5.จนท.รวบต่างชาติเอี่ยวบึ้มราชประสงค์-สาทรได้ 2 รายแล้ว ออกหมายจับ 8 พบหญิงไทยเกี่ยวโยง!
ความคืบหน้ากรณีตำรวจและทหารได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นห้องพักภายในพูลอนันต์อพาร์ตเมนต์ ย่านหนองจอก กทม.เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ก่อนจับกุมชายต่างชาติได้ 1 คน พร้อมของกลางอุปกรณ์และวัตถุที่ใช้ประกอบระเบิดจำนวนมากภายในห้องพัก โดยเฉพาะลูกปรายแบบกลมขนาด 0.5 ซม.ซึ่งเป็นชนิดและขนาดเดียวกับที่พบที่ศาลท้าวมหาพรหมและท่าเรือสาทร นอกจากนี้ยังพบพาสปอร์ตปลอมกว่าร้อยเล่ม โดยเล่มหนึ่งระบุว่า ผู้ต้องหาเป็นหนุ่มสัญชาติตุรกี ชื่อนายอาเดม คาราดัก อายุ 28 ปี แต่ภายหลังทราบว่าเป็นชื่อปลอม โดยเจ้าตัวให้การว่า ชื่อนายบิลาเติร์ก มูฮัมหมัด อายุ 29 ปี พูดภาษาไทยได้เล็กน้อย ภาษาอังกฤษได้ แต่ชุดสืบสวนเชื่อว่าเป็นชาวอาหรับหรือแขกขาว เพราะพูดอาหรับได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งนี้ นายบิลาเติร์กยอมรับว่า เป็นเจ้าของอุปกรณ์ประกอบระเบิดทั้งหมดที่พบในห้องพัก แต่ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่ท้าวมหาพรหมและท่าเรือสาทร
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้สอบขยายผล ก่อนนำกำลังเข้าตรวจค้นหอพักไมมูณา การ์เด้นโฮม ย่านมีนบุรี หลังจากผู้ต้องหาระบุว่าเป็นจุดซุกซ่อนระเบิด ผลการตรวจค้น พบวัตถุประกอบระเบิด เช่น ปุ๋ยยูเรีย ดินเทา ฯลฯ แต่ไม่พบเจ้าของห้องพัก คือนางวรรณา สวนสัน หรือนางไมซาเราะห์ แต่พบพยานหลักฐานว่ามีความเชื่อมโยงกับผู้ต้องหาที่พูลอนันต์อพาร์ตเมนต์ และทั้ง 2 กลุ่มเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดอย่างแน่นอน นอกจากนี้มีรายงานว่า กลุ่มพรรคพวกของ น.ส.วรรณาเคยมาค้างและมาหาที่ห้องเช่าดังกล่าวอีก 4-5 คน
ทั้งนี้ ตำรวจเชื่อว่า ผู้เกี่ยวข้องกับการวางระเบิดครั้งนี้ ไม่ใช่การก่อการร้ายสากล แต่น่าจะเป็นความแค้นส่วนตัวของแก๊งค้าชาวอุยกูร์ที่แค้นเพราะถูกตำรวจกวาดล้างจับกุม ทำให้สูญเสียผลประโยชน์ จึงวางแผนก่อเหตุระเบิด
ต่อมา(31 ส.ค.) ตำรวจได้ขอศาลมีนบุรีออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดเพิ่มอีก 2 ราย คือ น.ส.วรรณา สวนสัน หรือนางไมซาเราะห์ อายุ 26 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ อ.คุระบุรี จ.พังงา ที่เป็นผู้เช่าห้องพักที่ไมมูณา การ์เด้นโฮม และชายไม่ปรากฏชื่อและสัญชาติอีก 1 คน ที่แวะเวียนมาพักอาศัยด้วยบ่อยๆ หลังออกหมายจับ ตำรวจและทหารได้เดินทางไปบ้าน น.ส.วรรณาที่ จ.พังงา แต่ไม่พบตัว จึงขอให้พ่อ-แม่และญาติๆ เกลี้ยกล่อมให้ น.ส.วรรณามอบตัวโดยเร็ว หากมั่นใจว่าไม่เกี่ยวข้องและเพื่อความปลอดภัยของ น.ส.วรรณาเอง ขณะที่แหล่งข่าวใกล้ชิดผู้ต้องหายืนยันว่า ก่อนหน้าไม่เกิน 1 สัปดาห์ เห็น น.ส.วรรณา เดินทางกลับมาที่บ้าน อ.คุระบุรี หลังจากหายหน้าไปจากหมู่บ้านเป็นเวลานาน เนื่องจากไปอาศัยอยู่กับสามีชาวตุรกีที่กรุงเทพฯ
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา น.ส.วรรณา ได้ให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศผ่านทางโทรศัพท์ โดยบอกว่า ตนอาศัยอยู่ที่เมืองไคเซรีของตุรกีกับสามี และว่า เพิ่งกลับจากไทยเมื่อ 3 เดือนก่อน พร้อมยอมรับว่า เคยไปที่อพาร์ตเมนต์ไมมูณา การ์เด้นโฮม นานกว่า 1 ปีแล้ว โดยเช่าห้องเพื่อให้เพื่อนสามีพัก แต่ไม่ทราบว่ามีใครเข้าพักบ้าง
เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งย้าย พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ ผู้กำกับการด่านตรวจคนเข้าเมือง(ตม.) สระแก้ว พร้อมเจ้าหน้าที่ในสังกัดรวม 6 นาย มาช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีรายงานว่า การสั่งย้ายครั้งนี้มีขึ้นหลังฝ่ายความมั่นคงสืบทราบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบนำชาวอุยกูร์เข้ามาในประเทศ และโยงใยกับขบวนการก่อเหตุระเบิดที่ราชประสงค์และท่าเรือสาทร ไม่เพียง ตม.สระแก้วจะถูกย้าย แต่ตำรวจชั้นสัญญาบัตรและชั้นประทวนของ สน.หนองจอกและ สน.มีนบุรี รวม 16 นาย ยังถูก พล.ต.ต.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 3(บก.น.3) สั่งย้ายไปปฏิบัติราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการ บก.น.3 ด้วย หลังจากมีการรวบผู้ต้องหาเกี่ยวโยงระเบิดในอพาร์ตเมนต์พื้นที่ดังกล่าว
ต่อมา(1 ก.ย.) ตำรวจได้ขอศาลมีนบุรีออกหมายจับผู้ต้องหาเกี่ยวโยงระเบิดเพิ่มอีก 3 ราย เป็นชายชาวตุรกี ประกอบด้วย 1.นายอาลิ โจลัน 2.นายอาฮ์เม็ด โบซองแลน และ 3.ชายชาวตุรกี ไม่ทราบชื่อ ข้อหาร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
วันเดียวกัน(1 ก.ย.) เจ้าหน้าที่รวบตัวชายชาวต่างชาติผู้ต้องสงสัยเกี่ยวพันเหตุระเบิดได้อีก 1 รายที่ด่านความมั่นคงทหารและตำรวจ ต.ป่าไร่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ขณะเตรียมจะหลบหนีไปยังประเทศกัมพูชา เบื้องต้นชายดังกล่าวถือพาสปอร์ตประเทศจีน ระบุชื่อ นายยูซุฟู มีไรลี จากมณฑลซินเจียง ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของชาวอุยกูร์ในประเทศจีน ทั้งนี้ ชายดังกล่าวมีใบหน้าคล้ายชายในภาพสเก็ตช์ที่ใส่เสื้อเหลืองและนำเป้บรรจุระเบิดไปวางในรั้วศาลท้าวมหาพรหม แต่จากการตรวจสอบภายหลัง พบว่าไม่ใช่คนเดียวกัน แต่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น โดยขณะเกิดเหตุระเบิด นายยูซุฟูอยู่ที่ราชประสงค์ด้วย นอกจากนี้ยังตรวจพบดีเอ็นเอและลายนิ้วมือของนายยูซุฟูปรากฏอยู่ในห้องพักที่พูลอนันต์อพาร์ตเมนต์เช่นกัน
วันต่อมา(2 ก.ย.) ตำรวจได้ขอศาลมีนบุรีออกหมายจับนายเอ็มระห์ ดาวูโตกลู ชาวตุรกี สามี น.ส.วรรณา ข้อหาร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยเชื่อว่าอยู่ในขบวนการก่อเหตุระเบิดในกรุงเทพฯ ทั้งนี้ วันเดียวกัน น.ส.สุดา สวนสัน พี่สาว น.ส.วรรณา กล่าวว่า เชื่อว่าน้องสาวจะมอบตัวในสัปดาห์หน้า แต่ญาติพี่น้องห่วงความปลอดภัยของ น.ส.วรรณา จึงอยากให้ทหารเป็นคนไปรับตัว น.ส.วรรณาจากเครื่องบินมากกว่าตำรวจ เพราะกลัวตำรวจไม่ให้ความเป็นธรรม
นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ยังได้จับกุมผู้ต้องสงสัยเพิ่มอีก 1 รายที่ ต.ปาเสมัส จ.นราธิวาส เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับเครือข่าย น.ส.วรรณา ทราบชื่อคือ นายกามารุเด็ง สาเหาะ อายุ 38 ปี โดยถูกนำตัวไปควบคุมไว้ที่กองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 เป็นเวลา 7 วัน ส่วนนายบิลาเติร์ก ผู้ต้องหารายแรกที่ถูกควบคุมตัวจากพูลอนันต์อพาร์ตเมนต์นั้น หลังจากทหารควบคุมตัวครบ 7 วัน ได้นำตัวส่งมอบให้ตำรวจนครบาลดำเนินการต่อเมื่อวันที่ 4 ก.ย. ขณะที่ตำรวจนำตัวนายบิลาเติร์กไปขอศาลมีนบุรีฝากขังในวันที่ 5 ก.ย.พร้อมค้านการประกันตัว เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์ มีอัตราโทษสูง และเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี ทั้งนี้ มีรายงานว่า ตำรวจจะพยายามค้นหาแหล่งที่ใช้เก็บและประกอบวัตถุระเบิดที่อื่นๆ อีก เนื่องจากเชื่อว่าผู้ต้องหาในคดีนี้ได้กระจายสถานที่ประกอบวัตถุระเบิดไปในหลายจุด ไม่ใช่แค่ที่พูลอนันต์อพาร์ตเมนต์และหอพักไมมูณา การ์เด้นโฮมเท่านั้น
6.ศาล พิพากษาประหารชีวิต 4 จำเลยคดียิงเอ็ม 79 ใส่กลุ่ม กปปส.หน้าบิ๊กซี ราชดำริ จำเลยสารภาพ ลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต!
เมื่อวันที่ 4 ก.ย. ศาลอาญากรุงเทพใต้ได้นัดอ่านคำพิพากษาคดีที่นายชัชวาล หรือชัช ปราบบำรุง อายุ 45 ปี , นายสมศรี มาฤทธิ์ อายุ 40 ปี, นายสุนทร ผิผ่วนนอก อายุ 49 ปี และนายทวีชัย วิชาคำ อายุ 39 ปี เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน พ.ศ.2490 และความผิดตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548
คดีนี้ อัยการฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2557 จำเลยทั้งสี่ กับพวกอีก 3 คน ซึ่งหลบหนี ยังไม่ได้ตัวมาฟ้อง ได้ใช้เครื่องยิงลูกกระสุนระเบิดแบบเอ็ม 79 ยิงลูกระเบิดชนิดสังหาร(HE) จากบริเวณสะพานข้ามแยกประตูน้ำ เข้าใส่ผู้ชุมนุมกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ต่อเนื่องถึงหน้าห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี ราชดำริ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บ 21 ราย
ด้านศาลฯ พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า หลักฐานที่จำเลยนำสืบมา ไม่อาจหักล้างพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบได้ จึงพิพากษาว่าจำเลยทั้งสี่มีความผิดตามฟ้อง ให้ประหารชีวิตสถานเดียว แต่คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกตลอดชีวิต และให้จำเลยร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้บาดเจ็บด้วยจำนวน 534,700 บาท
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กันยายน 2558