เอ่ยชื่อ “โรคตื่นตระหนก” หรือ “โรคแพนิก” หลายคนอาจจะไม่รู้จักโรคนี้ด้วยซ้ำ แต่ถ้าใครที่มีอาการวิตกกังวล กลัวอย่างรุนแรงฉับพลันทันใด มือสั่น ตัวสั่น หายใจขัด พูดไม่ออกต้องพูดต่อหน้าคนจำนวนมาก
เอ่ยชื่อ “โรคตื่นตระหนก” หรือ “โรคแพนิก” หลายคนอาจจะไม่รู้จักโรคนี้ด้วยซ้ำ แต่ถ้าใครที่มีอาการวิตกกังวล กลัวอย่างรุนแรงฉับพลันทันใด มือสั่น ตัวสั่น หายใจขัด พูดไม่ออก เวลาที่ต้องพูดต่อหน้าคนจำนวนมาก หรืออยู่ในที่คับแคบรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออก และมีอาการอีกสารพัด คุณอาจจะอยู่ในข่ายเป็นโรคตื่นตระหนกก็เป็นได้
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.วชิระ เพ็งจันทร์ รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข อธิบายว่า โรคตื่นตระหนกเป็นอาการป่วยทางจิตเวชอย่างหนึ่ง พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย อุบัติการณ์ในประเทศไทย จากโครงการสำรวจระบาดวิทยาสุขภาพจิตคนไทยปี พ.ศ. 2551 พบประมาณ 1.1% หรือประมาณ 7 แสนคน โดยพบมากในคนอายุระหว่าง 30-35 ปี
สาเหตุของโรคตื่นตระหนก ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดจากอะไร แต่สันนิษฐานว่า ส่วนหนึ่งอาจมีความผิดปกติทางพันธุกรรม และมีปัจจัยทางด้านร่างกายและจิตใจเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และอาจเกิดจากประสบการณ์ชีวิตด้านลบที่เกิดขึ้นในอดีต เช่น การสูญเสีย การพลัดพราก หรือกังวลว่าจะถูกพลัดพราก ถูกกระทบกระเทือนทาง จิตใจ เช่น ถูกทำร้าย ร่างกาย ถูกทารุณกรรมทางเพศ ส่วนใหญ่เหตุการณ์ด้านลบในชีวิตมักเกิดก่อนอายุ 15 ปี พอโตขึ้นประสบการณ์ ดังกล่าวก็ยังตามมาหลอกหลอนอยู่ หากเจอสิ่งเร้าหรือสิ่งกระตุ้นในลักษณะเดียวกันอาการอาจกำเริบได้
อาการ คือ รู้สึกวิตกกังวลหรือรู้สึกกลัวฉับพลันทันทีทันใด โดยผู้ป่วยอาจจะมีอาการ เช่น ตื่นเต้น ตัวสั่น ใจสั่น มือสั่น หายใจขัด หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก รู้สึกไม่สบาย คลื่นไส้ ท้องไส้ ปั่นป่วน มึนงง วิงเวียนศีรษะ มือเย็นเท้าเย็น ควบคุมตัวเองไม่ได้ เป็นลม รู้สึกเหมือนกำลังจะตาย โดยอาการดังกล่าวอาจเกิดขึ้นขณะอยู่คนเดียว หรืออยู่กับคนหมู่มากก็ได้ อาการมักจะเกิดประมาณ 10-30 นาที แต่ไม่เกิน 1 ชั่วโมง
โรคนี้เป็นแล้วไม่ถึงตาย แต่ในคนที่มีอาการรุนแรง หากไม่ไปพบแพทย์ หรือจิตแพทย์ เกิดอาการขึ้นบ่อย ๆ อาจส่งผลต่อการดำเนินชีวิตประจำวัน ทำให้ไม่กล้าอยู่คนเดียว ไม่กล้าออกจากบ้าน แยกตัวเองออกจากสังคม บางรายอาจมีอาการของโรคซึมเศร้าร่วมด้วย หรือในคนไข้บางรายทนทุกข์ทรมานไม่ไหว อาจหันไปพึ่งสุรา ยาเสพติด หรือยาที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ดังนั้นใครก็ตามที่มีอาการรุนแรงจนส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตควรไปปรึกษาแพทย์ หรือจิตแพทย์
การรักษาโรคนี้มี 2 วิธี คือ
1.การกินยา แพทย์จะให้ยาต่อต้านอาการตื่นตระหนก เช่น ยากล่อมประสาท ยาคลายเครียด หรือยารักษาโรคซึมเศร้า
2.แพทย์จะรักษาความคิด พฤติกรรมบำบัด เช่น ปรับความคิด ฝึกที่จะเผชิญกับสิ่งเร้าที่คนไข้กังวล นอกจากนี้อาจแนะนำให้ออกกำลังกาย ฝึกสมาธิ ผ่อนคลายความตึงเครียด ขณะเดียวกันคนไข้ควรหลีกเลี่ยงสารที่อาจไปกระตุ้นทำให้อาการกำเริบมากขึ้น เช่น เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือสารเสพติด
ในอดีตหมอเคยรักษาคนไข้คนหนึ่ง เป็นข้าราชการระดับเล็ก ๆ จนปัจจุบันไต่เต้ามีตำแหน่งสูงขึ้น ตอนนั้นคนไข้มีปัญหาเวลาพูดต่อหน้าคนหมู่มาก จะพูดไม่ออก พูดไม่ได้ จนมารับการรักษา คนไข้มีความมั่นใจสามารถพูดต่อหน้าคนหมู่มากได้ ซึ่งต้องขอเรียนว่า ในคนที่ป่วยและมีอาการรุนแรง จริง ๆ เวลาพูดต่อหน้าคนจำนวนมาก จะพูดไม่ออก พูดไม่ได้เลย แต่ในคนที่อาการเพียงเล็กน้อย แค่เสียงสั่น มือสั่น สามารถฝึกฝนทักษะในการพูดก็ไม่จำเป็นต้องกินยาหรือมาพบแพทย์ก็ได้
สิ่งที่หมออยากส่งสัญญาณไปยังประชาชนทุกคน คือ คนไข้ในบ้านเรามักจะไม่ไปพบแพทย์ จึงอยากย้ำว่า โรคนี้สามารถรักษาได้ คนไข้สามารถดำเนินชีวิตได้ตามปกติเหมือนคนทั่วไป และมีความก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้.
เดลินิวส์ 21 มิถุนายน 2552