ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 3-10 ก.พ.2556  (อ่าน 1173 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9799
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 3-10 ก.พ.2556
« เมื่อ: 19 กุมภาพันธ์ 2013, 00:55:35 »
  1. พระอาการ “ในหลวง” ดีขึ้น อาการบวมของพระชานุลดลง -ไม่เจ็บแล้ว!

       เมื่อวันที่ 4 ก.พ. สำนักพระราชวัง ออกแถลงการณ์ความคืบหน้าพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หลังทรงมีพระปรอท(ไข้) ต่ำๆ ในบางช่วง เสวยได้น้อยลง ทรงอ่อนเพลีย และเจ็บพระชานุ(เข่า) ซึ่งแพทย์ได้ถวายพระโอสถเสวย รักษาอาการอักเสบของพระชานุ พร้อมกราบบังคมทูลขอให้ทรงงดพระราชกิจสักระยะหนึ่งนั้น คณะแพทย์รายงานผลการตรวจพระวรกายเมื่อคืนวันที่ 3 ก.พ.ว่า ไม่ทรงมีพระอาการเจ็บพระชานุข้างขวาแล้ว แต่ยังเจ็บพระชานุข้างซ้ายอยู่บ้างเมื่อเคลื่อนไหว จึงได้ถวายพระโอสถเสวยแก้อักเสบ ต่อมา วันที่ 4 ก.พ. พระองค์ยังทรงเจ็บพระชานุข้างซ้ายอยู่ คณะแพทย์จึงได้ขอพระราชทานถวายฉีดพระโอสถรักษาการอักเสบเข้าในข้อพระชานุข้างซ้าย
       
       ทั้งนี้ คณะแพทย์เผยด้วยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังมีพระปรอทต่ำๆ การเต้นของพระหทัยและความดันพระโลหิตเป็นปกติ ยังมีพระอาการอ่อนเพลีย เสวยพระกระยาหารได้ดีขึ้น บรรทมได้ คณะแพทย์จะถวายพระโอสถเสวยรักษาการอักเสบของพระชานุข้างซ้ายต่อไป
       
       ล่าสุด เมื่อวันที่ 10 ก.พ. คณะแพทย์รายงานว่า ผลการตรวจพระโลหิตติดตาม พบว่า มีอาการอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย และผลการตรวจพระวรกายปรากฏว่า พระอาการบวมของพระชานุลดลง ไม่มีพระอาการเจ็บพระชานุ อุณหภูมิพระวรกายลดลง การเต้นของพระหทัย การหายพระทัย และความดันพระโลหิตเป็นปรกติ พระอาการอ่อนเพลียลดน้อยลง เสวยพระกระยาหารได้ บรรทมได้ คณะแพทย์ฯ ได้ถวายพระโอสถปฏิชีวนะฉีดรักษาการอักเสบร่วมกับพระโอสถเสวยรักษาพระชานุอักเสบต่อไปจนกว่าจะครบกำหนด
       
       2. ผู้สมัคร แห่ร้อง กกต.สั่งหยุดทำโพลผู้ว่าฯ กทม. เหตุชี้นำ ด้าน “มานิจ” ไขก๊อกนายกสภาฯ สวนดุสิต หลังรับไม่ได้สถาบันรับจ้าง รบ.จัดเสวนาฉีก รธน.!

       เมื่อวันที่ 3 ก.พ. สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ว่าใครนำใครตามในโค้งที่สอง โดยมีการถามว่า ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จะเลือกใคร ปรากฏว่า ร้อยละ 43.1 เลือก พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ขณะที่ร้อยละ 33.1 เลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้สมัครของพรรคประชาธิปัตย์
       
       ด้าน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย รีบออกมาคุยโวว่า มั่นใจว่า พล.ต.อ.พงศพัศชนะแล้ว หากตนวิเคราะห์ผิด จะงดให้สัมภาษณ์ 7 วัน
       
       ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พูดถึงผลโพลที่ พล.ต.อ.พงศพัศ นำ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ว่า การทำโพลก็มีถูกบ้าง ผิดบ้าง และทำให้รู้ว่า ต้องทำงานกันหนัก พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ในการเลือกตั้งใหญ่พื้นที่ กทม.2 ครั้งที่ผ่านมา รวมทั้งการเลือกตั้งผู้ว่าฯ สมัยนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงสัปดาห์สุดท้าย โพลบอกว่า ปชป.แพ้ และการเลือกตั้งใหญ่ เอ็กซิทโพลก็บอกว่า ปชป.แพ้ แต่ปรากฏว่า ปชป.ได้เสียงข้างมากใน กทม.
       
       ทั้งนี้ ได้มีผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.หลายคน ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อ กกต.กทม.ให้สั่งระงับหรือว่ากล่าวตักเตือนไม่ให้โพลสำนักต่างๆ เผยแพร่ผลการสำรวจการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ในทุกกรณี เพราะเป็นการสร้างกระแสและชี้นำให้ผู้สมัครบางคน
       
       อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ กกต.กทม.จะพิจารณาเรื่องร้องเรียนดังกล่าว ปรากฏว่า ได้มีผลโพลของสำนักต่างๆ ทยอยออกมาอีก โดยกรุงเทพโพลล์ เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนช่วงก่อนโค้งสุดท้ายศึกชิงชัยผู้ว่าฯ กทม.เมื่อวันที่ 6 ก.พ. โดยถามว่า หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง จะเลือกใครเป็นผู้ว่าฯ กทม. พบว่า อันดับแรกคือ พล.ต.อ.พงศพัศ ร้อยละ 35.2 รองลงมาคือ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ร้อยละ 28.3 ขณะที่อีกร้อยละ 24.7 ยังไม่ตัดสินใจ
       
       วันต่อมา(7 ก.พ.) อีก 2 สำนัก ก็เผยผลโพลอีก เริ่มด้วยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต สำรวจพบว่า ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ที่คนกรุงเทพฯ จะเลือกอันดับ 1 คือ พล.ต.อ.พงศพัศ ร้อยละ 42.59 อันดับ 2 ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ร้อยละ 34.31 ขณะที่สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ สำรวจพบว่า ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. จะเลือก พล.ต.อ.พงศพัศ ร้อยละ 42.0 เลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ร้อยละ 33.5
       
       ด้านนายประพันธ์ นัยโกวิท กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง พูดถึงการทำโพลของสำนักต่างๆ ว่า กฎหมายเลือกตั้งท้องถิ่นไม่ได้ห้ามทำโพล กกต.จึงไม่มีอำนาจที่จะไปสั่งห้ามหรือสั่งระงับได้ มีเพียงประกาศ กกต.ที่มีลักษณะขอความร่วมมือว่าไม่ควรเปิดเผยผลโพลในช่วง 7 วันก่อนเลือกตั้ง ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ที่บัญญัติห้ามไว้อย่างชัดเจน และมีโทษทางอาญาหากมีการฝ่าฝืน
       
       ทั้งนี้ ได้มีนักวิชาการบางคนยืนยันว่า โพลสามารถชี้นำประชาชนได้ โดยนางสิริพรรณ นกสวน สวัสดี รองศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า โพล ในแง่จิตวิทยาเป็นการชี้นำประชาชนอยู่แล้ว เพราะคนจำนวนหนึ่งอยากเลือกคนที่ชนะ อยากอยู่ข้างคนที่ชนะ แต่ไม่ได้เป็นตัวแปรในการชี้ขาดการเลือกตั้ง และว่า ไม่แน่ใจว่า ประชาชนที่โพลไปถามเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. เป็นตัวแทนของคน กทม.หรือไม่ หากโพลไม่ได้ถามคนที่บ้านมีรั้ว ซึ่งเป็นชนชั้นกลางที่ไม่ได้เป็นชนชั้นกลางใหม่ ผลโพลที่ออกมาว่า พล.ต.อ.พงศพัศ คะแนนนำ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ อาจไม่สะท้อนความเป็นจริง “คนที่จะเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ คือแฟนพันธุ์แท้ของ ปชป.ที่จำนวนหนึ่งอาจจะเป็นพลังเงียบที่โพลเข้าไม่ถึง หรือที่เรียกว่า ‘คนบ้านมีรั้ว’ หากคนเหล่านี้ออกมาใช้สิทธิกันเยอะ อาจจะทำให้โพลของสำนักต่างๆ พลิกได้”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การทำโพล โดยเฉพาะของสวนดุสิตโพล ว่ารับจ้างรัฐบาลมาทำหรือไม่ เนื่องจากนายมานิจ สุขสมจิตร ได้ยื่นหนังสือลาออกจากการเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2556 โดยนายมานิจเผยเหตุที่ลาออก ทั้งที่ดำรงตำแหน่งดังกล่าวมานานกว่า 30 ปีว่า เพราะตนมีจุดยืนต่างกับทางมหาวิทยาลัย ที่ขณะนี้ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งตนคิดว่ามหาวิทยาลัยไม่ควรเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมือง เพราะการเมือง มาแล้วก็ไป แต่มหาวิทยาลัยต้องอยู่กับทุกรัฐบาล พร้อมเผยว่า ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ตนตัดสินใจลาออก คือเรื่องการทำโพล ที่ถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหู แต่ไม่ขอลงรายละเอียดว่าเป็นอย่างไร
       
       นายมานิจ ยังยกตัวอย่างกรณีที่มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิตเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง ซึ่งตนรับไม่ได้ว่า คือการที่มหาวิทยาลัยไปรับจัดทำ 108 เวที เสวนาแก้รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นการปลุกระดมให้มีการฉีกรัฐธรรมนูญทิ้ง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ได้ออกมาพูดว่า จะให้มีการเกณฑ์คนมาฟัง พร้อมระบุว่า คนโง่ไม่ต้องมาร่วมเวทีเสวนา ซึ่งเรื่องนี้ตนคิดว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีอยู่แล้ว เป็นการป้องกันไม่ให้โกงชาติ โกงแผ่นดิน
       
       3. “สุเทพ” ส่งทนายฟ้อง “ธาริต” หมิ่นฮั้วประมูลโครงการสร้างโรงพัก ยัน ไม่เคยทุจริต ด้าน “ธาริต” ส่ออุ้ม “พงศพัศ”!

       ความคืบหน้าปัญหาโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ(ทดแทน) จำนวน 396 แห่งมูลค่า 5,818 ล้านบาท เกิดความล่าช้าในการก่อสร้าง จนคาดว่าจะสร้างเสร็จไม่ทันตามสัญญาที่จะสิ้นสุดในวันที่ 14 มี.ค.นี้ โดยบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด คู่สัญญา ได้ขอขยายสัญญามาแล้วถึง 3 ครั้งนั้น เมื่อวันที่ 4 ก.พ. คณะกรรมการติดตามการดำเนินการโครงการดังกล่าว ที่มี พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน ได้ประชุมพร้อมเชิญนักกฎหมายและบริษัทคู่สัญญามาให้ข้อมูล ก่อนเปิดแถลงว่า บริษัทคู่สัญญายืนยันว่า การก่อสร้างจะเสร็จไม่ทันกำหนดในวันที่ 14 มี.ค.แน่นอน และตำรวจมีหลักฐานว่ามีบริษัทรับเหมามารับช่วงต่อจากบริษัท พีซีซีฯ หลายแห่ง ดังนั้น คณะกรรมการมีมติเสนอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติยกเลิกสัญญา “หลังจากนี้จะหารือกับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้ตัดสินใจว่า ต้องการแบบปลอดภัย 100% คือรอให้หมดสัญญาก่อนบอกยกเลิก หรือบอกเลิกแบบเร็ว ตรงนี้จะมีข้อต่อสู้ เพราะเขายังเหลือเวลาอยู่ โดยปัญหาสำคัญเป็นเรื่องสัญญา ที่สัญญาเดียวทั่วประเทศและห้ามจ้างช่วงต่อ”
       
       วันเดียวกัน(4 ก.พ.) นายพิบูลย์ อุดมสิทธิกุล ประธานกรรมการบริษัทในกลุ่มพีซีซีฯ ได้เข้าชี้แจงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติถึงสาเหตุที่การก่อสร้างโรงพักล่าช้าว่า บริษัทเคยทำหนังสือร้องเรียนถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ เพื่อขอให้แยกประมูลการก่อสร้างโครงการดังกล่าวเป็นแบบรายภาค ไม่ใช่รวมสัญญา ส่วนการจ้างเหมาช่วง นายพิบูลย์ยืนยันว่า ไม่ใช่ข้อห้ามตามสัญญา แต่ต้องได้รับอนุมัติจากผู้ว่าจ้าง นอกจากนี้การปฏิบัติงานภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเองก็เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของบริษัทอย่างยิ่ง เช่น ขั้นตอนตรวจรับงานจนถึงการเบิกจ่าย ใช้เวลานานมาก จึงส่งผลให้การก่อสร้างล่าช้าออกไป
       
       ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) รีบแถลงอนุมัติให้มีการสอบสวนเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ โดยบอก อาจเข้าข่ายผิดตาม พ.ร.บ.ฮั้วประมูล ทั้งนี้ นายธาริต ได้ทำหนังสือเชิญอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) 3 คน เข้าให้ปากคำเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างโรงพัก 396 แห่ง โดยเชิญ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เข้าให้ปากคำในวันที่ 11 ก.พ. ,พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ วันที่ 13 ก.พ. และ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี วันที่ 15 ก.พ. รวมทั้งจะเชิญนายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้าชี้แจงด้วย
       
       ขณะที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นหนังสือให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงินของบริษัท พีซีซีฯ ข้าราชการ และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างโรงพัก 396 แห่ง ที่เกิดปัญหาผู้รับเหมาะก่อสร้างไม่ทัน และละทิ้งงาน ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหาย
       
       ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะอดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้เปิดแถลง(7 ก.พ.) โดยปฏิเสธว่า ไม่ได้ทุจริตออกคำสั่งให้มีการประมูลจัดจ้างโครงการก่อสร้างโรงพักในลักษณะเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายเดียว และกีดกันเอกชนรายอื่น ที่อาจเข้าข่ายผิดตามกฎหมายฮั้วประมูล และว่า ได้มอบหมายให้ทนายความไปยื่นฟ้องนายธาริตต่อศาลอาญา ฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาแล้ว
       
       ทั้งนี้ นายสุเทพ เล่าว่า โครงการดังกล่าวเริ่มมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน โดย ครม.ขณะนั้นมีมติเมื่อวันที่ 6 พ.ย.2550 อนุมัติให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ โดยให้ สตช.และบริษัท ธนารักษ์พัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ร่วมกันก่อสร้าง แต่คณะกรรมการที่ สตช.ตั้งขึ้นเห็นว่า หากทำตามมติ ค่าใช้จ่ายในโครงการจะสูงถึง 17,000 กว่าล้าน สตช.จึงเสนอ ครม.พิจารณาใหม่ว่า ขอใช้วิธีตั้งงบประมาณประจำปีตามปกติ ซึ่งจะใช้วงเงิน 6,672 ล้านบาท และว่า ช่วงนั้นเป็นช่วงรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เป็นนายกฯ และตนดูแล สตช.จึงอนุมัติและเสนอ ครม.พิจารณาในวันที่ 17 ก.พ.2552 จากนั้น สตช.ที่มี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็น ผบ.ตร.ได้ทำหนังสือถึงตน เสนอแนวทางจัดจ้างโครงการดังกล่าว โดยขอให้ส่วนกลาง โดย สตช.จัดจ้างแบบรวมรายการครั้งเดียว และแยกเสนอรายการเป็นรายภาค 1-9 และให้กองพลาธิการและสรรพาวุธ เป็นผู้ดำเนินการ และได้ให้ความเห็นชอบในวันที่ 9 มิ.ย.2552 หลังจากนั้นจึงเป็นเรื่องที่ สตช.ไปดำเนินการประกวดราคา “โดยส่วนตัวเชื่อว่า พล.ต.อ.พัชรวาทไม่เกี่ยวข้อง และส่วนตัวมีความเชื่อถือ พล.ต.อ.ปทีป การประมูลจัดซื้อจัดจ้างไปสิ้นสุดลงที่สมัย พล.ต.อ.วิเชียร ได้ยืนยันว่าทำถูกต้อง จึงเป็นหน้าที่ของ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีต ผบ.ตร.จะต้องบริหารสัญญา เชื่อว่าเรื่องทั้งหมดเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคประชาธิปัตย์”
       
       ขณะที่นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ตั้งข้อสังเกตการทำงานของนายธาริต เพ็งดิษฐ อธิบดีดีเอสไอว่า “น่าแปลก นายาริตจะเรียก 3 อดีต ผบ.ตร.สมัย ปชป.เป็นรัฐบาลมาให้ปากคำ แต่กลับไม่เรียก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ เข้าให้ปากคำ ทั้งที่เป็นผู้กำกับบริหารสัญญาโครงการนี้ 1 ปีกว่า ถือว่านานที่สุดในบรรดาอดีต ผบ.ตร. หรือว่ากลัวคนนามสกุลดามาพงศ์ และเหตุใดจึงไม่เรียก พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.มาให้ปากคำ” <.b>
       
       นายชวนนท์ ได้เรียกร้องให้นายธาริตเรียก พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคเพื่อไทย มาให้ปากคำด้วย เพราะมีเอกสารระบุชัดเจนว่า พล.ต.อ.พงศพัศ ขณะเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร.เป็นประธานกรรมการจัดทำร่างทีโออาร์โครงการดังกล่าว เพื่อพิสูจน์ว่าดีเอสไอไม่ได้ใช้คดีนี้กลั่นแกล้งหรือหวังผลทางการเมือง นายชวนนท์ ยังจับพิรุธรัฐบาลนี้ด้วยว่า “หากรัฐบาลนี้เห็นว่า การก่อสร้างดังกล่าวไม่เป็นไปตามสัญญา เหตุใดจึงไม่ยกเลิกสัญญา แต่กลับอนุมัติให้ต่ออายุสัญญาถึง 3 ครั้ง รวม 180 วัน หากไม่ต่อสัญญา บริษัท พีซีซีฯ จะต้องจ่ายค่าปรับวันละ 5.8 ล้านบาท รวม 180 วัน ทำให้รัฐเสียหายถึง 1,026 ล้านบาท อยากถามว่า อย่างนี้ฮั้วกันหรือไม่ ใครในรัฐบาลหรือในพรรคเพื่อไทยเอื้อต่อการต่อสัญญาหรือไม่”
       
       ด้านนายธาริต ส่งสัญญาณอุ้ม พล.ต.อ.พงศพัศ โดยบอกว่า ที่บอกว่า พล.ต.อ.พงศพัศต้องรับผิดด้วย เพราะทำทีโออาร์นั้น อยากบอกว่า การกระทำหลังจากอนุมัติให้รวมสัญญา ซึ่งเป็นต้นตอของความผิดนั้น เป็นหน้าที่ของข้าราชการประจำที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่อ “การเหมาเข่งว่า ผิดหมดคงไม่ใช่ เพราะถ้าไม่รวมสัญญา ซึ่งเป็นต้นตอของความผิดแล้ว พวกเขาจะทำผิดได้อย่างไร เรื่องนี้ต้องรอดูตอนจบ บางทีพวกเขาเหล่านั้นอาจจะได้รับผลจากการอนุมัติสัญญากลายเป็นผู้เสียหายเช่นกัน”
       
       ขณะที่นายชวนนท์ ได้ออกมาย้ำอีกครั้งว่า ความเสียหายของโครงการก่อสร้างโรงพัก 396 แห่ง เกิดจาก 1.รัฐบาลนี้ไม่สามารถบริหารสัญญาการก่อสร้างให้เป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาว่าจ้าง 2.รัฐบาลพรรคเพื่อไทย มีการอนุมัติให้ต่อสัญญากับบริษัท พีซีซีฯ ถึง 3 ครั้ง ทำให้ไม่สามารถเก็บค่าปรับจากบริษัทดังกล่าวได้ 3.รัฐบาลไม่สามารถบริหารงานให้เป็นไปตามเงื่อนไข โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติไม่สามารถส่งมอบพื้นที่การก่อสร้างโรงพักกว่า 30% ให้กับบริษัทตามเงื่อนไขการก่อสร้าง จึงเป็นเหตุให้บริษัทนำมาเป็นข้ออ้างขอต่อสัญญาและไม่จ่ายค่าปรับให้แก่ทางราชการ และ 4.ทีโออาร์ ซึ่งลงนามในปี 2552 โดย พล.ต.อ.พงศพัศ ระบุชัด ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติสามารถจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่ผู้รับเหมา ไม่ว่าจะเป็นรายใดที่ได้รับการประมูล 15%
       
       4. โจรใต้ ลอบคาร์บอมบ์ จนท.ที่ยะลา ก่อนจ่อยิงซ้ำ ทำทหารดับ 5 สาหัส 1 ด้าน รบ.ส่งสัญญาณประกาศเคอร์ฟิว!
       
       เมื่อวันที่ 10 ก.พ. เวลาประมาณ 07.00น. คนร้ายได้ลอบวางระเบิดคาร์บอมบ์บนถนนสายบ้านซาเมาะ-บ้านท่าธง ต.ท่าธง อ.รามัน จ.ยะลา ส่งผลให้รถของเจ้าหน้าที่ทหารสังกัด ร้อย ร.15233 ฉก.ยะลา 12 ซึ่งขับผ่านจุดดังกล่าวถูกแรงระเบิดพังยับ ขณะที่เจ้าหน้าที่เสียชีวิต 5 นาย ทราบชื่อคือ ส.อ.ธีรยุทธ บุญเตโช ,พลทหารอิสหะ บาโง๊ย ,พลทหารพงษ์เทพ ผักหมัด ,พลทหารทรงชัย สุวรรณมณี และพลทหารนุลดี รีเส็น นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่บาดเจ็บสาหัสอีก 1 นาย คือ จ.ส.ต.ชาตรี อุทาหรณ์ หัวหน้าชุด
       
        หลังตำรวจ สภ.ท่าธง อ.รามัน เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ คาดว่าน่าจะเป็นระเบิดแสวงเครื่องน้ำหนักประมาณ 50 กก. จุดชนวนด้วยรีโมตคอนโทรลที่คนร้ายติดตั้งไว้ในรถกระบะยี่ห้อมาสด้า สีเทา ติดแผ่นป้ายทะเบียนปลอม บฉ 6896 ปัตตานี ทั้งนี้ จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า เหตุเกิดขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารทั้ง 6 นาย เดินทางด้วยรถยนต์ 6 ล้อ ไปรับคนงานของฟาร์มตัวอย่าง เพื่อไปส่งที่ฟาร์มตัวอย่าง หมู่ 4 บ้านอูเป๊าะ ต.วังพญา อ.รามัน เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุ คนร้ายซึ่งน่าจะซุ่มอยู่ข้างถนน ได้จุดชนวนระเบิดที่เชื่อมต่อกับรถกระบะคาร์บอมบ์ที่จอดไว้ริมถนน ส่งผลให้เกิดระเบิดขึ้นทันที แรงระเบิดทำให้รถของทหารพลิกคว่ำ จากนั้นได้มีคนร้ายอีกกลุ่มไม่ต่ำกว่า 6 คน แต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ทหารพรานขับรถกระบะอีซูซูสีเขียว รุ่นดราก้อนอาย ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน มาจอดที่เกิดเหตุ แล้วลงจากรถไปจ่อยิงเจ้าหน้าที่ทหารทั้ง 5 นาย จนเสียชีวิต ก่อนจะหยิบอาวุธปืนประจำกายของทหารทั้ง 5 นาย รวม 5 กระบอก หลบหนีไป
       
        เหตุระเบิดครั้งนี้ เบื้องต้นเจ้าหน้าที่เชื่อว่า เป็นฝีมือของกลุ่มนายอับดุลรอฮิง ดาอีซอ หรืออุสตาซรอฮิง อาซ่อง และนายมะดารี ตาเยะ พร้อมพวก ซึ่งเคลื่อนไหวก่อเหตุรุนแรงอยู่ในพื้นที่ สำหรับรถกระบะที่คนร้ายนำมาเป็นคาร์บอมบ์ คาดว่า เป็นรถของนายสมศักดิ์ ขวัญมา ครูโรงเรียนบ้านบาโง ต.ปานัน อ.มายอ จ.ปัตตานี ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต แล้วนำรถหลบหนีไปเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.ที่ผ่านมา
       
        ด้านรัฐบาลกำลังพิจารณาว่าจะประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ แต่ยังไม่ทันได้ข้อสรุป ก็เกิดความขัดแย้งระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้(ผอ.ศปก.กปต.) ที่อยากให้ประกาศเคอร์ฟิวในพื้นที่เสี่ยง แต่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่เห็นด้วย เพราะอยากให้ฟังเสียงประชาชนในพื้นที่ว่าต้องการให้ประกาศหรือไม่
       
        ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม บอกว่า กำลังคิดว่า ตรงไหนที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยแล้ว หรือโซนเขียว ให้ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงแทน ตรงไหนอันตรายก็ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตรงไหนพื้นที่สีแดงหรืออันตรายมากให้ใช้เคอร์ฟิว เช่น อ.กรงปินัง จ.ยะลา และใน จ.ปัตตานี ร.ต.อ.เฉลิม ยังพูดเหน็บ พล.อ.อ.สุกำพล ด้วยว่า “ผมยังไม่ได้บอกว่า จะประกาศ ทีนี้ พล.อ.อ.สุกำพลฟิตเกินไป ผมฝากบอก พล.อ.อ.สุกำพลด้วยว่า ถ้าเก่ง ก็ไปขอนายกฯ มาทำหน้าที่แทนผม เพราะผมไม่ใช่ทหาร ผมเป็นตำรวจ... ถ้าเก่งจริงก็ไปขอนายกฯ มาทำหน้าที่แทนผม ผมจะกราบงามๆ 3 ที...”
       
        ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล บอกว่า การจะประกาศเคอร์ฟิวหรือไม่ ขึ้นอยู่กับที่ประชุม ศปก.กปต.ในวันที่ 15 ก.พ. หากมติที่ประชุมเห็นว่า มีความเหมาะสมก็ว่ากันไป ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว “ผมมีแค่หนึ่งเสี่ยงที่ดูแลในพื้นที่ภาคใต้ ตัดสินใจเพียงคนเดียวไม่ได้ ต้องพูดคุยกับหลายฝ่ายถึงความเหมาะสม แต่สิ่งสำคัญมากที่สุดคือ ต้องฟังคนที่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ว่า จะเห็นด้วยกับการประกาศเคอร์ฟิวหรือไม่... หากไม่ฟังอาจจะทำให้เกิดปัญหาได้”
       
        ขณะที่ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 บอกว่า หากรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว ก็พร้อมปฏิบัติตาม แต่คงไม่ต้องรวบรวมข้อมูลผลดีผลเสียในการประกาศเคอร์ฟิวเสนอที่ประชุม ศปก.กปต. เพราะทุกคนรู้ข้อมูลหมดแล้ว พล.ท.อุดมชัย ยังเผยข้อมูลที่สะท้อนว่า ร.ต.อ.เฉลิมรู้ไม่จริงด้วยว่า กรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิมระบุว่ามีแนวโน้มจะประกาศเคอร์ฟ้วในพื้นที่เสี่ยง เช่น อ.กรงปินัง จ.ยะลา และ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี นั้น ยืนยันว่า พื้นที่ดังกล่าวไม่มีสถานการณ์อะไร มีความสงบเรียบร้อยมาไม่รู้กี่ปีแล้ว นานๆ จึงจะมีเหตุสักครั้ง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    11 กุมภาพันธ์ 2556