เมื่อวันที่ 25 ส.ค. ที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) นางวรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ ที่ปรึกษาทีดีอาร์ไอ เปิดเผยว่า ได้ทำงานวิจัยเรื่อง ผลลัพธ์ทางสุขภาพและความเป็นธรรมทางสุขภาพ โดยผลการศึกษาพบว่าอัตราส่วนการตายของมารดาขณะตั้งครรภ์สูงกว่าตัวเลขที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พบถึง 4-5 เท่า เนื่องจากงานวิจัยของทีดีอาร์ไอ ได้ประเมินข้อมูลการเสียชีวิตจากข้อมูลการตายของมารดาจากฐานข้อมูลผู้ป่วยใน สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และสํานักงานกลางสารสนเทศบริการสุขภาพ (สกส.) รวมถึงฐานข้อมูลการเกิดและตายจากทะเบียนราษฎรมาประมวลผล ต่างจากข้อมูลของสธ.ที่ให้โรงพยาบาลรายงานโดยตรง ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนพอสมควร และสธ.ก็ยอมรับความคลาดเคลื่อนดังกล่าวเพื่อเตรียมพัฒนาระบบ และใช้การเก็บข้อมูลแบบที่ผู้วิจัยทำต่อไป
ทั้งนี้ อัตราตายที่ผู้วิจัยพบในปี 2550 อยู่ที่ 62.51 คนต่อแสนคน หรือ 421 คนต่อปี ส่วนของสธ.พบว่าอยู่ที่ 12.2 ซึ่งต่างกันเกิน 5 เท่าตัว อย่างไรก็ตาม ข้อมูลล่าสุดในปี 2554 อยู่ที่ 290 คน หรือ 36.69 คน ต่อแสนคนซึ่งห่างกันประมาณ 4 เท่า ขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น มีอัตราการตายของมารดา อยู่ที่ประมาณ 5 คนต่อแสนคนเท่านั้น ส่วนประเทศที่เจริญแล้วอื่นๆ ก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน
นางวรวรรณกล่าวอีกว่า การศึกษายังพบว่าในเขตบริการสุขภาพที่12 หรือในจังหวัดสงขลา จังหวัดปัตตานี จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส จังหวัดพัทลุง จังหวัดสตูล และจังหวัดตรัง มีอัตราการเสียชีวิตของมารดาสูงถึง 69.29 คนต่อแสนคน ซึ่งอาจมาจากปัจจัยด้านวัฒนธรรม เช่น ผู้ที่ทำคลอดต้องเป็นสุภาพสตรีเท่านั้น หรืออาจมาจากปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้มารดา มีปัญหาในการเดินทางมาทำคลอด
การศึกษายังพบว่าในเขตบริการสุขภาพที่ 2 ในจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง และเขตบริการสุขภาพที่3 เขตพื้นที่ภาคกลาง ก็มีอัตราการเสียชีวิตของมารดาในระดับที่สูงเช่นกัน โดยสาเหตุการตายมีทั้ง การทำแท้งในมารดาวัยรุ่น รวมถึงความไม่สมบูรณ์ของร่างกายในมารดาที่อายุสูงกว่า 35 ปี
นางวรวรรณกล่าวว่า การศึกษายังพบอีกว่าอัตราส่วนการตายสูงเกิดขึ้นในพื้นที่ที่รายได้ต่อหัวประชากรต่ำอีกด้วย ซึ่งข้อเรียกร้องสำคัญไปยังสธ. ก็คือการกำหนดนโยบายสาธารณสุข ศึกษาสาเหตุการเสียชีวิตดังกล่าว เพื่อกำหนดเป็นนโยบายเฉพาะของแต่ละพื้นที่มากกว่าจะกำหนดนโยบายจากระดับชาตินโยบายเดียว เพื่อแก้ปัญหาทั้งหมด เพราะแต่ละพื้นที่มีปัญหาที่แตกต่างกันออกไป
งานวิจัยยังได้เปิดเผยผลสำรวจเรื่องค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 365 วันก่อนตาย เปรียบเทียบสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า(บัตรทอง 30 บาทรักษาทุกโรค) และสวัสดิการข้าราชการ โดยพบว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในระบบบัตรทอง อยู่ที่5.2 หมื่นบาท ส่วนสวัสดิการข้าราชการอยู่ที่ 9.8 หมื่นบาท และยังพบอีกว่าค่าใช้จ่ายของบัตรข้าราชการในการรักษาโรคเดียวกัน สูงกว่าบัตรทองถึง 38% โดยหากตายในโรงพยาบาล ค่าใช้จ่ายบัตรทองอยู่ที่ 6.4 หมื่นบาท และสวัสดิการข้าราชการอยู่ที่ประมาณ 1.47 แสนบาท
ขณะเดียวกันก็พบอีกด้วยว่า อัตราของผู้สูงอายุที่ครองเตียงในโรงพยาบาลก่อนเสียชีวิตมีค่อนข้างมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า หากไม่ทำอะไร เตียงส่วนใหญ่ในโรงพยาบาล จะเต็มไปด้วยผู้สูงอายุ และทำให้โอกาสในการรักษาผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นผู้สูงอายุน้อยลง
โพสต์ทูเดย์ 25 สิงหาคม 2558