กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ตรวจวิเคราะห์หาปริมาณตัวยาสำคัญในยาเซฟไทรอโซน สำหรับฉีด (Ceftriaxone for injection) ในประเทศไทย ซึ่งเป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ ใช้รักษาการติดเชื้อชนิดต่างๆ ในร่างกาย เพื่อเฝ้าระวังคุณภาพ และให้ประชาชนเกิดความมั่นใจยาที่ได้รับจาก โรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศ
นายแพทย์สถาพร วงษ์เจริญ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินโครงการสร้างหลักประกันคุณภาพและมาตรฐานบริการด้านยา โดยมุ่งเน้นการตรวจสอบคุณภาพยาที่ใช้ในโรงพยาบาลของรัฐ โดยในปี พ.ศ.2547 ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 (นครราชสีมา) ได้ร่วมมือกับ สำนักยาและวัตถุ เสพติด กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด โดยได้รับตัวอย่างจากโรงพยาบาลรัฐทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และได้ทำการตรวจวิเคราะห์ยาเซฟไทรอโซน สำหรับฉีด ในหัวข้อการตรวจเอกลักษณ์ การตรวจหาปริมาณตัวยาสำคัญ ความเป็นกรด-เบส (pH) และปริมาณสารก่อไข้ จำนวน 61 ตัวอย่าง จากผู้ผลิต 10 ราย จาก 16 ทะเบียนยา จำนวน 58 รุ่นผลิต พบว่า มียาที่เข้ามาตรฐาน จำนวน 57 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 93.44 และผิดมาตรฐาน จำนวน 4 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 6.56 ซึ่งหัวข้อที่ผิดมาตรฐาน ได้แก่ ปริมาณตัวยาสำคัญ
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวต่ออีกว่า ในปี พ.ศ.2553 ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่ 5 (นครราชสีมา) จึงได้ทำการตรวจวิเคราะห์ยาฉีดเซฟไทรอโซนซ้ำอีกครั้ง โดยได้ตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างยา จำนวน 31 ตัวอย่าง จากผู้ผลิต 10 ราย จาก 11 ทะเบียนยา จำนวน 26 รุ่น ผลิตตามวิธีและมาตรฐานที่ระบุในตำรายาแห่งสหรัฐอเมริกา (USP 31) ผลการตรวจวิเคราะห์พบว่า เข้ามาตรฐานทุกตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 100 ของจำนวนตัวอย่างทั้งหมด ทั้งนี้ จากผลการตรวจวิเคราะห์ในปี 2553 แสดงว่าผู้ผลิตส่วนใหญ่มีการควบคุมคุณภาพการผลิตได้ดี อย่างไรก็ตาม กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ยังคงดำเนินการสุ่มตรวจวิเคราะห์ยาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อเฝ้าระวังคุณภาพและทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจยาที่ได้รับจากโรงพยาบาลของรัฐทั่วประเทศ
นายศิริพงษ์ ณ น่าน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 (นครราชสีมา) กล่าวเพิ่มเติมว่า ยาเซฟไทรอโซน สำหรับฉีด (Ceftriaxone for injection) เป็นยาปฏิชีวนะกลุ่มเซฟาโลสปอริน (Cephalosporins) ใช้มากในโรงพยาบาล เพื่อรักษาการติดเชื้อชนิดต่างๆ ในร่างกายอย่างกว้างขวาง เช่น ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนกลาง หูชั้นกลางอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โรคติดเชื้อที่ผิวหนัง โรคติดเชื้อที่กระดูกและข้อ โรคติดเชื้อในช่องท้องและทางเดินปัสสาวะ การอักเสบในอุ้งเชิงกราน หนองใน โรคติดเชื้อในกระแสเลือด และโรคติดเชื้อในสมอง และยังใช้ในการป้องกันการติดเชื้อก่อนการผ่าตัด เป็นต้น โดยมีผลข้างเคียง เช่น การเกิดผื่นบริเวณผิวหนัง เกิดอาการท้องเสีย เกิดภาวะเม็ดเลือดขาวบางชนิดและเกล็ดเลือดผิดปกติ นอกจากนี้ อาจทำให้การทำงานของตับและไตผิดปกติอีกด้วย
บ้านเมือง 27 มิถุนายน 2554