ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 3-9 พ.ค.2558  (อ่าน 713 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9799
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 3-9 พ.ค.2558
« เมื่อ: 14 มิถุนายน 2015, 00:27:28 »
 1.พสกนิกรปลื้มปีติ “ในหลวง” เสด็จฯ ประกอบพระราชพิธีฉัตรมงคล ด้านสำนักพระราชวังเผย “ในหลวง-พระราชินี” เสด็จฯ กลับวังไกลกังวล 10 พ.ค.นี้!
      
       เมื่อวันที่ 5 พ.ค. เวลา 10.33 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จลงจากที่ประทับชั้น 16 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช ก่อนประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จฯ ออกจากโรงพยาบาลศิริราชไปยังพระบรมมหาราชวัง โดยมีสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริภาจุฑาภรณ์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอทิตยาทรกิติคุณ โดยเสด็จด้วย เพื่อประกอบพระราชพิธีฉัตรมงคล ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ซึ่งปีนี้ ครบรอบปีที่ 65 ของพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งราชอาณาจักรไทย
      
       ในการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงฉลองพระองค์เครื่องแบบปกติขาว ทรงมีพระพักตร์แจ่มใส พระพลานามัยแข็งแรง ทั้งนี้ ขณะที่รถยนต์พระที่นั่งเคลื่อนออกจากอาคารเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหันพระพักตร์และแย้มพระสรวลให้พสกนิกรที่พร้อมใจกันสวมเสื้อสีเหลืองมาเฝ้ารับเสด็จอย่างเนืองแน่น พร้อมเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
      
       เมื่อเสด็จฯ ถึงพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ทรงประกอบพระราชพิธีฉัตรมงคล เมื่อพระราชพิธีแล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ประทับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จฯ กลับโรงพยาบาลศิริราช พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแทนพระองค์ ในการสมโภชนพปฎลมหาเศวตฉัตรสิริราชกกุธภัณฑ์
      
       ด้าน ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เผยถึงพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า พระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะนี้แข็งแรงสมบูรณ์ดี มีกำลังพระวรกายดีขึ้น ไม่มีพระอาการประชวรใดๆ ซึ่งคณะแพทย์ผู้ถวายการรักษายังถวายการกายภาพบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพพระวรกายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทรงมีพระวรกายที่แข็งแรง พระพักตร์แจ่มใส สามารถเสด็จฯ ไปยังสถานที่ต่างๆ ได้บ่อยขึ้น เพื่อเปลี่ยนพระอิริยาบถตามพระราชประสงค์ เช่นเดียวกับสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขณะนี้ทรงมีพระพลานามัยแข็งแรงดี คณะแพทย์ยังถวายการกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง
      
       ล่าสุด วันนี้(9 พ.ค.) สำนักพระราชวังแจ้งว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จพระราชดำเนินกลับไปประทับ ณ พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในวันพรุ่งนี้ (10 พ.ค.) เวลา 14.00 น. เพื่อเปลี่ยนพระอิริยาบถ และฟื้นฟูพระวรกายในพื้นที่อากาศบริสุทธิ์ จึงขอเชิญชวนพสกนิกรทุกหมู่เหล่าร่วมเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จตลอดเส้นทางที่รถยนต์พระที่นั่งเคลื่อนผ่าน และสำนักพระราชวังจะงดลงนามถวายพระพร ณ ศาลาศิริราช 100 ปี โรงพยาบาลศิริราช ตั้งแต่วันที่ 10 พ.ค. เป็นต้นไป
      
       2.“บุญทรง-ภูมิ-มนัส” ไม่รอด สนช.ลงมติถอดถอนออกจากตำแหน่งคดีทุจริตจำนำข้าวจีทูจี!

        เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ได้มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เพื่อแถลงปิดคดีถอดถอนนายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ , นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ออกจากตำแหน่ง กรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ(จีทูจี)
      
        ทั้งนี้ นายวิชา มหาคุณ ในฐานะตัวแทนฝ่ายคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) แถลงปิดคดีโดยยืนยันว่า การระบายข้าวแบบจีทูจีไม่มีอยู่จริง แต่เป็นการทำตามกลอุบายอย่างซับซ้อน โดยได้รับความร่วมมือจากข้าราชการประจำ เอกชน ซึ่งสร้างความเสียหายให้ประเทศอย่างร้ายแรง โดยนายมนัสได้ร่วมกับนายภูมิและนายบุญทรงละเว้นไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า บริษัทกวางตุ้งและบริษัท ไห่หน่าน เป็นตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาลจีนให้มาทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบจีทูจีจริงหรือไม่ ซึ่งจากข้อเท็จจริงไม่พบว่า ทั้งสองบริษัทเป็นตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจจากรัฐบาลจีน ชื่อของบริษัทบ่งบอกว่า เป็นบริษัทค้าขายเครื่องเขียนและกีฬา ไม่ใช่บริษัทค้าข้าว อีกทั้งตัวแทนทั้ง 2 บริษัท เข้ามาประเทศไทยโดยใช้วีซ่านักท่องเที่ยว ถือว่าไม่สง่าผ่าเผย ไม่สมฐานะในฐานะผู้แทนการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ยังพบว่า คนไทยที่เป็นตัวแทนให้บริษัททั้งสองแห่ง มีสถานะการเงินไม่น่าเชื่อถือ เป็นแค่พนักงานส่งเอกสาร และคนขับรถของบริษัทสยามอินดิก้าเท่านั้น แต่มาทำสัญญาเป็นหมื่นล้าน
      
       ขณะที่เงินที่นำมาชำระค่าข้าวก็เป็นเงินที่มาจากผู้ค้าข้าวภายในประเทศ ไม่ใช่จากต่างประเทศ การอ้างว่าค้าข้าวแบบรัฐต่อรัฐ จึงเป็นกลอุบายของผู้ถูกกล่าวหาที่สร้างขึ้นมาเพื่อสมคบคิดและอุปโลกน์ ให้บริษัทเข้ามาซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ เพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ มีการแบ่งหน้าที่กันทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เร่งรีบทำสัญญาซื้อขาย และเร่งรีบให้มีการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) หลังจากมีการแต่งตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าวได้เพียง 2 วัน ถือเป็นจีทูจีแบบลวงโลก ลวงรัฐ และหลอกลวงประชาชนทั้งประเทศ ตอกย้ำซ้ำเติมความเสียหายต่องบประมาณแผ่นดิน โดยอาศัยกลอุบายเล่ห์กระเท่ เป็นกระบวนการร่วมมือกัน มีการวางแผนเป็นขั้นตอน และมีการเปลี่ยนวิธีการชำระเงินจากการเปิดแอลซี เป็นเอ็กซ์แวร์เฮาส์ “ผมขอยืนยันว่า กระบวนการทั้งหมดนี้ ป.ป.ช. ไม่ได้ใช้ความรู้สึกส่วนตัวแต่อย่างใด และไม่ใช้ข้อมูลตกแต่ง แต่เป็นข้อมูลความจริงที่ได้มาจากการไต่สวน และข้อกล่าวหาที่ว่าไม่ได้เปิดให้บริษัทเอกชนให้ข้อเท็จจริงนั้น ก็ไม่เป็นความจริง ป.ป.ช. ได้มีการเปิดให้เข้ามาให้ข้อเท็จจริง ทั้งหมดจะปรากฏอยู่ในสำนวนของ ป.ป.ช. ดังนั้น การกล่าวหาว่า ป.ป.ช. มีอคตินั้น ไม่เป็นความจริง เรามีขั้นตอนกระบวนการไต่สวน และมีการสอบพยานหลักฐานทุกฝ่ายอยู่บนหลักความเป็นธรรมในการพิจารณาทุกขั้นตอน”
      
       ด้านนายภูมิ สาระผล แถลงปิดคดีโดยยืนยันว่า ได้ทำหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และประธานคณะอนุกรรมการระบายข้าวอย่างถูกต้อง ไม่ได้สมคบหรือแบ่งแยกหน้าที่กับใครตามที่ถูกกล่าวหา และว่า การระบายข้าวแบบจีทูจีถือเป็นยุทธศาสตร์ที่ช่วยระบายข้าวในสต๊อกได้จำนวนมาก ดังนั้นเมื่อกรมการค้าต่างประเทศเสนอเรื่องการซื้อขายข้าวจีทูจีมา ตนจึงเห็นชอบตามกรอบ ไม่ได้ทำนอกเหนือจากที่ราชการเสนอมา ข้าวที่ขายออกไปจากสต๊อกมีราคาเหมาะสม ได้เงินคืนทุกบาททุกสตางค์ นายภูมิ กล่าวด้วยว่า โครงการจำนำข้าวมีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก มีทั้งผู้ได้และเสียประโยชน์ แม้จะมีการทุจริต ก็ควรดำเนินการกับผู้ทุจริต ไม่ใช่เหมารวมว่า ผู้ปฏิบัติผิดร่วมกันทั้งหมด ควรแยกแยะ หากใช้วิธีเหมารวมความผิด ต่อไปจะหาผู้มาทำงานอย่างทุ่มเทได้ยาก ยืนยันว่า ได้ระบายข้าวด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่มีข้อสังเกตและข้อสงสัยว่า เข้ามาทำหน้าที่ 5 เดือน มีรัฐวิสาหกิจจีนที่เกี่ยวกับตนในการระบายข้าวมีแค่บริษัท กวางตุ้ง เท่านั้น แต่ ป.ป.ช. ลากตนไปเชื่อมโยงกับบริษัท ไห่หนาน ทั้งที่ไม่มีหลักฐาน แสดงว่ามีเจตนายัดเยียดข้อกล่าวหาให้ตน หาก สนช.ลงมติถอดถอน แต่ศาลฎีกาฯ ยกฟ้อง สนช. จะมีมาตรการใดมาเยียวยาตน จึงสมควรให้ศาลฎีกาฯพิพากษาคดีให้เสร็จก่อน เพื่อให้ความเป็นธรรม
      
       ขณะที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ แถลงปิดคดีว่า ตนปฏิบัติหน้าที่ถูกต้อง ตรงไปมาในช่วงเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะยืนยันเช่นนี้ตลอดชีวิต พร้อมย้ำว่า เป็น ส.ส. มา 14 ปี ไม่ได้ทุจริต ทรยศประชาชน นายบุญทรง ยังกล่าวหานายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช.ด้วยว่า ถนัดใช้วาทกรรมยิ่งกว่าผู้แทนฯ ในสภามากล่าวหาตน ยืนยันว่า การระบายข้าวไม่สามารถใช่เล่ห์กระเท่ หรือสวมรอยใดๆ ได้ ทุกอย่างมีขั้นตอนการปฏิบัติ และคณะอนุกรรมการระบายข้าวใช้องค์ประกอบชุดเดิมของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร แต่ ป.ป.ช. กลับ 2 มาตรฐาน กรณีเดียวกันรัฐบาลชุดก่อนทำถูก แต่ตนกลับทำผิด
      
       นายบุญทรง ยังกล่าวอีกว่า การกล่าวหาว่าเป็นจีทูจีเก๊นั้น ยืนยันว่า เป็นจีทูจีจริง ทั้งบริษัท ไห่หนาน และบริษัท กวางตุ้ง เป็นรัฐวิสาหกิจจีนจริง ไม่ได้อุปโลกน์หรือสวมรอยแต่ ป.ป.ช. ไม่ยอมตรวจสอบพยานฝ่ายผู้ซื้อ ทั้งที่มีหนังสือยืนยันจากบริษัท กวางตุ้ง ว่า เป็นรัฐวิสาหกิจของจีน แต่ ป.ป.ช. กลับตัดทิ้ง เหมือนตั้งธงไว้ล่วงหน้า อยากถามว่า ความเป็นธรรมที่จะสอบพยานให้ตน ไม่มีพื้นที่เหลืออยู่หรือ อยากให้ตนรับโทษทางอาญา ถูกจำคุกตลอดชีวิต ปรับหลายหมื่นล้านบาท เหตุใดผู้ถูกกล่าวหาจึงไม่ได้รับโอกาส ส่วนการใช้วิธีขายข้าวหน้าโกดังสินค้า แทนการเปิดแอลซีนั้น เพราะรัฐบาลไม่ต้องรับภาระเรื่องการปรับปรุงคุณภาพข้าว การขนส่ง ค่าธรรมเนียมต่างๆ เป็นการผลักภาระให้อยู่กับผู้ซื้อ ไม่ได้เปิดช่องให้เกิดการทุจริต และยังปิดช่องทางการทุจริตด้วย ขอเรียกสิ่งที่ ป.ป.ช. ทำว่า “ยุติธรรมอำพราง” ไม่ไต่สวนพยานที่ตนร้องขอ แต่เลือกไต่สวนพยานที่ไม่เป็นธรรม เบี่ยงเบนชักจูงพยานเพื่อซักทอดทางการเมือง อยากให้ สนช.รอศาลฎีกาฯพิจารณาคดีให้เสร็จก่อนเพื่อความเป็นธรรม
      
       ด้านนายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ไม่ได้มาแถลงปิดคดีด้วยตัวเอง แต่แถลงเป็นเอกสารส่งให้ สนช. ทั้งนี้ หลังการแถลงปิดคดีแล้วเสร็จ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. ได้นัดประชุมเพื่อลงมติว่าจะถอดถอนหรือไม่ถอดถอนบุคคลทั้งสามในวันที่ 8 พ.ค.
      
       ซึ่งเมื่อถึงกำหนด(8 พ.ค.) ที่ประชุม สนช.ได้ลงมติด้วยการเข้าคูหาลงคะแนนลับ ผลปรากฏว่า ทั้งนายภูมิ นายบุญทรง และนายมนัส ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง โดยนายภูมิ ถูกถอดถอนด้วยคะแนน 182 ต่อ 5 งดออกเสียง 2 บัตรเสีย 1 , นายบุญทรง ถูกถอดถอนด้วยคะแนน 180 ต่อ 6 งดออกเสียง 4 ส่วนนายมนัส ถูกถอดถอนด้วยคะแนน 158 ต่อ 25 งดออกเสียง 6 และบัตรเสีย 1 หลังจากนี้ นายพรเพชรจะแจ้งผลการลงมติดังกล่าวให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทราบต่อไป
      
       3.ผบ.ตร. เด้ง 38 ตำรวจเซ่นค้ามนุษย์โรฮีนจา ด้าน “บิ๊กตู่” ขีดเส้น จนท.ตรวจค้นทุกพื้นที่ใน 10 วัน เล็งใช้ ม.44 หากปัญหาติดขัด!

        ความคืบหน้ากรณีพบศพชาวโรฮีนจาในค่ายกักกันชั่วคราวบนเขาแก้ว บ้านตะโล๊ะ หมู่ 8 ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา บริเวณชายแดนไทย-มาเลเซียจำนวน 26 ศพ จากจำนวนหลุมฝังศพกว่า 30 หลุม นอกจากนี้ยังพบหลุมฝังศพเพิ่มอีกหลายหลุมหลายจุด เช่น ที่สุสานเก่าชาวไทยมุสลิม บริเวณเชิงเขาแก้ว และที่เกาะโต๊ะกระ อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา คาดว่าเป็นศพชาวโรฮีนจาที่ตกเป็นเหยื่อในขบวนการค้ามนุษย์ โดยอยู่ระหว่างตรวจพิสูจน์สาเหตุการเสียชีวิตนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้ความสำคัญกับปัญหาค้ามนุษย์มาก จึงได้สั่งการให้ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารบก รวมทั้ง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าและคลี่คลายคดี พร้อมสั่งการเด็ดขาดไปยังหน่วยปฏิบัติว่า ต้องดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์โดยไม่เว้นแม้แต่รายเดียว ไม่ต้องเห็นแก่หน้าใครทั้งสิ้น เพราะเรื่องนี้สร้างปัญหาให้ประเทศชาติอย่างร้ายแรง
      
        ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 พ.ค. พล.ต.อ.สมยศ เผยหลังลงพื้นที่ จ.สงขลาว่า ได้ออกหมายจับผู้ต้องหาแล้ว 8 คน ข้อหาร่วมกันค้ามนุษย์ และร่วมกันเรียกค่าไถ่ โดยจับกุมได้แล้ว 4 คน คือ นายอ่าลัน หรือบังลัน อินทธนู สมาชิกสภาเทศบาลเมืองปาดังเบซาร์ ,นายร่อเอน สนยาแหละ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ต.ปาดังเบซาร์ ซึ่งทั้งสองทำหน้าที่จัดหาเสบียง ,นายอาหลี ล่าเม๊าะ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 ต.ปาดังเบซาร์ ทำหน้าที่ควบคุมแคมป์ และนายซอ เนียง อานู หรืออันวา ชาวพม่า ส่วนผู้ต้องหาที่ยังหลบหนี ได้แก่ นายประสิทธิ์ เหล็มเหล๊ะ รองนายกเทศมนตรี ต.ปาดังเบซาร์ ซึ่งภายหลัง ได้เข้ามอบตัวแล้ว , นายยาหลี เขร็ม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 8 บ้านตะโล๊ะ ซึ่งต่อมา ได้เข้ามอบตัวแล้ว , นายพรรคพล เบ็ญล่าเต๊ะ และนายเจริญ ทองแดง
      
        พล.ต.อ.สมยศ ชี้ด้วยว่า เครือข่ายนี้ถือเป็นเครือข่ายระดับอาชญากรรมข้ามชาติ มีทั้งชาวพม่า ชาวไทย และมาเลเซียร่วมด้วย โดยทำมาอย่างต่อเนื่อง 3-4 ปี คาดว่าจะออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องเพิ่มอีก เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังพบปัญหาขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา พล.ต.อ.สมยศ ได้สั่งย้ายตำรวจแล้วหลายนายหลายระลอก เช่น สั่งให้ พล.ต.ต.สุนทร เฉลิมเกียรติ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สตูล มาช่วยราชการที่ศูนย์ปฏิบัติการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ศปก.ตร.) เนื่องจากมีความสนิทสนมกับตัวการใหญ่ในขบวนการนี้ รวมทั้งสั่งให้ พ.ต.อ.วีระสัณฑ์ ธารเปี่ยม ผกก.สภ.ปาดังเบซาร์ ,พ.ต.อ.ภาสกร ภักดีวานิช ผกก.สภ.ควนโดน จ.สตูล และตำรวจตระเวนชายแดน กก.ตชด.43 ที่ตั้งอยู่ใกล้พื้นที่ค่ายกักกันจำนวนหนึ่ง ไปช่วยราชการที่ ศปก.ตร.เช่นกัน
      
        ด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยเมื่อวันที่ 5 พ.ค.ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้สั่งการเพิ่มเติมให้ฝ่ายปกครองทุกพื้นที่ทั้งระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ ตรวจสอบพื้นที่ของตนทุกตารางนิ้ว พร้อมคาดโทษ หากปล่อยให้มีสถานกักกันคุมขังเหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ หรือสนับสนุนให้ที่พักพิงแก่ขบวนการค้ามนุษย์ ฝ่ายปกครองจะต้องรับผิดชอบ หากปล่อยให้เกิดเหตุร้ายอย่างที่ อ.สะเดา จ.สงขลา อีก จะถูกย้ายออกนอกพื้นที่ เพราะถือเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย แต่กลับปล่อยปละละเลย
      
       ขณะที่นายกฤษฎา บุญราช อธิบดีกรมการปกครอง ได้มีหนังสือเวียนด่วนที่สุดถึงปลัดจังหวัด และนายอำเภอทุกจังหวัด ให้วางมาตรการอย่างเข้มงวดกวดขันไม่ให้ข้าราชการในพื้นที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์อย่างเด็ดขาด หากพบว่ามีปัญหาค้ามนุษย์ในพื้นที่ใด ซึ่งเกิดจากการปล่อยปละละเลยของฝ่ายปกครอง จะดำเนินการตามมาตรการทางปกครองหรือระเบียบวินัย เพราะเรื่องนี้เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย
      
        ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 6 พ.ค. ตำรวจและทหารได้เข้าขุดหลุมฝังศพภายในกุโบร์บ้านเกาะใหญ่ เชิงเขาแก้ว หมู่ 8 ต.ปาดังเบซาร์ ซึ่งเป็นสุสานฝังศพชาวไทยมุสลิมที่รกร้างไม่ได้ใช้งานมากว่า 30 ปี ปรากฏว่า จากการขุดหลุมฝังศพ 8 หลุม พบศพ 6 ศพ คาดว่าเป็นศพของชาวโรฮีนจาที่เสียชีวิตระหว่างเข้ามาอาศัยในค่ายพักชั่วคราว
      
        ด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยเมื่อวันที่ 6 พ.ค.ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ได้สั่งการเพิ่มเติมถึงผู้เกี่ยวข้องอีก 3 ประเด็นในการแก้ปัญหาค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา คือ 1. ให้เวลาเจ้าหน้าที่ตรวจสอบพื้นที่ต่างๆ ใน 10 วัน โดยกรมการปกครองจะทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลในพื้นที่ 2.ทางจังหวัดต้องประชุมชี้แจงเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเพื่อให้รับทราบนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาลว่าแต่ละส่วนต้องปฏิบัติอย่างไร และ 3.หากมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องจนระดับพื้นที่ไม่สามารถแก้ปัญหาเองได้ ให้รายงานขึ้นมาที่อธิบดีกรมการปกครอง เพื่อให้ส่วนกลางเข้าไปแก้ไขให้ โดย พล.ต.สรรเสริญ แย้มด้วยว่า หากการแก้ปัญหาติดขัด นายกรัฐมนตรีก็ไม่ลังเลที่จะใช้อำนาจตามมาตรา 44 เพื่อแก้ปัญหา
      
        วันเดียวกัน(6 พ.ค.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีคำสั่งย้ายตำรวจ 38 นาย ไปปฏิบัติราชการที่ ศปก.ตร. ได้แก่ พ.ต.อ.ชัยสิทธิ์ ดีสุข ผกก.บริการคนต่างด้าว บก.ตม.6 , พ.ต.อ.เอกกร บุษษาบดินทร์ ผกก.ตม.จว.ระนอง , พ.ต.อ.ธีระยุทธ บุตรน้ำเพชร ผกก.ตม.จว.สตูล , พ.ต.ท.สุนทร อรุณนารา ผกก.ตม.จว.สงขลา , พ.ต.ท.ธนกฤต พรมดอนชาติ สวญ.ตม.ปาดังเบซาร์ , พ.ต.อ.ศิริพงษ์ เพ็ชรศิริรักข์ ผกก.8 กองบังคับการตำรวจน้ำ(บก.รน) , พ.ต.อ.พุฒิเดช บุญกระพือ ผกก.69 บก.รน. , พ.ต.อ.สมชัย เทศนอก ผกก.สภ.ละงู ฯลฯ
      
        ล่าสุด เมื่อวันที่ 8 พ.ค. พล.ต.ต.พุทธิชาติ เอกฉันท์ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 แถลงความคืบหน้าคดีค้ามนุษย์โรฮีนจาใน จ.สงขลาว่า ขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ตรวจพบแคมป์ที่พักทั้งหมด 4 แคมป์ โรงเรือน 51 โรง มีผู้รอดชีวิตรวม 55 คน แบ่งเป็นชาวโรฮีนจา 24 คน ชาวบังกลาเทศ 15 คน อยู่ระหว่างพิสูจน์สัญชาติอีก 16 คน รวมทั้งศพ 33 ศพ ที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบของแพทย์นิติเวช นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ได้ออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องเพิ่มอีก 11 ราย รวมผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับในคดีนี้จำนวน 29 คน
      
        ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. แถลงเมื่อวันที่ 8 พ.ค.ว่า ขณะนี้มีการออกหมายจับผู้ต้องหาในเครือข่ายค้ามนุษย์โรฮีนจา 36 คนแล้ว ซึ่งล่าสุด ได้จับกุมนายบรรจง ปองผล นายกเทศมนตรีเมืองปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา รวมทั้งตำรวจ 2 นายที่ถูกออกหมายจับก่อนหน้านี้แล้ว คือ ร.ต.ท.มงคล สุโร ผบ.หมวด ตชด.4303 และ ด.ต.อัศณีย์รัญ นวลรอด ผบ.หมู่งานป้องกันปราบปราม สภ.ปาดังเบซาร์ นอกจากนี้ชุดสืบสวนยังได้จับกุมนายสุพจน์ มั่นซิ้ว ที่มีหมายจับก่อนหน้านี้ พร้อมกระสุนปืนและอุปกรณ์ประกอบระเบิด โดยนายสุพจน์เป็นหลานของนักการเมืองใหญ่และเป็นผู้กว้างขวางใน จ.ตรัง
      
      

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9799
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 3-9 พ.ค.2558(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 14 มิถุนายน 2015, 00:27:42 »
 4.“บิ๊กตู่” ยังไม่เคาะทำประชามติร่าง รธน.หรือไม่ บอก ต้องรอความเห็นแม่น้ำ 5 สาย แต่ชี้ใช้เงิน 3 พันล้านคุ้มค่าหรือไม่!

        ความคืบหน้าการร่างรัฐธรรมนูญ หลังสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ได้ประชุมอภิปรายร่างรัฐธรรมนูญร่างแรกที่คณะกรรมาธิการ(กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญส่งให้พิจารณาเป็นเวลา 7 วันระหว่างวันที่ 20-26 เม.ย. และขณะนี้อยู่ระหว่างเปิดให้ สปช.- สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)-คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และคณะรัฐมนตรี(ครม.) ส่งข้อเสนอแนะหรือคำขอแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญต่อ กมธ.ยกร่างฯ ภายใน 30 วัน หรือภายในวันที่ 25 พ.ค.จากนั้น กมธ.ยกร่างฯ จะเชิญผู้ขอแปรญัตติแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญมาชี้แจง และอาจเชิญพรรคการเมืองมาร่วมแสดงความคิดเห็นด้วย ก่อนส่งร่างรัฐธรรมนูญร่างสุดท้ายให้ สปช.เพื่อลงมติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญภายในวันที่ 6 ส.ค.
       
       ปรากฏว่า สัปดาห์ที่ผ่านมา หลายฝ่ายต่างพุ่งเป้าไปที่เรื่องการทำประชามติว่าควรทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้หรือไม่ ถ้าทำ ควรทำช่วงไหน และควรทำอย่างไร โดยนายคำนูณ สิทธิสมาน โฆษก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า การจะทำประชามติหรือไม่ อำนาจที่แท้จริงอยู่ที่ คสช.และ ครม.จะตัดสินใจ โดยสามารถขอความเห็นจาก สปช.และ กมธ.ยกร่างฯ ได้ ซึ่งส่วนตัวแล้วเห็นว่าควรทำประชามติ โดยมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อเสียคือ ระยะเวลาอาจต้องยืดออกไปอย่างน้อย 3 เดือน ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงอาจมองว่าการทำประชามติอาจสร้างความขัดแย้งขึ้นมาได้ แต่ข้อดีคือ การทำประชามติจะทำให้เกิดความชอบธรรมในการประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้
       
       ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย(พท.) ชี้ว่า ต้องมีการทำประชามติให้ประชาชนมีส่วนร่วม หากประชาชนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ก็ต้องมีทางเลือกให้ประชาชนว่าจะให้นำรัฐธรรมนูญปี 2540 หรือ 2550 มาใช้ จะได้ไม่ต้องมาเริ่มนับหนึ่งกันใหม่ ประเทศจะได้ไม่เสียเวลา และไม่กระทบต่อโรดแมปของ คสช.
       
       ขณะที่นายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธาน สนช.คนที่ 2 กล่าวว่า สนช.ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่าต้องทำประชามติ แต่ไม่จำเป็นต้องนำร่างรัฐธรรมนูญปีอื่นมาประกบกับร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อให้ประชาชนเลือก เพราะรัฐธรรมนูญเดิมปี 2540 หรือ 2550 ก็ล้วนมีจุดอ่อน ทำให้เกิดการรัฐประหาร ดังนั้นควรทำประชามติเฉพาะร่างใหม่ฉบับเดียว ซึ่ง สนช.บางส่วนเห็นว่า ควรทำประชามติเป็นรายประเด็นที่มีปัญหาท้วงติงมากๆ เช่น ที่มานายกฯ ที่มา ส.ว.และที่มา ส.ส.ว่าประชาชนจะเอาด้วยหรือไม่ ไม่ควรทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพราะจะทำให้เนื้อหาส่วนที่ดีๆ ของรัฐธรรมนูญพลอยตกไปด้วย
       
       ส่วนท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ต่อการทำประชามตินั้น ยังไม่มีท่าทีที่ชัดเจน แต่ชี้ให้เห็นว่า การทำประชามติต้องใช้เงินในการทำถึง 3,000 ล้านบาท ซึ่งถ้าทำแล้วไม่ผ่าน ต้องทำประชามติอีกรอบหรือไม่ ถ้าทำก็ต้องใช้อีก 3,000 ล้านบาท ผู้สื่อข่าวถามว่า รัฐบาลมีเงินพร้อมทำประชามติหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าอยากให้ทำประชามติก็ต้องยอมรับสภาพและใช้เงินที่มีอยู่ แทนที่จะนำเงินไปทำอะไรที่สร้างความเข้มแข็ง ไปซื้อวัสดุหรือลดต้นทุนชาวนา แต่ต้องมาหายไป 3,000 ล้านบาท จะได้อะไรขึ้นมากับตรงนี้หรือไม่ตนก็ยังไม่รู้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า รัฐธรรมนูญของไทยเปลี่ยนมาหลายรอบเต็มที เป็นเพราะลงรายละเอียดมากเกินไปหรือไม่ พอลงรายละเอียดมากๆ ก็เอารัฐธรรมนูญมาตีกัน การเขียนรัฐธรรมนูญควรเขียนแค่ประเด็นหลักๆ หรือไม่ วันนี้เหมือนกับว่าเอาทุกอย่างไปใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญทั้งหมด เลยทำให้ความขัดแย้งสูง ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่า การจะทำประชามติหรือไม่ ต้องฟังความเห็นร่วมกันของแม่น้ำ 5 สาย คือ คสช.-ครม.-สนช.-สปช. และ กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ
       
       5.สะพัด ทหารระแวงตำรวจ บุกรวบ 9 อิสราเอลคาสันติบาล ด้าน “บิ๊กตู่-ผบ.ตร.” รีบเคลียร์ แค่เข้าใจผิด!

        เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ได้เกิดเหตุการณ์ระทึกขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารสังกัดกองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์(พล.ม.2 รอ.) กว่า 10 นาย รถฮัมวี่ 3 คัน พร้อมอาวุธครบมือ ได้บุกเข้าควบคุมตัวชาวอิสราเอล 9 คน ขณะสาธิตการใช้เครื่องดักฟังและเช็กพิกัดภายในกองบัญชาการตำรวจสันติบาล ทั้งนี้ มีรายงาน 2 กระแส กระแสหนึ่งบอกว่า ชาวอิสราเอล 9 คนดังกล่าวเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเก่าของอิสราเอล อีกกระแสหนึ่งบอกว่า เป็นเจ้าหน้าที่บริษัทเอกชนของอิสราเอล
       
        หลังการเข้าควบคุมตัว เจ้าหน้าที่ทหารชี้แจงว่า เป็นการคุมตัวตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 จากนั้นได้นำชาวอิสราเอลทั้ง 9 คนไปควบคุมไว้ที่ พล.ม.2 รอ. ทั้งนี้ มีรายงานว่า ทหารชุดดังกล่าวได้มาเฝ้าสังเกตการณ์ตั้งแต่เช้า ก่อนบุกเข้าควบคุมตัวขณะชาวอิสราเอลสาธิตอุปกรณ์ในห้องประชุม โดยการบุกเข้าจับกุม ไม่ได้มีการประสานกับตำรวจสันติบาลที่รับผิดชอบแต่อย่างใด โดยมีกระแสข่าวว่า การเข้าควบคุมตัวดังกล่าว มาจากสาเหตุทหารระแวงว่าตำรวจจะซื้อเครื่องนี้ไว้ดักฟังทหาร
       
        หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และโฆษกกองทัพบก ชี้แจงว่า การเข้าไปในพื้นที่ตำรวจของฝ่ายทหาร ได้มีการประสานกับทางตำรวจแล้ว แต่อาจเป็นไปในลักษณะค่อนข้างเร่งด่วน ซึ่งหน่วยปฏิบัติอาจนำไปพิจารณาปรับปรุงต่อไป ยืนยันว่า ได้มีการประสาน เพื่อขอรายละเอียดเกี่ยวกับอุปกรณ์บางตัวที่ทางบริษัทเอกชนนำมาสาธิต เจ้าหน้าที่ไม่ได้มีเจตนาไปควบคุมตัวใคร แต่เนื่องจากมีรายละเอียดที่ต้องแนะนำหรือแลกเปลี่ยนกันเพิ่มเติม โดยเฉพาะการดำเนินการทางเอกสารสำหรับอุปกรณ์บางประเภท ที่อยากให้เป็นไปตามขั้นตอนที่ทางราชการกำหนด จึงเชิญให้เจ้าหน้าที่ของบริษัทดังกล่าวไปรับคำแนะนำเพิ่มเติมที่หน่วยทหาร พร้อมปฏิเสธว่า การไปครั้งนี้ของทหาร ไม่ได้มีอาวุธอย่างที่เป็นข่าว
       
        ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. พูดถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า ได้รับรายงานแล้ว เป็นความเข้าใจผิดกันนิดหน่อย ความจริงแล้วเจ้าหน้าที่บริษัทเอกชนดังกล่าวไม่ได้เข้ามาทางช่องทางทางการทูต และมีการไปโฆษณามากมาย พล.อ.ประยุทธ์ ปฏิเสธด้วยว่า ไม่ใช่เรื่องของการหวาดระแวง ทุกฝ่ายคุยกันและเข้าใจกันหมดแล้ว “ผมเองก็ได้พูดคุยกับทาง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.แล้ว พูดกับทางสันติบาล พูดกับแม่ทัพภาคที่ 1 ผบ.ทบ.ก็พูดกันไปแล้ว เข้าใจกันแล้ว ต่อไปก็คุยกันสักหน่อย นี่มันก็ไม่ได้คุยกับน้อง มันก็เลย ทุกคนมันทำหน้าที่ แต่ไม่ได้มีการไปละเมิดเกียรติกัน ซึ่งก็ได้ขอโทษกันไปเรียบร้อยแล้ว ผมก็ขอโทษด้วย”
       
        ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ ชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ได้รับการประสานทางโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ทหารว่า มีตัวแทนบริษัทจากประเทศอิสราเอลนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เครื่องมือตรวจหาพิกัดทางโทรศัพท์มาสาธิตให้กับตำรวจสันติบาล พร้อมแจ้งว่าทางทหารตรวจสอบพบว่าเครื่องมือดังกล่าวนำเข้ามาโดยไม่ถูกต้อง พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ แม่ทัพภาคที่ 1 และ พล.ต.ต.สมโภชน์ วังแก้ว ผบ.พล.2 รอ. จึงสั่งการให้มาตรวจสอบ ตนจึงได้เชิญให้เจ้าหน้าที่ทหารชุดนี้เข้ามา โดยเดินลงไปรับเจ้าหน้าที่ชุดนี้ด้วยตนเองที่หน้าตึกสันติบาล และว่า ก่อนเจ้าหน้าที่ทหารจะเชิญตัวเจ้าหน้าที่บริษัทอิสราเอลไป ตนได้ถามเจ้าหน้าที่บริษัทฯ แล้ว ซึ่งยินดีและพร้อมที่จะให้ข้อมูล ตนจึงอนุญาตให้ทหารเชิญตัวไป
       
        พล.ต.อ.สมยศ ยังกล่าวด้วยว่า รัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณให้กองบัญชาการตำรวจสันติบาล(บช.ส.) จัดหาอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับการตรวจหาพิกัดทางโทรศัพท์ เมื่อได้รับงบประมาณ บริษัทเหล่านี้ต้องการเสนอขายสินค้า และเป็นบริษัทที่สามแล้วที่เข้ามาเสนอ โดยทางบริษัทได้โฆษณาทางเว็บไซต์ว่าจะมีมีการนำเสนอสินค้าที่ บช.ส. ในวันที่ 7 พ.ค.ที่ผ่านมา หากหน่วยงานใดสนใจ มาชมการสาธิตได้ ทางทหารไปพบข้อความในโฆษณา จึงสงสัยว่ามีการนำอุปกรณ์เข้ามาอย่างถูกต้องหรือไม่ จึงประสานขอเข้าตรวจสอบ “เมื่อตรวจสอบแล้วไม่มีปัญหา เมื่อคืนที่ผ่านมาทางเจ้าหน้าที่ทหารก็ได้ปล่อยตัวตัวแทนบริษัทดังกล่าวกลับไปหมดแล้ว ยืนยันว่ามีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ทหารแล้ว เพียงแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาการอยู่ป้อมหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติอาจไม่ทราบว่าทหารตำรวจประสานกันแล้ว และไปให้ข้อมูลสื่อมวลชนไม่ถูกต้อง ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าไม่มีการประสานหรือขออนุญาตกัน และไม่เกี่ยวว่าทหารมีความระแวงตำรวจหรือไม่ เพราะถ้าระแวง ทางการคงจะไม่จัดสรรงบประมาณมาให้ ผมมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่ทำให้เสียหาย ไม่ทำให้เสียศักดิ์ศรี เพราะเขามีการประสานกันก่อน”


ASTVผู้จัดการออนไลน์    9 พฤษภาคม 2558