นักวิจัยเผยความก้าวหน้าในการพัฒนาวัคซีนรักษาโรคมาลาเรียขั้นต้น ที่ได้ผลกว่าร้อยละ 80
นักวิจัยพบว่า วัคซีนที่ได้รับการพัฒนาในสหรัฐฯ สามารถรักษาผู้ป่วยโรคมาลาเรียได้ถึง 12 จาก 15 ราย เมื่อได้รับวัคซีนในปริมาณมาก โดยใช้วิธีการฉีดปรสิตที่เป็นสาเหตุของโรคมาลาเรียให้แก่ผู้ป่วยโดยตรง เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน
บริษัท ซานาเรีย บริษัทด้านไบโอเทคโนโลยี ได้นำยุงที่เพาะเลี้ยงในห้องปฏิบัติการไปฉายรังสี และสกัดเอาปรสิต Plasmodium falciparum ที่เป็นสาเหตุของโรคมาลาเรียออก ซึ่งทุกขั้นตอนผ่านกระบวนการปลอดเชื้อ โดยปรสิตดังกล่าวซึ่งถูกทำให้อ่อนกำลังลง ถูกสกัดและนำมาเก็บในหลอดแก้ว ก่อนที่จะถูกฉีดเข้าเส้นเลือดของผู้ป่วยโดยตรง วัคซีนดังกล่าวมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า "PfSPZ"
ในการทดลองขั้นแรก นักวิจัยใช้กลุ่มตัวอย่างอาสาสมัคร 57 คน ซึ่งไม่เคยไม่เคยป่วยด้วยโรคมาลาเรียมาก่อน ในจำนวนนี้ 40 คน จะได้รับการฉีดวัคซีนในปริมาณโดสที่ต่างกันไปทุกครั้ง ส่วนอีก 17 คนที่เหลือไม่ได้รับการฉีดวัคซีน แต่อาศัยอยู่ในสถานที่ได้รับการจัดการสภาพแวดล้อมเป็นพิเศษ
ผลการตรวจเลือดพบว่า ไม่พบการฟักตัวของเชื้อในอาสาสมัคร 6 คน ที่ได้รับการฉีดวัคซีนมาแล้ว 5 โดส ขณะที่อาสาสมัคร 9 คน ซึ่งได้รับการฉีดวัคซีนมาแล้ว 4 โดส มีเพียง 3 คนที่แสดงอาการ แต่ 12 คนที่ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีน แสดงอาการของโรคถึง 11 คน อย่างไรก็ดี ในกลุ่มผู้ที่ได้รับวัคซีนสูงสุด 15 ราย มีเพียง 3 คน ที่ติดเชื้อมาลาเรีย
ปัจจุบันในโลกมีการพัฒนาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคมาลาเรียราว 20 ชนิด โดยวัคซีนที่มีความก้าวหน้าที่สุดคือ "อาร์ทีเอส, เอส/เอเอส01" ที่ได้รับการพัฒนาโดยบริษัทแกลกโซสมิธไคลน์ ที่อยู่ระหว่างการทดลองในขั้นที่ 3 กับเด็กในแอฟริกา 15,000 คน ที่ได้ผลราวร้อยละ 33 ในทารก และในเด็กเล็กได้ผลถึงร้อยละ 56
สถิติล่าสุดขององค์การอนามัยโลก พบว่ามีผู้ป่วยโรคมาลาเรียทั่วโลกกว่า 219 ล้านคน เมื่อปี 2010 และเสียชีวิตกว่า 660,000 คน