1. สนช.ประชุม 5 ชม.พิจารณาร่างแก้ไข รธน.ฉบับชั่วคราว 3 วาระรวด ก่อนมีมติเอกฉันท์เห็นชอบ 203 เสียง!
เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ได้มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) โดยมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.เป็นประธาน โดยเป็นการประชุมนัดพิเศษเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2557 ที่คณะรัฐมนตรี(ครม.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นผู้เสนอ ซึ่งร่างดังกล่าว มีการแก้ไขหลายประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่ เปิดทางให้คนที่เคยถูกตัดสิทธิทางการเมืองและพ้นโทษแล้ว ดำรงตำแหน่ง สนช.หรือรัฐมนตรีได้ , ให้ยุบสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ทันทีหลังลงมติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญที่ กมธ.ยกร่างฯ ส่งให้ เมื่อยุบ สปช.แล้ว ให้ตั้งสภาขับเคลื่อนปฏิรูปขึ้นมาแทน , ถ้า สปช.ลงมติรับร่างรัฐธรรมนูญ ให้นำร่างนั้นไปทำประชามติทันที โดยในการทำประชามติ สามารถตั้งคำถามได้หลายคำถาม ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ให้ตั้ง กมธ.ยกร่างฯ ชุดใหม่จำนวน 21 คน ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ฯลฯ
สำหรับการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวของที่ประชุม สนช.เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. เป็นการพิจารณา 3 วาระรวด ตั้งแต่ 1.วาระรับหลักการ 2.การพิจารณาเป็นรายมาตรา และ 3.การลงมติเห็นชอบหรือไม่เห็นชอบ ทั้งนี้ ครม.และ คสช.ได้มอบหมายให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี , พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มาเป็นผู้นำเสนอหลักการและเหตุผล พร้อมชี้แจงข้อสงสัยของสมาชิก สนช. ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้ตอบข้อซักถามเรื่องการปลดล็อกให้ผู้ที่เคยถูกตัดสิทธิทางการเมืองเข้ามาดำรงตำแหน่ง สนช.หรือ ครม.ได้ ว่า เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ที่ถูกลงโทษไปแล้ว และต้องการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคม จากนั้นที่ประชุมได้ลงมติเห็นชอบรับหลักการในวาระ 1 ด้วยเสียงท่วมท้น 204 ต่อ 0 งดออกเสียง 3 เสียง
แล้วจึงพิจารณาต่อในวาระ 2 โดยใช้คณะกรรมาธิการเต็มสภา พิจารณาเรียงตามมาตรา โดยมีสมาชิก สนช.ซักถามถึงการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะต้องห้าม ที่ให้ผู้ที่เคยถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งสามารถดำรงตำแหน่ง สนช.ได้ โดยสงสัยว่าเป็นการแก้ไขเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือไม่ ซึ่งนายวิษณุ ชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าวไม่ใช่เป็นการเปลี่ยนจุดยืน แต่การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีหลายสาเหตุ จึงจำเป็นต้องแยกแยะให้ออกว่าใครเป็นผู้กระทำความผิดกับผู้ที่ติดร่างแห สาเหตุที่ ครม.และ คสช.แก้ไข เพราะเมื่อคนเหล่านี้พ้นโทษแล้ว ก็ไม่ควรมีตราบาปติดตัวไปตลอดชีวิต ซึ่งหลักการในการแก้ไข ต้องการห้ามเฉพาะผู้กระทำการเท่านั้น รวมทั้งต้องการส่งสัญญาณสร้างความปรองดอง
ทั้งนี้ หลังจากพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวในวาระสองแล้วเสร็จ ที่ประชุมได้ลงมติในวาระ 3 โดยใช้วิธีขานชื่อลงคะแนนแบบเปิดเผยทีละคน ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวด้วยเสียงท่วมท้น 203 ต่อ 0 งดออกเสียง 3 เสียง โดยการพิจารณาและลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวครั้งนี้ ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง สำหรับขั้นตอนหลังจากนี้ สนช.จะส่งร่างแก้ไขฉบับนี้ไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เพื่อนำร่างขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธยต่อไป
2. ไทย พบผู้ติดเชื้อไวรัสเมอร์สรายแรกแล้ว เป็นชาวต่างชาติ หลังเดินทางมาจากตะวันออกกลาง พร้อมเฝ้าระวังอีก 175 รายใกล้ชิดผู้ป่วย!
เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ศ.นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดและไวรัสวิทยา ได้เปิดแถลงข่าวกรณีมีผู้ป่วยชายชาวต่างชาติเข้าข่ายต้องสงสัยป่วยด้วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจตะวันออกกลาง หรือโรคเมอร์ส
ศ.นพ.รัชตะ กล่าวว่า สธ.ได้รับผู้ป่วยชายชาวตะวันออกกลาง อายุ 75 ปี เข้ามารับการรักษาตัวที่สถาบันบำราศนราดูร เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. ซึ่งผู้ป่วยรายดังกล่าวเดินทางมาจากตะวันออกกลางถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. โดยตั้งใจเข้ามารักษาโรคหัวใจที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในประเทศไทย ระหว่างอยู่บนเครื่องบินยังไม่มีอาการป่วย แต่มีอาการหลังออกจากสนามบินมาแล้วคือ มีไข้ เหนื่อย หอบ และไอ จึงเดินทางไปยังโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวทันที ซึ่งทางโรงพยาบาลมีการเตรียมความพร้อมอย่างดี โดยนำตัวผู้ป่วยเข้าห้องแยกโรคทันที ก่อนนำเสมหะส่งตรวจวิเคราะห์เชื้อ พบ เป็นบวก เมื่ออาการของผู้ป่วยไม่ดีขึ้น จึงส่งตัวต่อมายังสถาบันบำราศนราดูร และรักษาตัวในห้องแยกโรค และตรวจวิเคราะห์เชื้อซ้ำ พบว่าเป็นบวกเช่นกัน จึงวินิจฉัยว่าชายดังกล่าวป่วยด้วยโรคเมอร์ส
นอกจากนี้ ยังมีการเฝ้าระวังผู้สัมผัสโรคอีก 59 ราย เป็นเวลา 14 วัน โดยเป็นญาติผู้ป่วยที่เดินทางมาพร้อมกัน 3 ราย เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเอกชน และผู้ที่เดินทางมาด้วยเที่ยวบินเดียวกัน โดยนั่งสองแถวหน้า และสองแถวหลังที่ติดกับผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ในโรงแรม และผู้ขับรถแท็กซี่ ซึ่งภายหลัง มีการปรับตัวเลขผู้ที่ต้องเฝ้าระวังเป็น 175 ราย ศ.นพ.รัชตะ ฝากประชาชนด้วยว่า อย่าตื่นตระหนก ผู้ป่วยรายดังกล่าวถือเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ การพบโรคในครั้งนี้ เป็นเพราะการตรวจจับโรคเป็นไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม่มีการสัมผัสกับคนจำนวนมาก ซึ่งเคยเกิดเคสแบบเดียวกันนี้ ในประเทศฟิลิปปินส์ มาเลเซีย ที่มีการตรวจจับโรคได้เร็วเช่นกัน ทำให้มีผู้ป่วยเพียงรายเดียว และสามารถหยุดโรคไม่ให้แพร่กระจายต่อได้
ขณะที่ นพ.สุรเชษฐ์ สถิตนิรามัย รักษาการปลัด สธ. กล่าวถึงกระแสข่าวว่ามีการปิดข่าวผู้ติดเชื้อโรคเมอร์สรายแรกในไทยว่า ไม่มีการปิดข่าว แต่ต้องรอผลการยืนยันตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก และว่า สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดการแพร่ระบาดของโรคหรือไม่ ขึ้นอยู่กับประชาชนทุกคนต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน ด้วยการทราบตนเอง เมื่อเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง หากเจ็บป่วยต้องแจ้ง และใส่หน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันโรค
เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ผู้บริหารโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ได้เปิดแถลงข่าวด่วน หลังมีข่าวแพร่สะพัดว่า ผู้ป่วยด้วยโรคเมอร์สรายแรกในไทย เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ก่อนส่งต่อไปที่สถาบันบำราศนราดูร จึงหวั่นเกรงว่าอาจมีผู้ติดเชื้อดังกล่าวเพิ่มที่โรงพยาบาล โดยผู้บริหารโรงพยาบาล ยอมรับว่า ผู้ป่วยรายแรกในไทยที่ติดเชื้อเมอร์ส เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลจริงเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. ด้วยอาการเหนื่อย อ่อนเพลีย โดยมาในลักษณะวอล์กอิน นั่งแท็กซี่มา เมื่อซักประวัติ พบว่า มาจากประเทศเสี่ยง จึงเจรจากับผู้ป่วยและญาติขอให้อยู่ในห้องแยก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ เนื่องจากเกรงว่าจะติดเชื้อเมอร์ส จากนั้นได้ประสานเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขมาร่วมตรวจสอบ ขณะเดียวกันทางโรงพยาบาลได้ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการรวม 4 ครั้ง เมื่อผลทางห้องปฏิบัติการพบเชื้อไวรัสเมอร์ส กระทรวงสาธารณสุขจึงได้รับตัวผู้ป่วยดังกล่าวไปรักษาต่อที่สถาบันบำราศนราดูร ตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย.
ทั้งนี้ ผู้บริหารโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลใส่หน้ากากอนามัยป้องกันตั้งแต่ตอนนำตัวผู้ป่วยลงจากรถแท็กซี่ โดยไม่มีผู้ป่วยรายอื่นอยู่ใกล้เคียงกับผู้ป่วยดังกล่าวแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ทางโรงพยาบาลได้แยกเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลที่ดูแลผู้ป่วยรายดังกล่าวให้อยู่ในพื้นที่เฉพาะ เพื่อสังเกตอาการและดูแลอย่างใกล้ชิดเป็นเวลา 14 วัน
ด้านสำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า องค์การอนามัยโลก(WHO) ได้ชื่นชมไทยที่ดำเนินมาตรการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสเมอร์สได้อย่างรวดเร็วหลังพบผู้ป่วยวัย 75 ปีจากโอมานที่เดินทางมากรุงเทพฯ
3. ไอเคโอ ปัก ธงแดง ไทย ไม่ผ่านมาตรฐานการบิน ด้าน ประจิน รับสภาพสอบตก ลุ้น เอียซ่า ประกาศท่าที 25 มิ.ย.นี้!
เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เผยถึงกรณีที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ(ไอเคโอ) ปักธงแดงหน้าชื่อประเทศไทยบนเว็บไซต์ของไอเคโอ ในหมวดการตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบิน หลังจากก่อนหน้านี้ไอเคโอได้ตรวจสอบกรมการบินพลเรือน(บพ.) ของไทย แล้วพบข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัย(เอสเอสซี) และให้เร่งแก้ไขภายใน 90 วัน ซึ่งครบกำหนดเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. โดย พล.อ.อ.ประจิน ชี้ว่า การปักธงแดงดังกล่าวแสดงว่าสอบตก แต่สอบตกเฉพาะเรื่องการออกใบอนุญาตการบิน(เอโอซี) ซึ่งคงต้องรับสภาพกับสิ่งที่เกิดขึ้น และว่า หลังจากนี้ต้องเดินหน้าแก้ไขเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน โดยจะนัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวันที่ 22 มิ.ย.นี้ ก่อนเปิดแถลงข่าวอีกครั้ง
พล.อ.อ.ประจิน ยังพูดถึงกรณีที่ได้ระบุก่อนหน้านี้ว่า ไอเคโอจะไม่ประกาศผลต่อสาธารณะว่า ยอมรับว่าอาจเป็นการสื่อสารผิดพลาดระหว่างตนกับนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ที่เป็นตัวแทนเดินทางไปพบหารือกับประธานไอเคโอ ที่เมืองมอนทรีออล ประเทศแคนาดา และได้ส่งสรุปผลการหารือมาให้ตนรับทราบ โดยระบุว่า หลังครบกำหนด 90 วัน ไอเคโอจะไม่มีมาตรการอะไรเพิ่ม แต่ยังคงเอสเอสซีไว้เหมือนเดิมจนกว่าจะทำตามแผนแล้วเสร็จ ซึ่งหมายถึงว่า ทางไอเคโอจะไม่มีการประกาศต่อสาธารณะ แต่สาธารณะจะเห็นสถานะของเอสเอสซีเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า การปักธงแดงจะมีผลกระทบต่อการสั่งห้ามบินเข้า-ออกประเทศใดหรือไม่ พล.อ.อ.ประจิน กล่าวว่า ถือเป็นอำนาจของรัฐเจ้าบ้านแต่ละประเทศ แต่ส่วนใหญ่คงดูแนวโน้มของไอเคโอ และว่า ในส่วนของสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหภาพยุโรป(เอียซ่า) เองก็เคยแจ้งแล้วว่า จะประกาศท่าทีต่อประเทศไทยในวันที่ 25 มิ.ย.นี้ ทั้งนี้ พล.อ.อ.ประจิน ยืนยันว่า ได้เตรียมแผนสำรองไว้แล้ว การเตรียมแผนสำรอง ได้จัดทำไว้แล้วอยู่ในแผนการแก้ไขข้อบกพร่อง และยังได้มอบหมายให้แต่ละสายการบินเตรียมจัดทำแผนสำรองของตัวเองด้วย
ส่วนการเดินสายทำความเข้าใจกับประเทศอื่นๆ นั้น พล.อ.อ.ประจิน บอกว่า ที่ผ่านมา ได้เดินสายทำความเข้าใจกับหลายประเทศแล้ว แต่จะให้ไปพูดคุยทั้ง 50 ประเทศภายใน 1 เดือน คงเป็นไปไม่ได้ ต้องรอดูผลที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ก่อน เพราะเมื่อไอเคโอประกาศออกมาแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะเดินทางไปพูดคุยอีก โดยยืนยันว่า แม้จะปักธงแดง แต่ก็ยังต้องเดินหน้าแก้ไขปัญหานี้ต่อไป ไม่สามารถหมดกำลังใจได้
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. กระทรวงคมนาคมได้เสนอคณะรัฐมนตรีให้อนุมัติโยกย้ายนายสมชาย พิพุธวัฒน์ อธิบดีกรมการบินพลเรือน ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง แล้วให้นางปาริชาต คชรัตน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวง มาเป็นอธิบดีกรมการบินพลเรือนแทน โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากนายสมชายแก้ปัญหาด้านการบินล่าช้า จึงต้องปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสมในการทำงาน ซึ่งนางปาริชาตเคยเป็นรองอธิบดีกรมการบินพลเรือนมาก่อน อย่างไรก็ตาม ทั้งนายสมชายและนางปาริชาตจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้