ตูน บอดี้สแลมกำลังจะออกวิ่งในโครงการ ก้าวคนละก้าว เป็นระยะทาง 400 กิโลเมตร จากกรุงเทพฯ - บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อระดมทุนช่วยเหลือโรงพยาบาลบางสะพานที่กำลังขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์
เป้าหมายของการวิ่งครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อแข่งความเร็วกับใคร แต่เป็นการกระจายปัญหานี้ให้คนได้รับรู้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
400 กิโลเมตร คือระยะทางโดยประมาณจากกรุงเทพฯ สู่อำเภอบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์
ถ้านั่งรถด้วยระยะทางประมาณนี้ อาจต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง
แต่ ตูน-อาทิวราห์ คงมาลัย หรือตูน บอดี้สแลม ไม่เลือกที่จะเดินทางด้วยรถยนต์ เพราะเขากำลังจะใช้สองเท้าที่เขามี บวกกับแรงใจและแรงกายจำนวนมากเพื่อพาตัวเองไปให้ถึงบางสะพานด้วยการวิ่งทีละก้าว ทีละก้าว โดยตั้งใจจะใช้เวลา 10 วัน วิ่งวันละ 40 กิโลเมตร หรือเทียบเท่ากับการวิ่งมาราธอนติดต่อกันโดยไม่หยุดพักจำนวน 10 ครั้ง
เป้าหมายในการวิ่งครั้งนี้ของเขาไม่ใช่เพื่อแข่งขันกับใคร ไม่มีเส้นชัยให้พิชิต เหรียญรางวัลไม่ใช่แรงจูงใจสูงสุด เพราะจุดหมายปลายทางที่เขาต้องการยิ่งใหญ่กว่านั้น ถึงขั้นอาจช่วยต่อชีวิตใครบางคนได้จากการออกวิ่งแต่ละก้าวเลยด้วยซ้ำ
คงไม่เกินจริงถ้าจะบอกว่าเขาไม่ได้กำลังจะวิ่งเพื่อตัวเอง เพราะแต่ละก้าวคือความตั้งใจที่จะช่วยเหลือผู้ป่วยในโรงพยาบาลบางสะพานที่กำลังขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์
ก่อนจะออกวิ่งจริงในวันที่ 1 ธันวาคมนี้ ในโครงการ ก้าวคนละก้าว The Momentum มีโอกาสได้พูดคุยกับเขานานนับชั่วโมง และนี่คือบทสนทนาที่จะตอบทุกคำถามในใจคุณที่มีต่อภารกิจครั้งนี้ของ ตูน บอดี้สแลม
ที่มาของการวิ่งครั้งนี้เป็นอย่างไร
มันเริ่มต้นจากการที่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ คุณหมอเชิดชาย ชยุวัฑโฒ ท่านแค่อยากชวนผมไปเป็นหนึ่งในสีสันของงานวิ่งที่กำลังจะจัด เพื่อต้องการให้คนบางสะพานได้มาวิ่งออกกำลังกายกัน แล้วถ้ามีเงินเหลือจากการจัดงานก็จะเอามาซื้อเครื่องมือแพทย์ที่กำลังขาดแคลน พอฟังแล้วก็อยากช่วย เพราะเป็นคนชอบวิ่งอยู่แล้ว และมันก็ไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เคยได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่บางสะพาน ไปปลูกบ้านที่นั่น คิดว่าถ้าได้ทำอะไรสักอย่างให้คนในพื้นที่ตรงนี้ก็คงดี
สุดท้ายจึงไปคุยกับคุณหมอ ได้ไปดูที่โรงพยาบาล ได้เห็นสภาพของความขาดแคลน ได้เห็นคนไข้ที่ต้องนอนอยู่ข้างทางเดินในโรงพยาบาล เพราะว่าห้องไม่พอ หรือแม้กระทั่งไม่มีเครื่องมือใช้รักษา ทั้งที่เป็นเครื่องมือพื้นฐานด้วยซ้ำ พอได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกว่ามันขาดเยอะ แล้วจะพอเหรอกับการวิ่งเพื่อการกุศลแค่ครั้งเดียว เพราะเราก็มีเพื่อนที่เคยจัดงานวิ่ง เลยรู้ว่าการจัดงานแบบนี้ต้องใช้เงินเยอะ บางงานใช้เงินเป็นล้าน พอเอารายได้จากสปอนเซอร์หรือการสมัครมาหักลบ ก็เหลือกำไรอยู่นิดเดียว หรือบางทีต้องควักเนื้อไปทำบุญด้วยซ้ำ
ก็เลยเป็นที่มาในการขออนุญาตคุณหมอว่าเดี๋ยวผมขอทำให้แล้วกัน คุณหมอก็งงๆ นะว่าจะทำอะไร ก็เลยกลับมานอนคิดที่บ้านว่าจะจัดงานวิ่งให้คุณหมอแล้วกัน จะเป็นแม่งานให้ พอคิดเร็วๆ บรรทัดสุดท้ายก็คงเป็นตัวเลขที่เยอะกว่าที่คุณหมอทำเอง แต่พอมาเขียนดูอีกทีบนกระดาษจริงๆ ต้นทุนมันเยอะกว่าที่คิด และรายได้ก็ต้องลุ้น ไม่ได้มีความง่ายขนาดนั้น สุดท้ายก็ล้มความคิดเดิมทั้งหมด อยากจะช่วย แต่คิดว่าต้นทุนมีเราคนเดียวพอ ไม่ต้องมีค่าเสื้อ ค่าเหรียญ ค่าอาหาร ค่าเต็นท์ ค่าจัดการ ไม่ต้องแล้ว ต้นทุนคือเราคนเดียว ก็วิ่งคนเดียวจากกรุงเทพฯ ไปบางสะพาน เรี่ยไรเงินจากหลายๆ คน เอาเงินที่ได้วิ่งลงไปให้เขาที่บางสะพาน
เราจะใช้การวิ่งนี้สื่อสารปัญหาที่มีอยู่ให้กับคนได้รับรู้ในวงกว้างที่สุด
สาระไม่ได้อยู่ที่การวิ่ง 400 กิโลเมตร ไม่ต้องไปถึงเร็วที่สุด ไม่ต้องแข่งกัน
แต่สาระคือเราใช้การวิ่งเป็นเครื่องมือในการบอกกล่าว
ส่งสารออกไปว่าตรงนี้ต้องการความช่วยเหลือและขาดแคลน
ทำไมต้องวิ่ง ทั้งที่คุณเองน่าจะอยู่ในจุดที่เลือกทำอย่างอื่นได้ เช่น จัดคอนเสิร์ต เล่นดนตรี หรือทำอะไรที่ไม่ต้องเปลืองแรงขนาดนี้
จุดประสงค์แรกของคุณหมอคือต้องการให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการออกกำลังกาย ซึ่งเราก็วิ่งอยู่แล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากคือ ทุกวันนี้เวลาผมซ้อมวิ่งในหมู่บ้าน ภาพที่ผมเห็นคือจะมีพี่ๆ จากบ้านหลังอื่นๆ ออกมาวิ่งตาม ทั้งที่เขาก็ไม่เคยวิ่ง แล้วก็มาให้กำลังใจผม ผมชอบความรู้สึกนี้ เราไม่ได้วิ่งเก่งกาจอะไร แต่ก็เป็นแรงบันดาลใจเล็กๆ ให้คนลุกออกมาจากบ้าน ออกมาจากโซฟาหน้าทีวีได้ ออกมาวิ่งกับเราคนละรอบสองรอบ บางคนก็วิ่งกับเราเป็นสิบรอบ
ผมรู้สึกว่าการวิ่งมันเพิ่มมิติของผมด้วย จากแค่ร้องเพลง แค่จัดคอนเสิร์ต ผมเองทำมาหมดแล้ว และตรงนั้นมันก็ไม่ได้บันดาลใจให้คนมาออกกำลังกายอย่างที่คุณหมอต้องการ ซึ่งผมก็เป็นคนชอบกีฬามากอยู่แล้ว ความสนใจของผมถ้าให้แบ่งออกมาเป็น 100% ดนตรีกับกีฬามาอย่างละ 50% เลยนะ คือผมเล่นกีฬามาตลอดชีวิตอยู่แล้ว เป็นอีกมุมหนึ่งที่ชอบ และสามารถสื่อสารผ่านตัวเองได้ ถ้าทำแล้วมันบันดาลใจให้คนได้จริงๆ เราก็อยากจะทำ
แล้วทำไมต้องวิ่งไกลถึง 400 กิโลเมตร ทั้งที่จริงๆ วิ่งแค่ 100 หรือ 200 กิโลเมตร ก็น่าจะดึงความสนใจจากคนได้อยู่แล้ว
ไม่ (ส่ายหัว)
เนื่องจากเราต้องการสื่อสารถึงปัญหาความขาดแคลนตรงนี้ ให้คนหันมาเห็นเยอะๆ ซึ่งปัญหานี้มันไม่ได้โครมคราม หรือเสียงดังมากจนเรียกคนให้มาช่วยได้ในทีเดียว ปัญหานี้เป็นเหมือนปัญหารายวัน ยิบย่อย ที่ไม่มีใครเอามากองรวมกันให้คนได้เห็นในคราวเดียว แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นปัญหาใหญ่ที่ซ่อนอยู่ ในระหว่างที่เราคุยกันก็มีเด็กๆ ที่ต้องแชร์เครื่องอบตัว ที่โรงพยาบาลบางสะพานมีอยู่เครื่องเดียว แต่มีเด็กตัวเหลืองต้องการใช้เครื่องอบ 3-4 คนตลอดเวลา หรือเครื่องฟอกไตที่ไม่พร้อม ในขณะที่เราคุยกันก็มีคนรอคิวอยู่ ผมต้องการให้คนได้รู้เยอะๆ
งานนี้ผมอยากให้เป็นเรื่องจำนวนคน ยิ่งคนรู้เยอะ ยิ่งบริจาคกันคนละเล็กละน้อย สมมติมีคนรู้ล้านคน บริจาคกันมาคนละ 5 บาท ก็ได้ 5 ล้านแล้ว เพื่อการสื่อสารมันเลยต้องการการวิ่งที่ดูเกินจริงนิดหนึ่ง ถ้าเราจัดงานวิ่งการกุศลในสวนลุมฯ 4 รอบ เรียกคนมาได้รอบละ 300 คน แจกเสื้อแจกเหรียญ คนก็รู้ประมาณหนึ่ง ออกมาช่วยแล้วไง สุดท้ายก็ลืม ปัญหาก็ไม่ได้ถูกบอกต่อ
ผมว่านี่เป็นปัญหาของพวกเราทุกคนนะ ญาติเราบางคนอยู่ต่างจังหวัด ก็อาจจะต้องไปรอคิวโรงพยาบาลรัฐ อาจจะต้องการเครื่องมือบางอย่างเพื่อช่วยชีวิตเขา บางคนอาจจะคิดว่าจริงเหรอ เงิน 10 บาทจะช่วยคนได้เหรอ แต่ผมบอกเลยว่ามันมีคุณค่า มีความหมายมาก
ระยะทางมันเหมือนเรียกคนให้หันมามองได้เยอะขึ้น หันมามองก่อนว่าไอ้คนคนนี้จะทำอะไรขนาดนี้วะ ทำเพื่ออะไร มันถูกตั้งคำถาม พอคนรู้ว่าเราทำทำไม หรือทำไมต้องวิ่ง 400 กิโลเมตร ก็น่าจะทำให้คนหันมาสนใจปัญหามากขึ้น
สิ่งที่ผมกลัวคืออะไรรู้ไหม กลัวว่าจะไปเดือดร้อนการจราจร
คือไม่อยากให้มันเกิดภาพตรงนี้ ที่ผมบอกทุกคนว่าจะวิ่งคนเดียว
เพราะว่าผมไม่อยากให้มันไปเดือดร้อนคนอื่น
นอกจากเรื่องการระดมทุนแล้ว การวิ่งครั้งนี้มีความหมายอะไรที่มากกว่านั้นหรือเปล่า
เราจะใช้การวิ่งนี้สื่อสารปัญหาที่มีอยู่ให้กับคนได้รับรู้ในวงกว้างที่สุด สาระไม่ได้อยู่ที่การวิ่ง 400 กิโลเมตร ไม่ต้องไปถึงเร็วที่สุด ไม่ต้องแข่งกัน แต่สาระคือเราใช้การวิ่งเป็นเครื่องมือในการบอกกล่าว ส่งสารออกไปว่าตรงนี้ต้องการความช่วยเหลือและขาดแคลน อยากให้คนแบบเราๆ ที่ไม่ได้มีเงินเยอะๆ ที่จะบริจาคได้เป็นแสนเป็นล้านเหมือนคนอื่นเขาได้รับรู้กันเยอะๆ
ก่อนอื่นต้องรับรู้ก่อนว่ามีปัญหา เพราะเราคนไทยจะชินตากับโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลประจำจังหวัดและอำเภอ ที่เวลาคนไปใช้บริการต้องต่อคิวกันเยอะๆ ตั้งแต่ตีสี่ตีห้า คนเฒ่าคนแก่ เด็กน้อย ไปรอกันถึงเย็น คืออยู่โรงพยาบาลทั้งวัน เราชินตากัน และมักจะคิดว่าคนที่มีความรับผิดชอบเรื่องพวกนี้คงช่วยกันเต็มที่อยู่แล้ว คนที่บริจาคก็คงเข้าไปอุดรูรั่วตรงนี้ได้อยู่แล้ว มันถึงไม่มีเสียงที่พูดถึงปัญหาเหล่านี้ เพราะทุกคนก็ต่างคิดว่ามีคนดูแลอยู่ตรงนั้นพอแล้ว สุดท้ายทุกอย่างก็เป็นเหมือนเดิม
จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่ที่บางสะพานเท่านั้นที่เป็นแบบนี้ คุณหมอก็บอกว่าโรงพยาบาลระดับนี้ (โรงพยาบาลชุมชนขนาด 120 เตียง) มีอยู่อีก 80 กว่าโรงพยาบาลทั่วประเทศ ซึ่งก็ต้องการความช่วยเหลือไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จริงๆ ก็มีหน่วยงานเข้าไปช่วยเหลือแก้ไขปัญหาตลอดเวลานะ แต่เหมือนถมทรายในมหาสมุทร คนป่วยก็มีทุกวัน เครื่องไม้เครื่องมือที่มีก็เก่าลงไปทุกวัน เทคโนโลยีก็เปลี่ยนไปทุกวัน และต้องการอะไรใหม่ๆ เพื่อให้สอดคล้องกับปัจจุบัน
แต่สุดท้ายคุณคงไม่สามารถวิ่ง 400 กิโลเมตรได้ทุกเดือน ในอนาคตก็ยังจะมีปัญหานี้เกิดขึ้นอีก คุณมองเรื่องนี้อย่างไร
ใช่ๆ ผมไม่ใช่ผู้วิเศษอยู่แล้ว ซึ่งที่ผ่านมาก็มีคนในสังคมออกมาทำบางสิ่งเพื่อช่วยเหลือผู้คนอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเราไปคิดแบบนั้น เราก็จะไม่ได้ทำอะไรเลย คิดว่าเดี๋ยวก็มีปัญหา เราจะทำไปทำไม เดี๋ยวก็คงมีคนมาทำเอง หรือเดี๋ยวอีกปีหนึ่งคนก็ลืมไปหมดแล้ว ถ้าเราคิดแต่เรื่องปัญหา เราจะไม่ได้เริ่มทำอะไร
เป้าหมายในฝันของผม คือทำให้โครงการนี้ไปช่วยบอกต่อ ไปช่วยกระตุ้นเตือนให้กับคนในพื้นที่อีกหลายๆ จังหวัด หลายๆ อำเภอ ให้เขาหันกลับไปมองโรงพยาบาลหลังบ้านเขาว่ามีปัญหานี้อยู่หรือเปล่า และถ้าเขาเป็นคนที่มีพลังประมาณหนึ่ง ก็อาจจะริเริ่มทำอะไรสักอย่างเพื่อโรงพยาบาลหลังบ้านเขา อันนี้คือปลายทางในฝันที่อยากให้เกิดขึ้นมาก
ถ้าให้สำรวจตัวเอง คิดว่าการวิ่งครั้งนี้เป็นการตั้งคำถามหรือค้นหาคำตอบอะไรในชีวิตหรือเปล่า
ไม่ได้คิดลึกขนาดนั้นเลย ผมแค่ทำมัน แล้วก็ทำอย่างรวดเร็วมาก ไม่ต้องไปคิดว่ามาจากตรรกะหรือมีอะไรรองรับที่สมเหตุสมผลไหม แค่ทำไปก่อน ผมเล่าเรื่องนี้มาประมาณรอบที่ร้อยให้ทุกคนได้ฟัง เพราะผมต้องขอความช่วยเหลือจากคนจำนวนหนึ่งในการทำเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นจริง โดนคำถามแบบนี้บ้าง แตกต่างไปบ้าง เจอคำถามในเชิงที่ทำให้กลับมาฉุกคิด ให้กลับไปทำการบ้านก็เยอะ ผมอยู่กับสิ่งนี้มาประมาณหนึ่งเดือน พูดเรื่องนี้ทุกวัน ซึ่งมันสนุกมากเลยนะ ไม่รู้สิ บางทีผมทำงานนี้หนักกว่าที่ออกไปโปรโมตอัลบั้มตัวเองอีก ผมรู้สึกเหนื่อยกาย แต่ไม่ได้เหนื่อยใจ
เดือนที่ผ่านมามันสนุกมาก แล้วได้คิดว่าปลายทางเราทำเพื่อเด็กคนหนึ่งที่แชร์เครื่องอบตัวกับอีกคนอยู่ เพื่อพ่อแม่ที่เห็นลูกป่วยอยู่แต่รักษาไม่ได้ คนแก่ที่รอเครื่องไม้เครื่องมือ เฮ้ย มันมีกำลังนะ ตอนแรกไม่ได้คิดใหญ่ด้วยซ้ำ เพราะความเป็นคนขี้อาย เป็นคนกลัว กลัวคนบอกว่าเราทำดีเพื่อโปรโมตตัวเอง เอาหน้า กลัวจะโดนคนว่า โดนคนวิจารณ์ อยากทำเล็กๆ วิ่ง 400 กิโลเมตรนี่แหละ ไม่ต้องป่าวประกาศมากมาย ไม่ต้องออกสื่อ ไม่ต้องสัมภาษณ์ กลัว
กลัวจริงๆ ที่จะโดนแบบนี้ เพราะเราอยากทำเรื่องนี้ด้วยความสบายใจที่สุด เราไม่ได้อยากมาอยู่ท่ามกลางผู้คน ให้คนตัดสินว่าเราทำเพื่ออะไร หรือมีผลประโยชน์ไหม เพราะถ้าทำแล้วเครียด เราจะไม่ทำ
ก้าวก็หมายถึงก้าวเดิน ก้าวต่อไป ไม่ต้องรีบก้าว ก้าวสั้นๆ บ้าง
ถ้ามีแรงน้อย ก้าวยาวๆ ได้ ถ้ามีแรงเยอะ หยุดก้าวได้ถ้าเหนื่อย
พรุ่งนี้มาก้าวใหม่ ก้าวสั้นๆ ก้าวยาวๆ หยุดก้าว 400 กิโลเมตร
ถ้าเราไปเรื่อยๆ มันก็ถึงนะ แต่ถ้าไม่เริ่มก้าวเลย
อยู่แต่กับบ้าน กิโลเมตรแรกก็คงไม่มี
แล้วทำไมถึงเปลี่ยนใจ
เพราะคุยกับผู้ใหญ่คนหนึ่ง เล่าให้เขาฟังว่าผมจะทำแบบนี้ พี่ช่วยบอกต่อหน่อยได้ไหม พี่เขาก็ถามว่า อ้าว แล้วทำไมไม่ทำให้มันจริงจังไปเลยวะ เฮ้ย ทำดีไม่ต้องเขินดิ ทำดีไม่ต้องอาย ทำไปเลย พี่เขาก็บอกว่าถ้าเราทำตรงนี้ ทำเต็มที่ เต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วคนรู้เยอะๆ ได้เงินเยอะๆ ไปช่วยกันเยอะๆ มันก็ดีไม่ใช่เหรอ เราอุตส่าห์ลงแรงขนาดนี้ มันต้องได้ผลที่คุ้มค่าเหนื่อยสิวะ มันมีอยู่แล้วคนที่จะมองเราแบบนั้น แต่ไม่ต้องกลัว ทำไปเลย ถ้ามันจะได้ผลประโยชน์เยอะที่สุดกับปลายทางที่เราต้องการให้เป็น ผมก็คิดว่า เออ จริงว่ะ เราอุตส่าห์ตั้งใจขนาดนี้แล้ว อะ กลั้นใจ เอาก็เอา ทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ไปเลยก็ได้ เพราะอยากให้คนรู้เยอะๆ เพื่อมาช่วยกันเยอะๆ
สิ่งที่ยากที่สุดในภารกิจครั้งนี้คืออะไร
ยากสุดอาจจะเป็นเรื่องของการวิ่งที่จะต้องจบให้ได้ มันก็อยู่ที่การฟิตซ้อมแล้วว่าจะออกแบบยังไงให้มันจบ 400 กิโลเมตรใน 10 วันให้ได้ ซึ่งตรงนี้ก็มีคนมาช่วยดูแลเยอะ ทั้งคุณหมอตรวจร่างกาย ให้ความเห็น ออกแบบการซ้อม หรือนักกายภาพ นักกีฬาที่มีประสบการณ์ในการวิ่งระยะนี้ ก็มาช่วยออกแบบการซ้อม และช่วยซัพพอร์ตในการวิ่งจริง มีคุณหมอที่มีประสบการณ์คอยวิ่งตามเราทุกก้าว เพื่อที่เวลาวิ่งแล้วล้มฟุบไปก็ปั๊มขึ้นมาได้เลย เรามีคนช่วยมากมาย ตรงนี้อาจทำให้เรื่องยาก ยากน้อยลง พอมีคนช่วยตลอดเวลามันก็เลยดูเหมือนไม่ได้ยากมาก เพราะพออธิบายแบบนี้กับทุกคน เขาก็เห็นด้วย และพร้อมมาช่วย ทุกโรงพยาบาลเลยนะครับ ต้องขอบคุณผ่านทางนี้ไว้เลย ทุกคนช่วยแบบฟรีๆ เลย
แสดงว่าคุณก็รู้ว่าทุกกิโลเมตรที่กำลังจะวิ่งมีความเสี่ยง?
มันก็มีปัจจัยเสี่ยงแหละ มันก็บ้าพอสมควร แต่เราก็เห็นบางคนวิ่งมาจากปัตตานี น้องๆ ตัวเล็กๆ บางทีก็วิ่งมาจากบุรีรัมย์ เขาก็ยังไม่เป็นไร แล้วเรามีคนช่วยเยอะขนาดนี้ ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ได้วิ่งเร็วๆ นี่ เราก็วิ่งต๊อกแต๊กๆ เหนื่อยก็เดิน โธ่ แล้วมีทีมให้น้ำให้ท่าอีก ก็อยู่ที่เราแล้วว่าเตรียมตัวพร้อมขนาดไหน กล้ามเนื้อเราไหวไหม ใจเราไหวไหม ซึ่งใจผมบอกว่าโอเค
ใจที่ไหวคือแบบไหน
ไหวคือเราคิดถึงปลายทาง ไม่ต้องคิดถึงกายภาพ คิดถึงปลายทางว่าเราทำอะไรอยู่ ทำเพื่ออะไรวะ สิ่งที่ยากที่สุดน่าจะเป็นเรื่องการวิ่ง ระหว่างทางมันมีทุกคนมาช่วย ซึ่งเป็นเรื่องที่สวยงามที่สุดที่ผมเจอเลย มีคนใจดีในเมืองไทยเพียบเลย จริงๆ นะ คนพร้อมที่จะช่วยเหลือกันนี่เยอะเลย ตามท้องถนนที่ผมเดินตอนนี้มีแต่คนทักเรื่องนี้ แล้วบางคนก็ควักเงินมาให้ผมเลย ขอช่วยด้วย สู้ๆ นะครับ ขนาดยังไม่ได้วิ่งเลย ดีมากเลย ได้เห็นน้ำใจคนระหว่างทาง
คุณออกแบบการวิ่งไว้อย่างไร
คือเราออกแบบการวิ่ง 10 วัน 400 กิโลเมตร เท่ากับวันหนึ่งวิ่ง 40 กิโลเมตร เราแบ่งการวิ่งเป็น 4 เซต 4 ช่วงการวิ่ง ก็จะวิ่งประมาณช่วงละ 10 กิโลเมตร และพักครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง แล้วก็เตรียมตัววิ่งในเซตต่อไป เซตแรกเราออกตี 4 ครึ่งถึง 6 โมงเช้า วิ่งๆ เดินๆ ชั่วโมงครึ่ง ไม่ต้องรีบ พอพักปุ๊บ เซตที่ 2 เราจะเริ่ม 6 โมงครึ่งถึง 8 โมงเช้า หลังจากนั้นเราก็จะพักยาวหน่อย แล้วเริ่มเซตที่ 3 ประมาณบ่าย 3 โมง คือเราไม่ได้วิ่งตลอด 40 กิโลเมตรติดกัน วิ่งแบบนั้นมันไม่มีทางจบอยู่แล้ว เราออกแบบให้มันไม่ทรมานมาก คือออกแบบให้เป็นไปได้จริงๆ แล้วเราไม่ได้ออกแบบคนเดียว ก็จะมีนักวิ่งมาช่วยออกแบบ คุณหมอ นักกายภาพ รู้สึกว่าเท่านี้กล้ามเนื้อร่างกายจะไม่ต้องใช้เยอะเกินไป จริงๆ สาระมันไม่ได้อยู่ที่การวิ่งเท่าไหร่ สาระมันอยู่ที่เรื่องที่เราต้องการจะสื่อสารมากกว่า
โอ๊ย ตอนวิ่งเข้าเส้นชัย น่าจะร้องไห้นะ
ก็คงเป็นอีกวันหนึ่งในชีวิตที่น่าจะมีความสุข แล้วก็อยากจะมีเงินเยอะๆ
บอกคุณหมอว่าหมอเอาไปเลย ผมทำให้แล้วครับ เอาไปเลย
ตั้งเป้าไว้ไหมว่าจะต้องได้เงินเท่าไหร่
เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะเครื่องมือแพทย์มันไม่ได้ 10 บาท 20 บาท ไม่ใช่หมื่นสองหมื่น บางเครื่องเริ่มต้นที่หลักล้าน ไอ้เครื่องที่เราไปตรวจความดันก็หลายแสนแล้ว สมมติเราหาเงินให้เขาได้ 10 ล้าน เอาไปซื้อเครื่องมือแพทย์ได้ 5 เครื่อง ก็ดูไม่เปลี่ยนแปลงเท่าไหร่เลยนะ คือครั้งนี้ผมอยากได้เยอะที่สุด เพื่อให้เขาไปต่อยอดอะไรก็ได้โดยไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยน หรือกลัวเงินจะหมด มีเงินเหลือก็เอาไปซื้อเตียงเพิ่ม ให้สวัสดิการพยาบาลที่เขาป่วย เพราะโรงพยาบาลไม่ได้มีเครื่องฟอกอากาศที่มีประสิทธิภาพพออย่างโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ พยาบาลก็ติดเชื้อโรคจากคนป่วยด้วย สวัสดิการก็ไม่ได้ดี แต่ก็เสียสละ จะได้มีเงินไปจัดการตรงนั้นได้ด้วย ห้องผ่าตัดที่ปิดอยู่ก็เปิดได้ด้วย ใช้เงินอีก 3-4 ล้านลงไปตรงนั้น อยากได้เยอะๆ เยอะที่สุด เพื่ออะไร เพื่อให้คุณหมอได้ใช้เงินตรงนี้เยอะที่สุดด้วย และเพื่อบอกต่อว่าคนไทยเรา พอเวลาจะช่วยกันจริงๆ ก็ใจดีนะ ใจดีจริงๆ ไม่ใช่ทำขนาดนี้แล้วได้นิดหน่อย เพื่อแสดงอะไรบางอย่างในเชิงสัญลักษณ์อย่างเดียว เราอยากทำให้มันเกิดเป็นรูปธรรมด้วย
นึกภาพวันวิ่งจริงๆ เป็นอย่างไร
วันวิ่งจริงก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น เพราะไม่เคยวิ่งแบบนี้เหมือนกัน สิ่งที่ผมกลัวคืออะไรรู้ไหม กลัวว่าจะไปเดือดร้อนการจราจร คือไม่อยากให้มันเกิดภาพตรงนี้ ที่ผมบอกทุกคนว่าจะวิ่งคนเดียว เพราะว่าผมไม่อยากให้มันไปเดือดร้อนคนอื่น ที่อาศัยถนนในการสัญจร บางคนก็รีบ บางคนก็ป่วย บางคนก็ต้องการเดินทางอย่างสะดวกสบาย นั่นแหละเป็นสิ่งที่ผมกังวล อยากจะแค่วิ่งเพื่อสื่อสารช่องทางตรงนี้ให้มันมีประสิทธิภาพที่สุดโดยที่ไม่ไปเดือดร้อนคนอื่น ไม่อยากเลย เป็นเหตุผลที่ผมจะวิ่งตี 4 ครึ่ง วิ่งให้เสร็จภายใน 8 โมง หรือให้เสร็จก่อนเวลาที่คนจะสัญจรมากๆ แต่ช่วงบ่ายๆ เย็นๆ มันอาจจะมีบ้าง แต่ผมก็จะพยายามวิ่งอยู่ในไหล่ทางเยอะที่สุด พยายามบอกทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเลยนะครับ พี่ๆ ทีมงานทุกคน หรือพี่ๆ ตำรวจจราจรทุกคนว่าผมไม่ได้อยากปิดถนนหรืออะไรเลย อยากจะแค่ให้ผมได้วิ่งบนไหล่ทางได้ก็พอแล้ว เพราะว่าไม่ได้มีคนเห็นดี เห็นด้วยกับเรา 100% หรอก ผมเชื่ออย่างนั้น
การวิ่งทั่วไปไม่ไหวก็เลิกได้ แต่การวิ่งครั้งนี้ดูเหมือนคุณจะเลิกไม่ได้แล้ว เพราะมีคนรับรู้มากมาย เหมือนเป็นคำสัญญา คุณมองเรื่องนี้อย่างไร
ไม่ไหวคืออะไร คือถ้าเหตุการณ์ไม่ได้ถึงกับขาหักจนวิ่งไม่ได้แล้ว หรือเอ็นฉีก ข้อเท้าพลิกจนต้องพักไป 2 เดือน แบบนั้นก็คงวิ่งไม่ได้ แต่ถ้าแค่ขาแพลง หรือพักแค่นิดเดียวก็หาย ผมก็วิ่งต่อนะ เหนื่อยนอนพักคืนเดียวก็หาย แต่พวกกายภาพต่างหากที่ก็ต้องไปถามมันหน่อยว่า ข้อเท้ามึงไหวไหมวะ เข่ามึงโอเคนะ ตรงนี้มากกว่าที่ต้องเช็ก แต่ผมว่าใจไม่ยอมอยู่แล้ว ถ้าถามใจมันก็ต้องถึง ถ้าถามผมตอนนี้ผมก็บอกว่าผมทำถึงที่สุด ก็ไม่ยอม แต่ไปช้าๆ ไม่ใช่ ยูเซน โบลต์ นะ ไม่ต้องทำลายสถิติโลก
บางทีคนเห็นผมวิ่งก็อาจจะทักว่า เฮ้ย พี่ตูน มึงเดินนี่หว่า ผมก็ไม่เขินนะ ผมก็ยังไป โครงการนี้มันถึงชื่อว่า ก้าวคนละก้าว ไง โครงการนี้มันไม่ได้ชื่อว่าปรู๊ดปร๊าด หรือจี๊ดจ๊าด ก้าวก็หมายถึงก้าวเดิน ก้าวต่อไป ไม่ต้องรีบก้าว ก้าวสั้นๆ บ้าง ถ้ามีแรงน้อย ก้าวยาวๆ ได้ ถ้ามีแรงเยอะ หยุดก้าวได้ถ้าเหนื่อย พรุ่งนี้มาก้าวใหม่ ก้าวสั้นๆ ก้าวยาวๆ หยุดก้าว 400 กิโลเมตร ถ้าเราไปเรื่อยๆ มันก็ถึงนะ แต่ถ้าไม่เริ่มก้าวเลย อยู่แต่กับบ้าน กิโลเมตรแรกก็คงไม่มี แล้วสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ หรือสิ่งที่เราต้องการแก้ไขปัญหามันเป็นสิ่งที่ดูเกินจริง การที่เราจะวิ่ง 400 กิโลเมตรตรงนี้ ผมว่ามันสอดคล้องกัน คือมันก็ดูเกินจริงมากเลยกับปัญหาที่เราต้องการเข้าไปเยียวยา ดูเป็นปัญหาที่ต้องใช้ความตั้งใจ เหมือนเป้าหมายแห่งความสำเร็จมันอยู่ไกลๆ มันเทียบเคียงได้กับ 400 กิโลเมตร เราต้องการก้าวเล็กๆ จากทุกคนนี่แหละมาช่วยกัน คนละ 5 บาท 10 บาท ก้าวเล็กๆ นี่แหละ มากองรวมกัน ก้าวต่อก้าว ทางไกลๆ มันก็ดูเป็นไปได้นี่หว่า ถ้าเราช่วยกันก้าวนะ อย่าปล่อยให้ใครก้าวคนเดียว มันไม่มีทางถึง
ถ้าให้พูดหนึ่งคำกับตูนที่วิ่งเข้าเส้นชัยในวันนั้นจะพูดอะไร
โอ๊ย ตอนวิ่งเข้าเส้นชัย น่าจะร้องไห้นะ ก็คงเป็นอีกวันหนึ่งในชีวิตที่น่าจะมีความสุข แล้วก็อยากจะมีเงินเยอะๆ บอกคุณหมอว่าหมอเอาไปเลย ผมทำให้แล้วครับ เอาไปเลย และได้ข่าวว่าวันนั้นก็จะมีคนจากบางสะพาน มีผู้ว่าฯ ประจวบฯ มาร่วมวิ่งต้อนรับเข้าเส้นชัยด้วยกัน คงเหมือน ฟอเรสต์ กัมป์ มีเด็กน้อย มีผู้เฒ่าผู้แก่ คนในตำบล ในอำเภอมาวิ่งด้วย อยากให้เราไปถึงวันนั้นได้ อืม แล้วจะทำมันทุกปี มีความสุขมากเลยตอนนี้ ความรู้สึกสุดท้ายคือตอนนี้มีความสุขมากเลยนะ
29-11-2016
http://themomentum.co/momentum-interview-athiwara-khongmalai