กรณีศาลฎีกาพิพากษาให้โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังย่านสุขุมวิทกับแพทย์ของโรงพยาบาลอีก 3 คน ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินสูงถึง 8.3 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ให้กัณบุรินทร์ เสรีโยธิน กับพวกอีก 7 คน ซึ่งร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง จากการทำให้ภรรยาและบุตรในครรภ์ต้องเสียชีวิตระหว่างการทำคลอด ทำให้มีความเห็นกันใน 2 ด้าน
ด้านหนึ่งเห็นว่า การที่ศาลวินิจฉัยว่า โรงพยาบาลรวมถึงแพทย์พยาบาลที่มีส่วนร่วมทำคลอดผู้ตาย ได้กระทำละเมิดและพิพากษาให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวนแปดล้านบาทนั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้องและเหมาะสมแล้ว
อีกด้านหนึ่งอาจทำให้เห็นว่า การพึ่งพากระบวนการยุติธรรมที่เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของพลเมืองไทยนั้น ยังคงเป็นกระบวนการที่ใช้เวลานาน อย่างเช่นกรณีนี้ หากนับระยะเวลาตั้งแต่เริ่มฟ้องคดีในศาลชั้นต้นจนถึงวันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแล้ว รวมเป็นเวลาถึง 16 ปี
อันที่จริงปัญหาความเนิ่นนานในกระบวนการยุติธรรม เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องพูดถึงกันมานาน มีผู้เสนอทางแก้ปัญหาและปรับเปลี่ยนกระบวนพิจารณาในศาลยุติธรรมให้มีความรวดเร็วมากขึ้นในปัจจุบัน แต่ยังมีปัจจัยสำคัญอื่นที่ทำให้ปัญหายังคงดำรงอยู่ ซึ่งต้องใช้เวลาแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยด้านปริมาณคดีในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาที่นับวัน มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการที่ผู้พิพากษาศาลฎีกาบางส่วนต้องไปทำหน้าที่พิจารณาตัดสินคดีพิเศษอื่นเช่น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และที่สำคัญปัจจัยด้านกำลังคนที่เข้ามาเป็นผู้พิพากษาตัดสินคดีที่ไม่สามารถดำเนินการคัดเลือกให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ต้องการได้ เพราะในอีกด้านหนึ่ง ศาลยุติธรรมก็จำเป็นต้องรักษามาตรฐานในการคัดเลือกบุคคลเพื่อเข้ามาทำหน้าที่ผู้พิพากษาด้วย
นอกจากปัจจัยด้านปริมาณคดีและกำลังคนแล้ว ความยากลำบากของผู้เสียหายจากการรับบริการทางสาธารณสุขที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นมาจากความจงใจหรือประมาทเลินเล่อของโรงพยาบาลหรือแพทย์ผู้ให้การรักษา ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้เสียหายหรือญาติไม่ได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสมควร โดยเฉพาะการหาพยานผู้ชำนาญการที่เกี่ยวข้องกับการรักษา ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือแพทย์ มาเบิกความ โดยทั่วไปยังทำได้ยาก เนื่องจากความคิดของแพทย์ส่วนใหญ่ที่ไม่ต้องการเบิกความให้เป็นผลร้ายต่อแพทย์ด้วยกัน แต่ในปัจจุบันก็เริ่มมีแพทย์บางส่วนที่มีจิตใจเป็นธรรม ยินดีจะเบิกความตามหลักการรักษาที่ถูกต้อง แม้การเบิกความนั้นจะเป็นผลร้ายต่อแพทย์ที่ถูกฟ้องคดี ดังเช่นคดีดังกล่าวข้างต้น
ข้อจำกัดของกระบวนการยุติธรรมดังกล่าว ทำให้เกิดความคิดที่จะสร้างหลักประกันแก่ ผู้ที่ต้องได้รับความเสียหายจากการรับบริการทางสาธารณสุข อีกทั้งเพื่อให้ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแพทย์กับคนไข้หรือผู้รับการรักษายังคงดำรงอยู่ รัฐจะเป็นผู้เข้ามาให้ความคุ้มครองแก่ผู้เสียหายจากการรับบริการทางสาธารณสุข โดยไม่ต้องพิสูจน์ความผิด ด้วยการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้ผู้เสียหายที่เป็นผู้รับบริการที่ใช้บัตรทอง ซึ่งหลักการดังกล่าวปรากฏในมาตรา 41 ของพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545
ข้อดีของหลักการดังกล่าวคือ การให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นสามารถทำได้ในเวลาอันรวดเร็วกว่าการดำเนินคดีในศาล ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) พบว่าการดำเนินการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้น จนผู้เสียหายได้รับเงินตามกฎหมายหลักประกันสุขภาพ มีระยะเวลาเฉลี่ยในการดำเนินการเพียงประมาณ 30 วัน เท่านั้น แต่หลักการนี้ก็ยังมีปัญหา เพราะผู้ถือบัตรทองมีอยู่ประมาณ 40 ล้านคน จากประชากรไทย 60 ล้านคนในปัจจุบัน และการจ่ายเงินช่วยเหลือเบื้องต้นนี้ เป็นการช่วยเหลือเท่าที่จำเป็นเบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมด ซึ่งความต้องการให้ช่วยเหลือทั้งหมดอาจเป็นจำนวนเงินที่สูง
นอกจากนั้นยังมีกฎหมายที่ถือเป็นกฎหมายให้ความคุ้มครองผู้รับบริการสาธารณสุขหรือการแพทย์อีกฉบับหนึ่งคือ พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐ(ต้นสกัดของโรงพยาบาลรัฐเช่น สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข) เป็นผู้จ่ายค่าเสียหายแทนเจ้าหน้าที่ (แพทย์,พยาบาล) แต่ตามกฎหมายฉบับนี้ยังต้องพิสูจน์ว่าเป็นความผิดของเจ้าหน้าที่อยู่นั่นเอง เพียงแต่เจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว เว้นแต่ทุจริตหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีทั้งพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ.2545 และพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 เมื่อมีความเสียหายจากการบริการสาธารณสุข ก็อาจจำเป็นต้องดำเนินคดีในศาลยุติธรรม ทั้งกรณีของโรงพยาบาลรัฐและโรงพยาบาลเอกชน
ดังนั้น จะเป็นการดีแก่ประชาชนโดยทั่วไป หากจะมีกฎหมายที่บัญญัติวิธีพิจารณาคดีเป็นกรณีพิเศษ หรือมาตรการเฉพาะที่ให้คดีเกี่ยวกับการบริการทางสาธารณสุขดำเนินคดีด้วยความรวดเร็วและรวบรัด
ประชาชนคนไทยที่ต้องพึ่งบริการสาธารณสุขอยู่จนชั่วชีวิตจะได้ไม่มีความวิตกกังวลกับการใช้บริการสาธารณสุขอีกต่อไป
รุจิระ บุนนาค
แนวหน้า -- เสาร์ที่ 10 มีนาคม 2555