พิลังกาสา หรือรามใหญ่ เป็นที่นิยมนำมาปลูกเป็นไม้ประดับตามสถานที่ราชการหรือสวนสาธารณะทั่วไป มีดอกสวยจนนึกว่าเป็นไม้ประดับธรรมดาไม่มีคุณค่าแต่อย่างใด ซึ่งความจริงแล้วไม้ประดับต้นนี้มีสรรพคุณทางยาสมุนไพรยิ่งนัก โดยเฉพาะในเรื่องของการรักษาโรคตับ ทั้ง ๆ ที่เป็นยาสมุนไพรหาง่าย แต่กลับมีการนำมาใช้ประโยชน์น้อยเกินไป
เมื่อหันมามองสถานการณ์ความเจ็บป่วยของคนไทยในภาวะของโรคตับ มะเร็งตับแล้วแนวโน้มของประชากรที่เจ็บป่วยสูงขึ้น ตับมีหน้าที่สำคัญหลายประการ เช่น การสร้างน้ำดี คอยเก็บเอากลูโคสไปสะสมไว้ในเซลส์ตับ ในรูปของไกลโคเจน และจะเปลี่ยนเป็นกลูโคสทันทีที่ร่างกายต้องการ นอกจากนี้ ยังกำจัดสารพิษที่ลำไส้ดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด เมื่อสารพิษผ่านตับ ตับก็จะทำลาย
ตับเป็นแหล่งสะสมของวิตามินเอ และวิตามินบีสิบสอง คือ เมื่อเรารับประทานผักผลไม้ที่มีพวกเบต้าแคโรมีนเข้าไป มันจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้โดยตับนั่นเอง ธาตุเหล็กและทองแดงจะถูกเก็บสะสมอยู่ที่ตับ เช่นเดียวกับวิตามิน เอ ดี และบีสิบสอง สร้างองค์ประกอบในการแข็งตัวของเลือด อาทิเช่น ไฟบริโนเจน (FIBRINOGEN) และโปรธรอมบิน( PROTHROMBIN) เป็นต้น และยังสร้างสารป้องกันการแข็งตัวของเลือด อันได้แก่เฮปาริน (HEPARIN) ทำหน้าที่ในการกินและทำลายเชื้อโรคโดยมีเซลล์แมกโครฟาจ(MACROPHAGE) ที่อยู่มนตับ ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่า คุฟเฟอร์เซลล์ (KUPFFER'S CELL)
น้อยนักที่มนุษย์จะตระหนักว่าอาหารและเครื่องดื่มที่รับประทานนั้นก็ทำร้ายตับได้เช่นกันเช่น ผู้ที่ชอบดื่มแอลกอฮอล์ รับประทานอาหารที่มีไขมันมาก รวมไปถึงสารพิษเรารู้จักกันดีในชทื่อสารอัลฟ่าท็อกซิน ก็เป็นสาเหตุให้เกิดโรคตับได้ถ้าไม่ระวังในการบริโภค
พิลังกาสาเป็นสมุนไพรที่กล่าวไว้ในตำรายาว่า ใช้ใบแก้โรคตับพิการ ส่วนอื่น ๆ ได้แก่ ราก รสฝาดเฝื่อนเปรี้ยวเล็กน้อย แก้พิษงูแก้ท้องเสีย แก้ไอ รักษากามโรค แก้โรคสำหรับบุรุษ แก้พยาธิผิวหนัง ต้น รสเฝื่อน แก้โรคเรื้อน แก้กุฎฐัง แก้โรคสำหรับบุรุษ ดอก รสเฝื่อน แก้พยาธิ ฆ่าเชื้อโรค แก้ลม ผล รสร้อนฝาดสุขุม แก้ไข้ แก้ไขท้องเสีย แก้ไขในกองอติสารโรค แก้ลมพิษ แก้ธาตุพิการ แก้ต้านซาง ตานขโมย แก้ลม เปลือก แก้ไข แก้ท้องเสีย
พิลังกาสายังมีชื่อที่เรียกกันแตกต่างกันออกไปตามท้องถิ่น อาทิ ทุรังกาสา จิงจำ ตาปลาราม จ้ำก้อง มีชื่อวิทยาศาสตร์ Ardisia polycephala Wall.ex A.D.C อยู่ในวงศ์ Myrsinaceae ไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้น ขนาดเล็ก สูง 1-4 เมตร ลำต้นตั้งตรง กิ่งก้านกลม หรือเป็นเหลี่ยม สีน้ำตาลอมเทา กิ่งอ่อนสีน้ำตาลแดง แตกกิ่งก้านสาขารอบ ๆ ต้นมาก ใบเดี่ยว เรียงสลับกัน ออกหนาแน่นที่ปลายกิ่ง ผิวใบและขอบใบเรียบ แผ่นใบมีต่อม เห็นเป็นจุด ๆ กระจายอยู่ทั่วไป ใบหนามัน ก้านใบสั้น สีแดงดอกออกเป็นช่อจากชอกใบ และปลายกิ่ง กลีบดอกสีขาวแกมชมพู ผลรูปทรงกลมแป้น ผิวเรียบผลอ่อนสีแดง เมื่อสุกมีสีม่วงเข้ม
มีรายงานถึงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาว่า ต้านเชื้อแบคทีเรีย ฤทธิ์เหมือนฮีสตามีน ทำให้กล้ามเนื้อหดตัว รักษามาลาเลีย แก้ท้องเสีย รักษาโรคเกลื้อน ส่งเสริมการเจริญเติบโตของเชื้อรา Aspergillus ต้านการจับตัวของเกล็ดเลือด
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัยนำผลสุกมาทำเป็นไวน์พิลังกาสา และได้นำไวน์นั้นไปวิเคราะห์ผล พบว่ามีกลุ่มสารแอนโธไชยานิน (Anthocyanin) สารฟีโนลิค ฟลาโวนอยด์ (Phenolic flavannoid) สูง ซึ่งเหมาะต่อการส่งเสริมเป็นเครื่องดื่มสุขภาพได้ เพระสารเหล่านี้มีคุณสมบัติป้องกันการเกิดเส้นเลือดอุดตัน เส้นเลือดตีบ
ลูกพิลังกาสา จะมีสีม่วงเข้มจนเกือบดำ สีม่วงนี้เกิดจากรงตวัตถุ ที่มีแอนโธไซยานิน (Acnthocyanin) สารกลุ่มนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระไปทำลายเซลล์ ช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจและเส้นเลือดอุดตันในสมอง โดยจะไปช่วยยับยั้งไม่ให้เลือดจับตัวเป็นก้อน นอกจากนี้ สารแอนโธไซยานินยังช่วยยับยั้งอีโคไล (E.coil) ในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคท้องร่วงและอาหารเป็นพิษด้วย
ปัจจุบันนักโภชนาการได้หันมาและคิดค้นตำรับอาหารที่ใช้พิลังกาสาเป็นส่วนผสมเพื่อใช้กับผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับ จึงนับเป็นแนวคิดที่แยบยลในการพัฒนารูปแบบการใช้ยามาเป็นอาหาร หรืออาหารคือยา ที่มีการกล่าวถึงมานานแล้วนั่นเอง
ไทยโพสต์ -- อาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม 2555