังของอาบู ซูไบดา ในเมืองที่ระบุ ประเทศ X ทั้งนี้รายชื่อนี้รวมไปถึงเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 8 คน อ้างอิงถึง “ Various” Personnel และรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ของ Y ที่ไม่ต้องสงสัยว่าจะมีอีกมาก”

        และในรายงานหน้า 24 นี้ยังระบุเพิ่มเติมว่า “ก่อนวันที่ X เมษายน 2002 สื่อได้เริ่มระแคะระคายว่า อาบู ซูไบดาถูกขังอยู่ในประเทศ X เป็นผลทำให้ CIA ต้องยับยั้งการนำเสนอข่าวของสื่อโดยอ้างถึงเหตุผลทางความมั่นคง และรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ CIA ประจำประเทศ X แสดงความกังวลว่า หากสื่อเปิดเผยเรื่องนี้จะไม่เป็นผลดีต่อการเจรจาของหน่วยงาน และความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี และคาดว่าจะทำให้ความหวังที่จะขอให้ The X ของประเทศ X ยังคงอนุญาตให้ซูไบดายังอยู่ต่อไปได้นั้นอาจริบหรี่ลง หรือโอกาสที่จะให้ ชายผู้นี้ อนุญาตให้ผู้ต้องสงสัยคนอื่นที่คล้ายกับซูไบดาเข้ามาในประเทศได้ในอนาคต” และในเดือนพฤศจิกายน 2002 หลังจาก CIA ทราบว่า สื่อสหรัฐฯส่วนใหญ่ล้วนรับรู้แล้วว่าซูไบดาถูกขังในประเทศ X เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ CIA รวมไปถึงอดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ดิก เชนี ได้ออกโรงขอไม่ให้สื่อสหรัฐฯตีพิมพ์ข่าวนี้ แต่ถึงแม้สื่อสหรัฐฯจะยอมทำตามคำขอ ไม่เปิดเผยชื่อประเทศที่ซูไบดาถูกกักขัง แต่ในที่สุดสหรัฐฯตัดสินใจปิดคุกลับรหัส Site Green”
      
       ทั้งหมดนี้ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ตั้งคำถามว่า “เจ้าหน้าที่ซึ่งรู้เห็นการมีอยู่ของอาบู ซูไบดา นั้นเป็นใครบ้าง” ซึ่งนักข่าวอิสระผู้นี้ชี้ว่าต้องมีอย่างน้อย 8 คน (และเป็นไปได้ว่าอาจจะมากกว่านี้)ที่รับรู้ และในช่วงท้าย ศักดิ์สิทธิ์สรุปคล้ายกับบลูมเบิร์กบิสซิเนสวีกที่ว่า การออกมาปฎิเสธของฝ่ายรัฐบาลไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ต้องการรักษาหน้าเท่านั้น แต่รวมไปถึงเรื่องร้ายทางด้านกฎหมายทั้งในและต่างประเทศรวมถึงด้านการทูต แต่เป็นเพราะเมื่อมองย้อนกลับไปคนเหล่านั้นต่างมีอำนาจในฝ่ายความมั่นคงทั้งนั้น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    13 ธันวาคม 2557
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13 ธันวาคม 2014, 23:38:05 โดย seeat »

seeat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 470
    • ดูรายละเอียด
“ภราดร” สัมภาษณ์รอยเตอร์ ยันไทยไม่เคยอนุญาต CIA ตั้งคุกลับ

รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - สื่อต่างประเทศอ้างคำสัมภาษณ์ของ พล.ท.ภราดร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ยืนยันในวันพฤหัสบดี (11 ธ.ค.) ไทยไม่เคยอนุญาตให้สหรัฐฯใช้แผ่นดินสยามกักขัง หรือทรมานผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย ขัดแย้งกับรายงานข่าวต่างๆ ที่ระบุว่า สำนักงานข่าวกรองกลางอเมริกา (ซีไอเอ) มีคุกลับอยู่ในประเทศไทย
       
       รายงานของวุฒิสภาสหรัฐฯ ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร (9 ธ.ค.) เนื้อหากล่าวถึงพฤติการณ์ของซีไอเอ ในการทรมานผู้ถูกควบคุมตัวภายหลังวินาศกรรม 9/11 โดยมีการสอบปากคำด้วยความโหดร้ายทารุณยิ่งกว่าที่เคยเปิดเผยออกมา ทั้งนี้โครงการของซีไอเอนี้มีการดำเนินการอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก เป็นต้นว่า ไทย อัฟกานิสถาน โปแลนด์ และโรมาเนีย ซึ่งมันอาจก่อผลทางกฎหมายต่อรัฐบาลชาติต่างๆ และเหล่าเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้
       
       “เราไม่เคยอนุญาตให้สหรัฐฯ ใช้พื้นที่ของเรากักขังหรือทรมานผู้ต้องสงสัย และไม่เคยได้รับการร้องขอใดๆ ด้วย” พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่เวลานี้ถูกโยกมานั่งเก้าอี้ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกกับรอยเตอร์
       
       ในรายงานของวุฒิสภาสหรัฐฯ ไม่ได้ระบุชื่อว่าประเทศไหนที่ซีไอเอใช้เป็นฐานทรมานผู้ต้องสงสัย ในนั้นรวมถึงนักโทษบางคนถูกรบกวนไม่ให้นอนเป็นเวลานานถึง 180 ชั่วโมง และตลอดระยะเวลานั้นถูกสวมกุญแจมือและชูมือเหนือศีรษะ รายงานยังระบุถึงวิธี “วอเตอร์บอร์ดดิ้ง” ซึ่งมีการมัดตัวปิดตาและเทน้ำใส่ผ้าที่ปิดใบหน้า ซึ่งทำให้ผู้ถูกทรมานมีความรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำ ตลอดจนมีการล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งรวมถึงการให้อาหารหรือน้ำทางรูทวารโดยไม่มีความจำเป็นด้านการแพทย์แต่อย่างใด และวิธีการต่างๆ เหล่านี้ทำให้นักโทษคนหนึ่งเสียชีวิตเนื่องจากอุณหภูมิร่างกายลดต่ำเกินไปขณะที่ยังถูกพันธนาการ และบางคนแขนขาหัก
       
       รายงานของคณะกรรมาธิการยังกล่าวถึงคุกใต้ดินที่นักโทษถูกขังเดี่ยวในสภาพถูกใส่โซ่ตรวนและห้องขังมืดสนิท มีเสียงดังอึกทึก และต้องขับถ่ายในถัง หรือการบังคับให้นักโทษอยู่ในสภาพเปลือยกายตลอดเวลาและมือถูกสวมกุญแจชูขึ้นเหนือศีรษะ
       
       อย่างไรก็ตาม รัฐบาลกรุงเทพฯ ย้ำถึงคำปฏิเสธว่าซีไอเอไม่มีคุกลับในไทย แม้สื่อมวลชนระหว่างประเทศหลายแห่งรายงานมานานว่าสำนักงานข่าวกรองกลางอเมริกาใช้ไทยเป็นฐานทรมานผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย “เรายืนยันว่าไม่มีคุกลับ” นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักข่าวกรองแห่งชาติ และอดีตผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติกล่าว
       
       ในรายงานของวุฒิสภาสหรัฐฯ ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับบทบาทของเจ้าหน้าที่ไทยในการจับกุมตัว “ฮัมบาลี” หัวหน้าผู้ก่อการร้ายของกลุ่มเจมาอาห์ อิสลามิยะห์ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาในเดือนสิงหาคม 2003 โดยที่รายงานนำเสนอเรื่องนี้เพื่อเป็นตัวอย่างสำหรับ “การอภิปราย” ว่า มีความจำเป็นหรือไม่ที่จะต้องทำการสอบสวนอย่างทารุณกับผู้ก่อการรายอีกคนหนึ่ง เพื่อให้ได้ข้อมูลว่าฮัมบาลีกำลังอาศัยอยู่ที่ไหน
       
       ทั้งนี้ ในรายงานที่เผยแพร่คราวนี้ มีการเอ่ยถึงเซฟเฮาส์แห่งหนึ่งของซีไอเอในไทย ว่า เป็นสถานที่แห่งแรกซึ่งซีไอเอนำเอาวิธีทรมานแบบ “วอเตอร์บอร์ดดิ้ง” มาใช้กับนักโทษ 2 คนที่เป็นสมาชิกระดับสูงของอัลกออิดะห์ คนหนึ่งคือ อบู ซูบายดะห์ ที่เป็นผู้ประสานงานการติดต่อกับภายนอกและการสื่อสารกับต่างประเทศของเครือข่ายดังกล่าว
       
       บางกอกโพสต์รายงานเมื่อวันพุธ (10 ธ.ค.) ได้ทราบมาเมื่อเร็วๆ นี้ ว่า ในรายงานฉบับที่ไม่มีการตัดทอนของวุฒิสภาสหรัฐฯ นั้น มีการกล่าวอ้างว่า ซีไอเอเลือกประเทศไทยเป็นสถานที่ตั้งเซฟเฮาส์ของตน เนื่องจากสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างหน่วยงานของสหรัฐฯแห่งนี้กับพวกเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของไทย โดยที่นายกรัฐมนตรีทักษิณในเวลานั้น ไม่ได้รับการรายงานใดๆ จนกระทั่งหลังจากมีการนำเซฟเฮาส์ดังกล่าวมาใช้ในการปฏิบัติการจริงๆ แล้ว
       
       บางกอกโพสต์บอกอีกว่า ตามรายงานฉบับไม่ตัดตอนนั้น กล่าวไว้ว่าทั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในตอนนั้น คือ จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และรองประธานาธิบดีในขณะนั้น คือ ดิก เชนีย์ ต่างทราบว่าเซฟเฮาส์ดังกล่าวนี้ตั้งอยู่ในไทย แต่ในฉบับตัดทอนที่นำออกเผยแพร่ไม่ได้ให้ข้อมูลใดๆ ในเรื่องความเกี่ยวข้องของรัฐบาลไทย ฝ่ายข่าวกรองของไทย หรือของฝ่ายทหารไทยเลย
       
       รายงานของบางกอกโพสต์ชี้ว่า ตอนที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น เป็นช่วงที่ไทยกำลังให้ความช่วยเหลือสหรัฐฯ อย่างมุ่งมั่น รวมทั้งการส่งทหารไทยไปเข้าร่วมกับสหรัฐฯทั้งในอัฟกานิสถานและในอิรัก
       
       หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของไทยฉบับนี้อ้างคำพูดของแหล่งข่าวสหรัฐฯรายหนึ่งที่คุ้นเคยกับเนื้อหาของรายงานฉบับไม่ถูกเซนเซอร์ของวุฒิสภาอเมริกัน ซึ่งกล่าวว่า “ไทยเป็นฝ่ายเสนอที่จะให้ความช่วยเหลือซีไอเอ” และเมื่อจำนวนผู้ต้องขังในกำมือของสหรัฐฯเพิ่มมากขึ้น สหรัฐฯ จึงได้ไปจัดสถานที่ขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในโปแลนด์ ซึ่งได้ถูกนำมาใช้แทนเซฟเฮาส์แห่งนั้นในไทย และการทรมานนักโทษบนดินแดนไทยได้สิ้นสุดลง เมื่อสถานกักขังชั่วคราวแห่งนั้นถูกปิดลงในเดือนธันวาคม 2002 หรือเดือนมกราคม 2003


ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 ธันวาคม 2557