คำตัดสินศาลสูงสุดสหรัฐ สิทธิทำแท้ง ที่ถูกลิดรอน
ศาลสูงสุดสหรัฐ ลงมติ 6 ต่อ 3 คว่ำ คำตัดสินคดี โรกับเวด (Roe v. Wade) ที่ศาลสูงสุดสหรัฐตัดสินเอาไว้เมื่อปี 1973 จากที่เคยเปิดทางให้ การทำแท้ง เป็นเรื่องที่ไม่ผิดกฎหมายในสหรัฐอเมริกา กลายเป็นว่าในเวลานี้ สิทธิทำแท้งของผู้หญิงอเมริกันกำลังถูก ลิดรอน ลงไป
คำตัดสินของศาลสูงสุดสหรัฐเมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา จากเดิมที่ทั้งประเทศมีสิทธิทำแท้งได้เท่ากับคำตัดสินในปี 1973 แต่นับจากนี้ รัฐแต่ละรัฐ ในสหรัฐอเมริกาสามารถออกกฎหมาย ห้าม การทำแท้งที่มีอายุครรภ์น้อยกว่า 12 สัปดาห์ หรือ เพิ่มความเข้มงวด สำหรับผู้หญิงตั้งครรภ์ที่ต้องการทำแท้งได้
คำตัดสินดังกล่าวส่งผลให้กลุ่มเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิในการทำแท้งของผู้หญิง หรือกลุ่ม โปรชอยส์ ออกมาชุมนุมประท้วงบนท้องถนนไปทั่วประเทศ และเกิดการถกเถียงกันอย่างดุเดือดในสังคมว่า ผู้หญิงมีสิทธิที่จะเลือกทำแท้งด้วยตัวเองได้หรือไม่?
คดี โรกับเวด (Roe v. Wade)
จุดเริ่มต้นของการการต่อสู้ทางสังคมครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นจากคดี โรกับเวด หรือคดีระหว่าง เจน โร และ เฮนรี เวด
เจน โร เป็นนามแฝงของ นอร์มา แม็คคอร์เวย์ หญิงโสดวัย 22 ปี ไม่มีงานทำ และกำลังตั้งท้องลูกคนที่ 3 ยื่นฟ้องต่อรัฐเท็กซัสในปี 1969
แม็คคอร์เวย์ต้องการทำแท้งแต่ รัฐเท็กซัส ที่อาศัยอยู่นั้นกลับมีกฎหมาย ห้ามทำแท้ง เว้นแต่จะเป็นกระบวนการเพื่อช่วยชีวิตมารดาเท่านั้น
ขณะที่ เฮนรี เวด เป็นอัยการจาก ดัลลัสเคาน์ตี้ รัฐเท็กซัส เป็นคู่กรณีของ แม็คคอร์เวย์ ซึ่งมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายของรัฐเท็กซัสอย่างเคร่งครัด นั่นส่งผลให้ แม็คคอร์เวย์ ดำเนินคดีฟ้องร้องต่อ เวด โดยอ้างว่า กฎหมายห้ามทำแท้ง ของรัฐเท็กซัสไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญซึ่งบัญญัติไว้ว่าให้คุ้มครองเสรีภาพของชาวอเมริกัน
ในคดีดังกล่าวองค์คณะผู้พิพากษา 3 คนของศาลแขวงของรัฐเท็กซัสไต่สวนคดีและวินิจฉัยให้แม็คคอร์เวย์ ชนะคดี ก่อนที่เวดจะยื่นอุทธรณ์ต่อศาลสูงสุดสหรัฐต่อไป
การต่อสู้คดีล่วงเลยมาถึงปี 1973 ศาลสูงสุดสหรัฐมีคำวินิจฉัยด้วยมติ 7-2 คุ้มครองสิทธิของ แม็คคอร์เวย์ ในการทำแท้งได้ โดยศาลสูงสุดให้สิทธิผู้หญิงอเมริกันสามารถตัดสินใจทำแท้งได้ในช่วง 1-3 เดือนแรกของการตั้งภรรภ์โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่รัฐสามาถจำกัดสิทธิบางอย่างได้ในการตั้งครรภ์ช่วง 4-6 เดือน และสามารถห้ามทำแท้งได้ในช่วงอายุครรภ์ 7-9 เดือนได้ เนื่องจากทารกใกล้คลอดและสามารถมีชีวิตอยู่นอกครรภ์มารดาได้แล้ว
แม้แม็คคอร์เวย์ที่สู้คดียาวนานถึงเกือบ 4 ปี ไม่ได้ทำแท้งตามที่ต้องการ โดยคลอดลูกสาวระหว่างการสู้คดีและยื่นเรื่องให้มีผู้รับอุปการะต่อไปแล้ว อย่างไรก็ตาม การต่อสู้ครั้งนี้ส่งผลให้กฎหมายเกี่ยวกับการทำแท้งที่แตกต่างกันไปในแต่ละรัฐ ต้องเป็นเป็นตามคำตัดสินของศาลสูงสุดที่ มีอำนาจวินิจฉัย ตีความประเด็นกฎหมายรัฐธรรมนูญที่บังคับใช้กับทุกรัฐในสหรัฐอเมริกานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
คดี ด็อบบ์กับแจ๊คสัน (Dobbs v. Jackson)
กลับมาที่คำตัดสินของศาลสูงสุดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา เป็นคดีที่มีชื่อว่า ด็อบบ์กับแจ๊คสัน โดย ด็อบบ์ คือชื่อของ โธมัส ด็อบบ์ นายแพทย์สาธารณสุขแห่งรัฐมิสซิสซิปปีในฐานะตัวแทนของรัฐมิสซิสซิปปี
ส่วน แจ๊คสัน คือชื่อคลินิกที่รับทำแท้งแห่งเดียวในรัฐ ที่ยื่นฟ้องต่อรัฐมิสซิสซิปปี ที่ในปี 2018 ออกกฎหมายห้ามทำแท้งหลังอายุครรภ์ 15 สัปดาห์ พร้อมกับมีข้อยกเว้นเพียงไม่กี่ข้อ ซึ่งไม่รวมถึงการถูกข่มขืนและการมีเพศสัมพันธ์ของผู้มีพันธุกรรมใกล้ชิดกันเข้าไปด้วย โดยคลินิกแจ๊คสันอ้างว่าการออกกฎหมายดังกล่าวของรัฐมิสซิสซิปปี เป็นการออกกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญสหรัฐ
คดีถูกตัดสินในศาลแขวงและศาลอุทธรณ์สหรัฐ ซึ่งให้คลินิกแจ๊คสัน ชนะคดี ทำให้กฎหมายของรัฐมิสซิสซิปปี เป็นโมฆะ แต่รัฐมิสซิสซิปปี้ก็ยื่นเรื่องให้ศาลสูงสุดสหรัฐตัดสินในคดีดังกล่าวแบบเดียวกับคดี โรกับเวด ต่างกันตรงที่ศาลรัฐธรรมนูญในปัจจุบันมีผู้พิพากษาสายอนุรักษนิยมในสัดส่วนมากกว่า
สุดท้ายศาลสูงสุดตัดสินด้วยคะแนนเสียง 6 ต่อ 3 เสียง ให้ฝั่ง ด็อบบ์ ชนะคดีทำให้คำตัดสินในคดี โรกับเวด เมื่อ 50 ปีก่อนเป็นโมฆะลงโดยปริยาย
เป็นที่ทราบกันดีว่า ศาลสูงสุดสหรัฐมีผู้พิพาษาที่มีแนวคิดอนุรักษนิยม 6 เสียงต่อผู้พิพากษาสายเสรีนิยม 3 เสียง ซึ่งสัดส่วนเอียงข้างดังกล่าวเกิดขึ้นในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน ที่สามารถแต่งตั้งผู้พิพากษาสายอนุรักษนิยมเข้าไปดำรงตำแหน่งได้มากถึง 3 คน จนฝั่งอนุรักษนิยมมีเสียงข้างมากเหนือผู้พิพากษาฝั่งเสรีนิยมถึง 2 เสียง
ไบเดนเผยจะเกิดปัญหาตามมา
โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ แสดงความเห็นเกี่ยวกับคำตัดสินในครั้งนี้โดยระบุว่า ผู้พิพากษาศาลสูงสุดที่ส่วนมากเป็นฝ่ายอนุรักษนิยม ได้แสดงให้เห็นถึงการขาดความเข้าใจในเสียงส่วนใหญ่ของสังคมอเมริกันอย่างมาก และว่าคำตัดสินดังกล่าวเป็น ความผิดพลาด
ไบเดนยืนยันว่า เรื่องนี้จะยังไม่จบ โดยรัฐบาลจะปกป้องสิทธิในการเข้าถึงการยุติการตั้งครรภ์ และสิทธิที่ผู้หญิงจะเดินทางไปเข้ารับการทำแท้งในรัฐที่อนุญาตให้ทำได้ ไม่เช่นนั้นจะเกิดผลร้ายตามมามากมาย เช่นอัตราการตายของแม่ระหว่างตั้งครรภ์จะพุ่งสูงขึ้น ขณะที่เหยื่อข่มขืนบางคนอาจต้องถูกบังคับให้อุ้มท้องลูกของอาชญากร เป็นต้น
ประธานาธิบดีสหรัฐระบุด้วยว่า กฎหมายคุ้มครองสิทธิการทำแท้งที่มีรากฐานจากคดี โรกับเวด นั้นเป็นหลักการที่ถูกต้องและสมดุล ซึ่งชาวอเมริกันทุกเชื้อชาติศาสนาให้การยอมรับมานาน เพราะมีทั้งการรับรองสิทธิส่วนบุคคลในร่างกายของผู้หญิง และยังเปิดโอกาสให้รัฐเข้าควบคุมการทำแท้งได้ตามความเหมาะสม แต่หลักการนี้ต้องถูกทำลายลงเมื่อมาถึงยุคทรัมป์ เนื่องจากสังคมอเมริกันถูกทำให้ขัดแย้งแตกแยกกันมากขึ้น
ไบเดนระบุว่า การตัดสิทธิของหญิงอเมริกันในครั้งนี้ เป็นความพยายามของฝ่ายอนุรักษนิยมที่มีมานานหลายทศวรรษ เพื่อที่จะทำให้ อุดมการณ์สุดโต่ง กลายเป็นนโยบายที่ถูกนำมาใช้จริงในที่สุด
จะเกิดอะไรขึ้นหลังคำตัดสิน?
สำหรับผลที่ตามมาจากคำตัดสินในครั้งนี้อาจส่งผลให้ 26 รัฐในสหรัฐอเมริกาฐานเสียงพรรครีพับลิกันที่มีนโยบายอนุรักษนิยม จะสามารถพิจารณาแก้ไขกฎหมายที่ให้สิทธิในการทำแท้งให้เข้มงวดมากขึ้น หรืออาจถึงขั้นออกกฎหมายห้ามทำแท้งในทุกกรณีตามมาได้
ขณะที่งานวิจัยของ Planned Parenthood องค์กรให้บริการยุติการตั้งครรภ์ระบุว่าคำตัดสินดังกล่าวอาจทำให้ผู้หญิงอเมริกันที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์จำนวนราว 36 ล้านคน จะไม่สามารถเข้าถึงบริการทำแท้งได้เลยหลังจากนี้
บทความในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สเองยอมรับว่า คำตัดสินของศาลสูงสุดสหรัฐจะส่งผลให้ผู้หญิงเสี่ยงที่จะต้องทำแท้งแบบผิดกฎหมายและอันตรายกับสุขภาพและชีวิตมากขึ้น
การเข้าถึงการทำแท้งอาจยังคงเข้าถึงได้สำหรับผู้หญิงในรัฐที่เป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครตที่มีนโยบายเสรีนิยม รวมไปถึงผู้หญิงที่มีเงินมากพอที่จะเดินทางไปทำแท้งในรัฐอื่น
แต่สำหรับผู้หญิงที่ยากจน โดยเฉพาะในรัฐที่เป็นฐานเสียงของพรรครีพับลิกันที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมแล้ว การเข้าถึงการทำแท้งนั้นจะเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่ง
ด้านผลสำรวจของ ซีเอ็นเอ็น เกี่ยวกับคำตัดสินของศาลสูงสุดสหรัฐนั้นก็มีผลที่น่าสนใจเมื่อพบว่ามีชาวอเมริกัน 30 เปอร์เซ็นต์ที่ต้องการให้ศาลสูงสุดคว่ำคำตัดสินคดี โรกับเวด ลง แต่ก็มีชาวอเมริกันอีกมากถึง 69 เปอร์เซ็นต์ที่คัดค้านคำตัดสินดังกล่าว
จากนี้ไปประเด็นเรื่อง สิทธิการทำแท้ง ของผู้หญิงในสหรัฐคงจะเป็นศูนย์กลางการต่อสู้ทางการเมืองในสหรัฐต่อไป โดยพรรครีพับลิกัน พรรคการเมืองสายอนุรักษนิยมที่สนับสนุนแนวคิด โปรไลฟ์ ซึ่งหมายถึงการคัดค้านการทำแท้งและสนับสนุนสิทธิของทารกในครรภ์ตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อน มองคำตัดสินของศาลสูงสุดครั้งนี้เป็นเหมือนกับชัยชนะ
ขณะที่พรรคเดโมแครตของประธานาธิบดีไบเดน ที่มีนโยบายแบบ โปรชอยส์ เองก็ยืนหยัดในจุดยืน และประกาศที่จะใช้การเลือกตั้งกลางเทอมในเดือนพฤศจิกายนนี้เป็นประเด็นสำคัญในการชี้วัดความต้องการของสังคมด้วยเช่นกัน
3 กรกฎาคม 2565
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3433918