พงศาวดารขอมสยามไทย (ฉบับไม่คลั่งชาติ)1) ทฤษฎีพระเจ้าอู่ทองมาจากเมืองอู่ทองใช้ไม่ได้แล้วเพราะมีหลักฐานว่าเมืองนี้ ร้างมาก่อนหน้านั้นสองร้อยปี อีกทั้งคนสามแสนจะไปเกณฑ์มาจากไหนเพราะในแดนขวานทองก็มีแต่เมืองเล็กๆ ระดับหมื่น
2) พระเจ้าอู่ทองนำชาวสยาม (ขอม) สามแสนคนหนีตายมาจากการกบฏของทาสที่นครวัดมาพึ่งญาติพี่น้องท้องเดียวกันที่ ลพบุรี มาสร้าง “กรุงศรีอยุธยา” (ใช้เวลา 14 ปี) จากนั้นสถาปนาขึ้นเป็น “พระรามาธิบดีที่ 1” ใน ค.ศ. 1350 เป็น “เทวราชา” ตามประเพณีขอมนครวัด ส่วนกษัตริย์เขมรที่นครวัดกลับยกเลิกระบบ “เทวราชา” มันสวนทางกันเช่นนี้แล (ก็เป็นทาสเขามาก่อนจะเป็นเทพไปได้อย่างไร) ที่คำราชาศัพท์เราเป็นภาษาขอมเสียมาก (เช่น เสวย เขนย) ไม่ใช่อิทธิพลขอมตามที่เชื่อกัน แต่มันเป็น “ขอมแท้ทั้งดุ้น” ต่างหาก
3) กษัตริย์เทวราชาสาย “วรมัน” ที่ครองนครวัดมา 500 ปี สูญหายไปเมื่อ ค.ศ. 1336 (14 ปีก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยา) กษัตริย์องค์ต่อมามีนามว่า ตระซ็อกประแอม (แตงหวาน)
4) พงศาวดารเขมรฉบับแรกสุดเขียนโดยกษัตริย์ “นักองเอง” กล่าวว่า ต้นตระกูลเขมรคือตระซ็อกประแอมนี่แหละ ซึ่งถ้าเขมรมีเชื้อขอมวรมันมีหรือที่นักองเองจะไม่ภูมิใจจนสาวไปถึง (จะว่าไม่รู้ก็ไม่ได้เพราะมีจารึกหินบอกไว้หมด) แต่พงศาวดารเขมรฉบับหลังๆ ถูกฝรั่งเศสเสี้ยมให้เป็นลูกหลาน “วรมัน” เพื่อหวังฮุบนครวัดไปเป็นอาณานิคมในที่สุด
5) ตระซ็อกฯ นี้เป็นหัวหน้าทาสเชื้อสาย “แขกจาม” ที่ขอมจับมาเป็นแรงงานสร้างปราสาท จนมีจำนวนมากกว่าพวกนายทาสเสียอีก นายมี 4 แสน ทาสมี 6 แสน (ขอมกับจามรบกันหนักและนานสามร้อยปี...โจวตากวน พ่อค้าจีนก็บันทึกไว้ว่านครวัดเต็มไปด้วยทาส) เมื่อพวกนายทาสอ่อนแอลง ทาสก็ยึดเมืองและฆ่านายทาส (พวกขอมสยาม) ตายราบแล้วเปลี่ยนชื่อเมืองเป็น “เสียมเรียบ” (แปลว่าพวกสยามตายเรียบ)
6) แม้ในวันนี้เขมรยังนับเลขได้แค่ ๕ พอถึงเลข ๖ เขมรจะนับเป็น ๕๑ เจ็ดเป็น ๕๒ มันตีแสกหน้าบอกเลยว่าเขมรไม่ใช่ขอม เพราะขอมใช้ระบบเลข ๑-๑๐ เหมือนสยามอยุธยาทั้งแท่ง
7) พระเจ้าอู่ทองยกทัพไปล้างแค้นพวกเขมรโดยรบชนะกันเด็ดขาดที่เมืองหนึ่ง จึงเปลี่ยนชื่อเมืองนั้นเป็น “อู่ทองมีชัย” จนกลายเป็นเมืองหลวงของพวกเขมรนานกว่าสองร้อยปี วันนี้นิยมเรียกให้เพี้ยนกันว่า อุดง หรือ อุดรมีชัย เพื่อกลบเกลื่อนหลักฐาน แต่นักวิชาการฝรั่งส่วนใหญ่เชื่อว่าชื่อนี้มาแต่นามของพระเจ้าอู่ทองแห่ง สยาม
อยุธยามีคนพูดไทยปนคนพูดขอมอยู่แล้ว ภายหลังคนพูดไทยอพยพเข้ามามากจนกลืนภาษาขอมหมด ยกเว้นราชาศัพท์ (ในช่วงนั้นสุโขทัยก็ไม่มีราชาศัพท์ ยังจารึกว่า พ่อกูขุนศรี แม่กูนางเสือง อยู่เลย)
9) ต้นกำเนิดคนเขมรตรงกับจามยังกะแกะ คือมาจาก “นางนาค” นามว่า “โสมา” ที่สมสู่กับฤาษีตนหนึ่ง แสดงว่าเขมรคือพวกแขกจามที่ถูกขอมจับมาเป็นทาส แล้วพกนิทานปรัมปราต้นกำเนิดดังกล่าวนี้ติดตัวมาด้วย ...ประวัติศาสตร์มักเขียนตามแต่ที่ผู้ชนะจะสั่ง แต่นิทานนั้นบิดเบือนได้ยาก แม้รูปลักษณ์ของชาวเขมรวันนี้ก็ยังมีร่องรอยของ “แขกจาม” ให้เห็น
10) ชัยวรมัน ๒ กษัตริย์ขอมองค์แรกที่ว่ามาจาก “ชวา” นั้น นักวิชาการฝรั่งบางคนก็ว่ามาจาก ชามา (หรือจามนั่นเอง) แต่กระผม (ขยม) ว่ามาจาก ลวา, ลพา, ลพ (บุรี)
11) ไม่มีจารึกว่าพระฯ สุริยวรมัน 1 (ซึ่งเป็นพุทธ) มาจากไหน น่าเป็นลพบุรีส่งกำลังมายกให้เป็นกษัตริย์พุทธ ไม่เช่นนั้นจู่ๆ จะเอาทหารจากไหนมา “ยึดอำนาจ” ให้เป็นกษัตริย์พุทธในท่ามกลางสังคมฮินดู
12) ส่วนชัยวรมัน 6 นั้นมีจารึกแน่ชัดว่ามาจากพิมาย มีพ่อชื่อ สวายามภูวา (ต้นกำเนิดของคำว่า สยาม?) นักวิชาการฝรั่งเชื่อว่า ชย. 6 มาจากการยึดอำนาจ (โดยการช่วยเหลือของพิมาย?) เป็นผู้สร้างปราสาทหินพิมาย รวมทั้งสร้างทางด่วนเชื่อมพิมายกับนครวัด
13) สุริยวรมัน 2 (ผู้เริ่มสร้างปราสาทนครวัด) ก็มีจารึกว่าไปจากลพบุรี ทรงรบและจับเอาจามมาเป็นทาสเพื่อสร้างปราสาทมากมาย แต่กลับกลายเป็นหอกข้างแคร่ที่ฆ่าขอมสยามเสียสิ้นในที่สุด
14) ชัยวรมัน 7 ก็มาจากที่อื่น (นักวิชาการฝรั่งเชื่อว่ามาโดยการยึดอำนาจ) เป็นผู้เปลี่ยนนครวัดมาเป็นพุทธอย่างถาวร แสดงว่าต้องมีเมืองพุทธมาช่วยยึดอำนาจ (พิมาย?) เป็นผู้สร้างปราสาทนครวัดต่อจนเสร็จสมบูรณ์ และสร้างนครธม ทรงบำรุงทางด่วนสายพิมาย-นครวัดที่ ชย. 6 สร้างไว้ให้สมบูรณ์ จึงเป็นหลักฐานว่ามาจากพิมาย
15) ในอดีต...เมื่อเมืองใดไร้กษัตริย์ปกครอง (ฆ่ากันตายหมด) ปชช.จะไปขอหน่อเนื้อจากเมืองอื่นที่เป็นสายเลือดมาสืบต่อ ดังเช่นลำพูนขอพระนางจามเทวีจากลพบุรี ดังนั้น สย.๑-๒ และ ชย.๖-๗ ที่ว่ามาจากลพบุรีและพิมายนั้นก็ไม่แปลกเพราะเป็นพี่น้องกัน
16) ภาพกองทัพ “สยำกุก” ที่แกะสลักไว้ที่กำแพงนครวัด (ในสมัย ชย.7) ที่ยังเป็นปริศนานั้นคงคือกองทหารจากพิมาย เป็นพวกสวายาม หรือ สยำ เชื้อเถาเหล่ากอแห่งบิดาของ ชย.6
17) ขอมไม่ได้หายสูญไปไหน แต่หลอมรวมเลือดเนื้อมาเป็นเชื้อเหล่าเผ่าไทยสยามเรานี่แหละ แต่เศษฝรั่งได้ยกเขมรให้เป็นขอมเพื่อประโยชน์แห่งการล่าอาณานิคมของพวกเขา
ทวิช จิตรสมบูรณ์ 26 ธันวาคม 2553
..............................................................
หลักฐานที่เสริมว่าคนสยามสร้างนครวัด (อย่าว่าแต่พระวิหาร)
ในบทความก่อน ผมได้เสนอทฤษฎีใหม่ว่าพระเจ้าอู่ทองนำคน “สยาม”อพยพหนีตายมาจากนครวัดเพื่อมาสร้างกรุงศรีอยุธยา คนสยามนี่แหละที่เป็นผู้สร้างนครวัดและนครธม ส่วนเขมรเป็นพวกข้าทาสแรงงานในการก่อสร้าง โดยผมได้แสดงหลักฐานและเหตุผลประกอบตามข้อมูลด้านประวัติศาสตร์และด้าน วัฒนธรรมประเพณี (ไม่ได้โมเมแบบที่บางคนกล่าวหาผมอย่างไม่เป็นธรรม)
คราวนี้ขอเสนอหลักฐานโดยอ้อม จากบันทึกของโจวต้ากวน ทูตการค้าชาวจีนที่เข้าไปอยู่ในนครวัดเมื่อปี ค.ศ. 1295 (40 ปีก่อนที่หัวหน้าทาสชื่อตระซอกประแอม (แตงหวาน) จะนำกองกำลังทาสถล่มกษัตริย์วรมันหมดสิ้นสกุลแล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็น กษัตริย์องค์ต่อไป ซึ่งพงศาวดารเขมรฉบับแรกที่ยังไม่มีอิทธิพลฝรั่งเศสก็ยอมรับว่าเขาผู้นี้ แหละคือต้นตระกูลเขมร)
บันทึกของโจว นี้ถือกันในวงวิชาการว่าสำคัญที่สุด เพราะเป็นบันทึกชิ้นเดียวในโลกที่มีอยู่ที่บันทึกเรื่องราวในนครวัดอย่าง ละเอียดพอควร
โจวได้บันทึกเรื่องการทอผ้าว่า ชาวพื้นเมืองนครวัดไม่รู้จักการทอผ้าไหม รู้จักแต่การทอผ้าฝ้าย ซึ่งวิธีการทอผ้าก็หยาบมากกล่าวคือ เอามือดึงเส้นด้ายออกมาจากปุยฝ้าย แล้วก็เอามาทอเป็นผืนโดยไม่ใช้กี่ แต่ใช้เส้นด้ายพันรอบเอวไว้ ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งผูกไว้กับขอบหน้าต่าง แล้วใช้ท่อนไม้ไผ่ดันกระแทกเส้นด้ายพุ่งในการทอผ้า (น่าสังเกตว่าเป็นวิธีที่คนไทยกะเหรี่ยงแถวแม่ฮ่องสอนก็ยังใช้อยู่จนถึง วันนี้) อีกประการคือ ชาวพื้นเมืองไม่รู้จักใช้เข็มและด้ายพวกเขาจึงเย็บผ้าและชุนผ้าไม่เป็น
โจวบันทึกต่อไปว่า...ในระยะหลัง มีพวกสยามเข้ามาอยู่มาก พวกนี้รู้จักการทอผ้าไหมแบบใช้กี่ พวกเขานำต้นหม่อนและตัวไหมมาจากเมืองสยาม นอกจากนี้พวกสยามยังรู้จักใช้เข็มและด้ายในการเย็บและชุนผ้าอีกด้วย
หลักฐานข้างต้นนี้สนับสนุนทฤษฎีของผมที่ว่ามีคนสยามเข้าไปอยู่ในนคร วัดมาก โดยผมเชื่อว่าเป็นคนชั้นสูงที่เป็นเครือญาติของกษัตริย์ และเป็นสมาชิกครอบครัวของทหารสยามที่เข้ามาค้ำบัลลังก์กษัตริย์ชัยวรมันที่ ๖ ต่อมาจนถึงที่ ๗ (ผู้สร้างนครธมและสร้างต่อนครวัดจนเสร็จ) ซึ่งทั้งสองเป็นกษัตริย์ที่มีเชื้อสายมาจาก “พิมาย”
ยิ่งทอผ้าไหมก็ยิ่งใช่เลย เพราะพิมายมีชื่อกระฉ่อนในการเลี้ยงไหม ทอผ้าไหมอยู่แล้ว และที่ชาวพิมายถูกเรียกว่า สยาม ก็เพราะมันเพี้ยนมาจากคำว่า “สวายาม” ซึ่งเป็นชื่อพระบิดาของ ชย. ๖ (ซึ่งเป็นคนพิมาย) นั่นเอง
การที่กษัตริย์ชนชั้นสูง และทหารเป็นอีกเผ่าหนึ่งแล้วพลเมืองโดยทั่วไปเป็นอีกเผ่าหนึ่งนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าบริหารดีๆ ก็ทำได้ เช่น ราชวงศ์หยวน และราชวงศ์คิงของจีน ซึ่งเป็นพวกมองโกล และแมนจูนั่นอย่างไร เป็นชนส่วนน้อยแต่กลับปกครองคนส่วนใหญ่ได้หลายร้อยปี
น่าคิดต่อไปว่า คนพื้นเมืองนั้นแค่ทอผ้าเย็บผ้ายังทำไม่เป็น แล้วจะไปสร้างนครวัดนครธมได้อย่างไร ก็มาเข้าทฤษฎีผมที่ว่า คนสยามต่างหากเล่าที่เป็นคนออกแบบ และคุมการสร้างทั้งหมด โดยนายช่างพวกนี้มาจากพิมายและลพบุรีเป็นส่วนใหญ่ (เริ่มสร้างในสมัยพระสุริยวรมัน ๒ ..ชาวลพบุรี แล้วมาเสร็จเอาในสมัยพระชัยวรมัน ๗..ชาวพิมาย)
ส่วนแรงงานในการสร้างนั้นมาจากพวกทาสเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งทาสพวกนี้น่าจะเป็นพวกจามผสมกับพวกคนป่าที่ถูกจับมาเป็นเชลยจากการทำ สงคราม ซึ่งพวกทาสบางส่วนนั้นเมื่อเวลาผ่านไปก็พัฒนาขึ้นมาเป็น “คนพื้นเมือง” และเป็นนายทาสในที่สุด ดังนั้นคนพวกนี้จึงไม่มีความรู้เรื่องการทอผ้าด้วยกี่ทอผ้าซึ่งเป็น เทคโนโลยีขั้นสูง
โจวระบุด้วยว่า ครอบครัวชาวนครวัดส่วนใหญ่มีทาสเป็นร้อยหรือมากกว่านั้น บางครอบครัวมี 10-20 ทาส ยกเว้นครอบครัวที่จนมากที่สุดเท่านั้นจึงจะไม่มีทาสเลย จากการประเมินของนักวิชาการฝรั่ง นครวัดช่วงนั้นมีพลเมืองประมาณ 1 ล้านคน ดังนั้นจึงประเมินได้ไม่เกินความจริงไปเลยว่านครวัดช่วงนั้นน่าจะเป็นทาส เสีย 6 แสน คนชั้นสูง ทหาร และครอบครัว และคนพื้นเมืองที่เป็นนายทาสเสีย 4 แสน
พอถึง ค.ศ. 1336 เมื่อตระซอกประแอมนำพวกทาสล้มบัลลังก์วรมัน ก็อาจฆ่าคนสยาม และพวกนายทาสไปเสีย 1 แสน ในการนี้ทาสทั้งหลายได้ประโยชน์สองต่อคือยึดอำนาจรัฐและปลดแอกจากการเป็นทาส ไปพร้อมกัน
3 แสนที่เหลือก็หนีตายอพยพไปก่อตั้งกรุงศรีอยุธยา นำโดยพระเจ้าอู่ทองนั่นแล โดยนำเอาระบบกษัตริย์เทวราชาติดตัวไปที่อยุธยาด้วย อีกทั้งกษัตริย์เป็นคนขอม ก็ต้องตรัสด้วยภาษาขอม ซึ่งกลายมาเป็นราชาศัพท์ของเราจนถึงทุกวันนี้
ชย. ๗ ทรงสร้างนครธม ที่ฝรั่งแปลตามศัพท์เขมรว่า นครใหญ่ แต่ผมว่านี่คือ นครธรรม ต่างหาก เป็นภาษาสยาม ที่แปลงมาจากบาลี (ธรรม = ธมฺ ) มันต้องใช่แน่นอนเพราะ ชย. ๗ ทรงธัมมะธัมโมมาก อีกทั้งชื่อปราสาทต่างๆ ในนครธมก็เป็นภาษาสยามเสียมากเลย เช่น ปราสาทนาคพัน (เขมร = เนียคเพียน) (พญานาคพันตัวไปมา) ปราสาทตาพรหม ปราสาทพระขันท์ ปราสาทตาแก้ว สระสรง พระรูป ที่ชื่อเป็นสำเนียงสยามหมดก็เพราะ ชย. ๗ เป็นชาวสยามจากพิมายนั่นเอง
ทวิช จิตรสมบูรณ์ 16 มกราคม 2554
...................................................................
คนสยามสร้างนครวัด…หลักฐานด้านภาษาและสีผิวพ.ศ. ๒๕๕๔ โลกวันนี้เชื่อตามการวิเคราะห์ของนักวิชาการฝรั่งว่า สยามคือผู้ร้ายที่บุกไปย่ำยีนครวัดจนล่มสลาย จึงสงสารเขมรตัวเล็กที่ถูกรังแกโดยสยามตัวใหญ่ผู้โหดเหี้ยมตลอดมา...คะแนน สงสารนี้มีส่วนช่วยให้ศาลโลกตัดสินยกปราสาทพระวิหารให้เขมร
ผมได้เสนอทฤษฎีใหม่ (ในบทความ ผจก.ออนไลน์ สองฉบับก่อน) ว่าเขมรต่างหากเล่าที่ปล้นเอานครวัดไปจากคนสยามอย่างโหดเหี้ยมด้วยการฆ่าชาว เสียมเสียจน “เสียมเรียบ” ซึ่งผมได้เรียงต่อเศษชิ้นเหตุการณ์และบริบทใหญ่น้อยที่แตกกระจายอยู่ในกาล เวลาและสถานที่ ขึ้นเป็นรูปร่างที่ชัดพอควร ผมหวังว่าจะมีการเสริม หรือแย้งอย่างสร้างสรรค์ให้มากที่สุด เพื่อเปิด (หรือปิดแล้วแต่กรณี) หน้าประวัติศาสตร์ใหม่อันสำคัญยิ่งนี้
ในบทความนี้ ผมขอเสนอหลักฐานเพิ่มเติมอีกสองท่อนที่พบในบันทึกของทูตการค้าจีน “โจวตากวน” (ฉบับแปลตรงจากจีนเป็นอังกฤษ) คือ 1) บรรดาข้าราชการและนักปราชญ์ที่นครวัดใช้ ภาษาเป็นอีกภาษาหนึ่งที่ต่างจากชาวบ้านทั่วไป 2) ชาวบ้านทั่วไปผิวดำมาก..แต่คนในบ้านขุนนางหลายคนผิวขาวดังหยก
เป็นการเสริมหลักฐานหลากหลายอื่นที่ผมได้นำเสนอไว้แล้วว่า..เผ่า พันธุ์ประชาชนทั่วไปที่นครวัดต่างจากชนชั้นปกครองที่เป็น “สวายาม” “สยาม” “เสียม” (หรือขอมนั่นเอง) ส่วน “เขมร” นั้น เป็นเผ่าพันธุ์ของคนพื้นเมืองที่ส่วนใหญ่เป็นพวกข้าทาส (ตามบันทึกโจวฯ) ที่มีภาษาพูดและการนับเลขเป็นอีกระบบ การทอผ้าก็คนละระดับ อีกทั้งเข็มและด้ายเย็บผ้านั้นชาวบ้านก็ไม่รู้จักใช้
เรื่องชนชั้นปกครองพูดกันคนละภาษากับชาวบ้านนี้ไม่ใช่ของแปลก เช่น คนชั้นปกครองอังกฤษสมัยเริ่มยุคกลางก็พูดภาษาฝรั่งเศส ตอนหลังโกรธกันก็เลยหันมาพูดภาษาคนพื้นเมือง (ภาษาอังกฤษ)
จารึกภาษาขอมโบราณบนแผ่นศิลาที่นักวิชาการไทยเรียกกันแบบ “เชื่องๆ” ตามฝรั่งว่า ภาษาเขมร นั้น แท้จริงแล้วเป็น ภาษาสันสกฤตที่จารึกด้วยตัวอักษรขอม ที่มีใช้แพร่หลายแถบเมืองอู่ทอง ศรีเทพ (เพชรบูรณ์) ศรีมโหสถ(ปราจีนบุรี) ลพบุรี เมืองเสมา (นครราชสีมา) และพิมาย ก่อนหน้าการจารึกที่นครวัดนับร้อยปี
นั่นแสดงว่า ภาษาขอมแพร่จากลพบุรีและพิมายไปสู่นครวัด ..หาใช่เป็นตรงกันข้ามตามที่นักวิชาการประวัติศาสตร์ไทยถูกทำให้เชื่อตามบงการของฝรั่งไม่
สำหรับจารึกที่นครปฐมมีมาก่อนยุคเริ่มนครวัดนานนับสามร้อยปี ส่วนใหญ่เป็นภาษาบาลี และสันกฤต อักษรที่ใช้ส่วนใหญ่คือ “ปัลลวะ” (อินเดียใต้) ส่วนคำว่า “วรมัน” (ที่ใช้ต่อท้ายพระนามกษัตริย์นครวัด) ก็มีใช้ที่ศรีเทพ และอู่ทอง ก่อนใช้ที่นครวัดนับร้อยปีเสียอีกด้วย
โจวฯ บันทึกว่าชาวบ้านทั่วไปในพระนครวัดนับเลขหกเป็นห้าหนึ่ง เจ็ดเป็นห้าสอง เก้าเป็นห้าสี่ ซึ่งต่างจากเลขขอมโดยสิ้นเชิง ที่ใช้ระบบ หก เจ็ด แปด เก้า สิบ ซึ่งเหมือนกับระบบเลขสยามทุกประการ อีกทั้งตัวเลขก็เหมือนกันทุกประการอีกด้วย (ชาวเขมรวันนี้ก็ยังนับเลขเหมือนดังที่โจวฯ บันทึกไว้ในวันโน้นทุกประการ)
การนับเลขที่ต่างกัน ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่สุดว่า เขมรไม่ใช่ขอมผู้สร้างนครวัด ..อีกหลักฐานหนึ่งคือพงศาวดารเขมรฉบับแรก (ที่ยังไร้อิทธิพลฝรั่งเศสเสี้ยมสอน) ได้ระบุว่า ต้นตระกูลเขมรคือทาสชื่อ “แตงหวาน”
กรณีคนในบ้านขุนนางหลายคนมีผิวขาวดังหยก ก็ไปเสริมว่าคงเป็นคนสยาม เพราะคนสยามนั้นมีทุกสีผิวตั้งแต่คล้ำ นวล จนถึงขาว เนื่องมาจากการผสมยีนส์ของคนหลายเผ่านานมาหลายพันปี ส่วนคนพื้นเมืองเขมรนั้น โจวฯ ว่าผิวดำมากเหมือนกันหมด แสดงว่าเป็นคนละเผ่ากับชนชั้นปกครอง (ไทยเรายังมีภาษิตเหน็บแนมว่าห้ามคบ “เขมรขาว”)
ในที่สุดทาส ภายใต้การนำของ “แตงหวาน” (ตรอซ็อกปะเอม..ต้นตระกูลเขมร) ก็ไล่ฆ่าสยามวรมันเรียบในปี ค.ศ. 1336 ล้มล้างระบบเทวราชา (กษัตริย์เป็นสมมติเทพ) เปลี่ยนชื่อเมืองพระนครเป็น “เสียมเรียบ” (สยามเรียบ)
พวกเสียมที่เหลือตายก็หนีมาสร้างเมืองใหม่ที่กรุงศรีอยุธยา (สร้างเสร็จเมื่อ ค.ศ. 1350) นำระบบเทวราชาติดตัวมาด้วย รวมทั้งภาษาพูดชนชั้นปกครอง ที่กลายมาเป็นราชาศัพท์ของสยามในที่สุด ดังเห็นได้ว่าราชาศัพท์เป็นการผสมของภาษาขอมโบราณกับสันสกฤตนั่นเอง ส่วนเขมรก็ลอกเอาอักษรขอมไปใช้ แต่ภาษานั้นเป็นภาษาเขมร การนับเลขเป็นเครื่องยืนยัน
ไม่เช่นนั้นพระเจ้าอู่ทองจะเอาคนสามแสนมาสร้างกรุงศรีฯ ได้จากไหน เพราะเมืองอื่นโดยรอบต่างมีพลเมืองระดับต่ำแสน รวมถึงทั้งเมืองอู่ทองที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นเมืองร้างมาสามร้อยปีก่อนหน้านั้น
ภาษาไทยที่อยุธยาแพร่เข้ามาพร้อมกับการอพยพของคนพูดไทยเพื่อพึ่ง บารมีของพระเจ้าอู่ทอง ดังในวรรณกรรมยุคต้นอยุธยา ที่ใช้ภาษาขอมปนสันสกฤต ไทย และบาลี เช่น โองการแช่งน้ำ และลิลิตยวนพ่าย ภาษาขอมมีบทบาทจนแม้ถึงสมัยปลายอยุธยา ดังที่เจ้าฟ้ากุ้งทรงสร้างแบบเรียนมูลภาษาไทยและขอมคู่กัน
กาลเวลาได้กร่อนกลืนภาษาขอมโบราณแห่งศรีอยุธยาจนปลิวละลาย หายไปในกระแสหลักของภาษาไทยเสียเกือบหมดสิ้น เว้นแต่ราชาศัพท์ของเทวราชาวรมันแห่งนครวัดนั่นแลฯ
ทวิช จิตรสมบูรณ์ 30 มกราคม 2554
................................................................................
พระเจ้าอู่ทองมาจากนครวัดในเขมร (หลักฐานเพิ่มเติมครั้งที่ ๓)
เพื่อนแจ้งให้ทราบว่าที่ “สยามมิวเซียม” มีทฤษฎีที่มาของพระเจ้าอู่ทองนำเสนอไว้หลากหลาย หนึ่งในทฤษฎีนั้นระบุว่า พระเจ้าอู่ทอง “เป็นกษัตริย์มาจากเขมร” อ้าว...แบบนี้ผมไม่หัวเดียวกระเทียมลีบอีกต่อไปแล้วสิ ในบทความนี้ผมจะนำเสนอหลักฐานเสริมทฤษฎีนี้เพิ่มเติม
Charles Higham นักโบราณคดีที่โดดเด่น ในหนังสือ “Civilization of Angkor” ได้ยกอ้างบันทึกของนักสำรวจชาวโปรตุเกสที่ได้ศึกษานครวัดในปี ค.ศ. 1601 (ซึ่งขณะนั้นเป็นเมืองร้าง เต็มไปด้วยป่าปกคลุม) สรุปสาระสำคัญได้ว่า 1) คนพื้นเมือง (ซึ่งคงยังมีหลงเหลืออยู่บ้างรอบๆ นครวัด) ให้การว่านครวัดนี้สร้างโดย “คนต่างชาติ” 2) นักสำรวจโปรตุเกสมีความเห็นว่า กษัตริย์ผู้สร้างสยาม (ศรีอยุธยา) ไปจากนครวัด
หนังสือชินกาลมาลีปกรณ์ ซึ่งถือเป็นพงศาวดารสำคัญของล้านนาบันทึกไว้ว่า “...ครั้งหนึ่ง เมืองชัยนาทเกิดทุพภิกภัย พระเจ้ารามาธิบดีกษัตริย์อโยชชปุระเสด็จฯ มาจากแคว้นกัมโพช ทรงยึดเมืองชัยนาทนั้นได้....”
พระเจ้ารามาธิบดี ก็คือพระเจ้าอู่ทอง นักวิชาการประวัติศาสตร์ไทยส่วนใหญ่ตีความกันว่า กัมโพช เป็นชื่ออีกชื่อหนึ่งของ ลพบุรี แต่ผมขอแย้งว่าไม่ใช่ โดยผมเห็นว่ากัมโพช หมายถึงอาณาจักรกัมพูชาโบราณ (ซึ่งไม่ใช่กัมพูชาวันนี้หรอกนะ)
ลพบุรี..มีตัวตนเป็นที่รู้จักไปทั่วสารทิศว่า ลวปุระ (และละโว้ด้วย) มานาน 500 ปี..จู่ๆ จะไปใช้ชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า “กัมโพช” ซึ่งเป็นชื่อที่นครวัดก็ได้ใช้มาจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไปนานกว่าสามร้อยปี อีกแล้วด้วย จู่ๆ เมืองสองเมืองที่ยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งคู่จะไปใช้ชื่อเหมือนกัน เช่น ลอนดอน จะไปใช้ชื่อว่า ปารีส อีกชื่อหนึ่งด้วย..มันจะเป็นไปได้หรือ อีกทั้งชินกาลฯ นั้นเวลาเอ่ยถึงลพบุรีและอยุธยาจะเรียกว่า “เมือง” ลวปุระ และเมืองอโยชชปุระ แต่พอเอ่ยถึงกัมโพชเรียกว่า “แคว้น” กัมโพช ซึ่งคำว่า “แคว้น” ในสมัยโน้นหมายถึง “ประเทศ” ในสมัยนี้
การที่ชินกาลฯ ใช้ภาษาเช่นนี้ เป็นเพราะเกิดจากความเข้าใจของกษัตริย์ล้านนาว่า...พระเจ้าอู่ทองเป็นกษัตริย์กัมพูชาที่ย้ายเมืองหลวงจากนครวัด มาอยู่ที่อโยชชปุระ ดังนั้นพระเจ้าอู่ทองคือ “ผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพช” ดังเดิม
นับเป็นพระปรีชาทางการทูตของพระเจ้าอู่ทองที่ทำให้ล้านนายอมรับว่า พระองค์ยังคงเป็นผู้เป็นใหญ่แห่งแคว้นกัมโพช แม้นว่าความจริงแล้วถูก ทาสแตงหวาน (ตระซ็อกประแอม) ไล่ฆ่าเสียจนเสียมเรียบ จนต้องกระเจิงหนีมาสร้างกรุงศรีอยุธยา
แม้พระเจ้าบุเรงนองแห่งพม่าก็เรียกสยามในสมัยโน้นว่า กัมโพชา หลักฐานคือชื่อพระราชวังที่หงสาวดีที่เรียกชื่อว่า “กัมโพชาธานี” ซึ่งมีบันทึกว่าสร้างด้วยแรงงานเชลยศึก ผมเลยต่อกระเบื้องแตกว่าคงตั้งชื่อเอาไว้เย้ยหยันกรุงโยเดีย (อยุธยา) แห่งแคว้นกัมโพชาที่ช่วยส่งเชลยไปสร้างวังให้ฟรีๆ
การออกเสียงนับเลขของชาวเขมรตั้งแต่สมัย ๘๐๐ ปีก่อนจนถึงวันนี้ใช้ระบบฐานห้ามาตลอด เรื่องนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่สุดว่าเขมรไม่ใช่ขอม ซึ่งผมได้อรรถาธิบายไว้ในบทความก่อนๆ แล้ว
ระบบการเขียนเลขขอมโบราณนั้นเป็นฐานสิบ แต่จะออกเสียงหนึ่งถึงสิบว่าอย่างไรคงต้องไปศึกษากันต่อ แต่น่าเชื่อได้ว่าสำเนียงออกเสียงนับเลขคงคล้ายๆ มอญนี่แหละ เพราะอักษรขอมโบราณนั้นไม่อาจเรียกว่าคล้ายแต่ต้องบอกว่าเหมือนอักษรมอญ โบราณทีเดียวแหละ ซึ่งในวันนี้ภาษามอญออกเสียงนับเลขเป็นระบบฐานสิบ เหมือนกับสยามโบราณ
บทก่อน ตอนที่ ๓ มีคนทักผมไว้ท้ายบทความว่าแปลภาษาอังกฤษเรื่องเข็มด้าย (ในตอนที่ ๒) แบบลำเอียง..ภาษาอังกฤษที่แปลบันทึกโจวตากวนจากภาษาจีนโดยตรง (A RECORD OF CAMBODIA โดย Peter Harris) คือ:- None of the locals produced silk. Nor do the women know how to stitch and darn with a needle and thread. ผมแปลว่า “ชาวบ้านไม่รู้จักใช้เข็มในการเย็บและชุนผ้า” ผมไม่เห็นว่าลำเอียงตรงไหน ซึ่งทำให้ผมต่อกระเบื้องแตกไปแล้วว่า ชาวเขมรทอผ้า เย็บผ้าก็ยังไม่เป็น (นับเลขก็ได้แค่ ๕ อีกต่างหาก) แล้วจะไปมีความรู้สูงในการสร้างปราสาทหินได้อย่างไร
ผมได้เสนอทฤษฎีใหม่ที่ต่างจากทฤษฎีเก่าอย่างสิ้นเชิง ซึ่งทฤษฎีเก่านั้นมันมีรากมาจาก จอร์จ เซเดส์ ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นนักวิชาการแห่งเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส ที่กำลังจะฮุบเอาดินแดนเขมรไปจากสยาม เขาก็สร้างนิยายว่าเขมรเป็นเชื้อสายวรมัน ทั้งที่พงศาวดารเขมรฉบับแรกระบุด้วยความภาคภูมิใจว่าบรรพบุรุษเขาคือนายแตงหวาน ที่ฆ่าวรมันตายเรียบ (เสียมเรียบ) ต่างหาก (ซึ่งเซเดส์ น่าจะรู้เต็มอก แต่ทำเป็นมองไม่เห็น)
ส่วน “สยาม” นั้นตอนแรกฝรั่งว่ามาจากเขาอัลไต ต่อมาเซเดส์ สร้างทฤษฎีใหม่ว่าไม่ได้อยู่ตรงนี้มาแต่แรก แต่หนีกุบไลข่านลงมาจาก “น่านเจ้า” ทั้งที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุนอะไรเลย นอกจากบริบทหลวมๆ แต่เราก็น้อมรับทฤษฎีฝรั่งกันทั้งเมือง
ทฤษฎีใหม่ที่เสนอไว้นี้มีหลักฐาน เหตุผล บริบทสนับสนุนหนาแน่น แต่คงยากที่จะก้าวขึ้นเป็นทฤษฎีหลักของคนไทยได้ยกเว้นถ้ามีฝรั่งเห็นด้วยสัก สองคน
ทวิช จิตรสมบูรณ์ 13 กุมภาพันธ์ 2554
...........................................................................