ผู้เขียน หัวข้อ: งาแมมมอทขุมทรัพย์จากอดีต-สารคดี-เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก  (อ่าน 1204 ครั้ง)

pani

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 756
    • ดูรายละเอียด
นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาการโคลนแมมมอทต้องแข่งขันกับนักล่างาที่พลิกแผ่นดินไซบีเรียเพื่อหาขุมทรัพย์

พรานชาวไซบีเรียไม่ต้องการสิ่งใด นอกจากโอกาสสุดท้ายเพียงครั้งเดียว ห้าเดือนมาแล้วที่คาร์ล โกโรฮอฟ ตามรอยเหยื่อจากสมัยโบราณไปทั่วเกาะร้างผู้คนในทะเลไซบีเรียตะวันออก เขาเดินทางอย่างทุลักทุเลวันละ 18 ชั่วโมงไปตามเขตทุนดราซึ่งปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ทั้งหนาว เหนื่อยล้า และหิวโหยจนต้องกินนกนางนวลประทังชีวิต โกโรฮอฟเป็นนักล่าวัย 46 ปีที่สองแก้มแห้งกร้านเพราะแรงลม

เวลาของโกโรฮอฟกำลังจะหมดลง พายุหิมะปลายฤดูร้อนพัดกระหน่ำเกาะโคเตลนี พร้อมๆกับที่ความเย็นยะเยือกของฤดูหนาวกำลังตั้งเค้ามาจากทางเหนือ นิ้วและฝ่ามือของเขาเริ่มคันคะเยอ เขาบอกในเวลาต่อมาว่า นี่เป็น “ลางดี” เพราะเขามักมีอาการคันเช่นนี้เมื่อจวนจะได้พบสิ่งที่กำลังตามหา นั่นคือ งาของแมมมอท

ยักษ์ขนยาวรุงรังที่ท่องไปทั่วตอนเหนือของไซบีเรียในช่วงปลายสมัยไพลสโตซีนชนิดนี้สูญพันธุ์ไปเมื่อประมาณ 10,000 ปีก่อน แต่ยังมีประชากรแมมมอทหลงเหลืออยู่ตามเกาะทางเหนือและตะวันออกบ้าง กระทั่งตัวสุดท้ายตายลงเมื่อประมาณ 3,700 ปีที่แล้ว งาของแมมมอทซึ่งอาจโค้งเป็นวงได้ยาวกว่าสี่เมตรกำลังโผล่ขึ้นมาจากชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (permafrost) อีกครั้ง ก่อให้เกิดการค้าที่สร้างผลประโยชน์ให้ผู้คนในแถบไซบีเรียริมฝั่งมหาสมุทรอาร์กติก เกือบสิบปีมาแล้วที่โกโรฮอฟบุกเบิกการออกล่างาในแดนหฤโหดที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และตอนนี้เขายังคงท่องไปทั่วเขตทุนดรากระทั่งเกือบสะดุดเข้ากับปลายงากิ่งหนึ่ง เขาบอกว่า “บางครั้งงาก็โผล่อยู่ตรงหน้าราวกับนำทางเรามาตลอดอย่างนั้นแหละครับ”

โกโรฮอฟใช้เวลาเกือบ 24 ชั่วโมงขุดงากิ่งนั้นขึ้นจากน้ำแข็งโดยไม่หยุดพัก งาที่โผล่ขึ้นมาหนาพอๆกับลำต้นของต้นไม้หนัก 70 กิโลกรัมและอยู่ในสภาพเกือบสมบูรณ์ ก่อนจะลากงากิ่งนั้นกลับไป โกโรฮอฟโยนตุ้มหูเงินข้างหนึ่งลงในหลุมที่ขุดไว้ เป็นการเซ่นไหว้เจ้าที่เจ้าทาง ถ้าเขานำซากดึกดำบรรพ์นี้กลับถึงบ้านโดยไม่บุบสลาย มันอาจมีมูลค่าสูงกว่า 60,000 ดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

หลายสิบปีก่อน ไม่มีใคร แม้แต่โกโรฮอฟเอง นึกฝันว่า งาของแมมมอทจะกลายเป็นสินค้าเศรษฐกิจของดินแดนแถบนี้ เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่ถูกทิ้งร้างไปภายหลังการปิดเหมืองและโรงงานจากยุคโซเวียต ปัจจุบัน มีชาวยาคูตียาผันตัวมาเป็นนักล่างาหลายร้อยหรืออาจจะหลายพันคนเลยทีเดียว

การตื่นงามาจากแรงกระตุ้นอันทรงพลังแห่งโลกสมัยใหม่ นั่นคือ การล่มสลายของสหภาพโซเวียตและความคลั่งไคล้ลัทธิทุนนิยมอย่างสุดโต่งที่ตามมา การห้ามค้างาช้างในระดับนานาชาติ และแม้กระทั่งภาวะโลกร้อน ทุกวันนี้ การละลายและการกร่อนของชั้นดินเยือกแข็งคงตัว รวมทั้งการหลั่งไหลเข้ามาของนักล่างากำลังนำแมมมอทกลับขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเดือนกันยายน ปี 2012 เด็กชายวัย 11 ขวบบนคาบสมุทรไตมีร์ของรัสเซียพบซากแมมมอทวัยเยาว์ในสภาพสมบูรณ์เข้าโดยบังเอิญ เพราะขาข้างหนึ่งของมันโผล่ขึ้นมา

อย่างไรก็ดี ไม่มีสิ่งใดเป็นเชื้อไฟให้การค้างาแมมมอทได้เท่ากับการผงาดของจีน ซึ่งมีวัฒนธรรมการแกะสลักงามาหลายพันปี เกือบร้อยละ 90 ของงาที่ลำเลียงออกมาจากไซบีเรียถูกส่งไปที่จีน ประเทศที่กองทัพเศรษฐีใหม่ต้องมนตร์สะกดของงาช้างเข้าอย่างจัง ความต้องการที่พุ่งพรวดนี้สร้างความวิตกให้นักวิทยาศาสตร์ผู้เสียดายข้อมูลล้ำค่าที่สูญเสียไป เพราะงาแต่ละกิ่งเป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับอาหารการกิน ลักษณะภูมิอากาศ และสภาพแวดล้อม

งาแมมมอทจุดประกายความหวังว่าจะช่วยให้สถานการณ์ของช้างดีขึ้น งาแมมมอทเป็นสิ่งถูกกฎหมาย แม้จะมีกฎเกณฑ์การค้าอยู่บ้าง นอกจากนั้น เรายังจำแนกความแตกต่างระหว่างงาสองชนิดนี้ได้ด้วยลวดลายบนงาที่เรียกว่าเส้นชเรเกอร์ (Schreger line) อีกทั้งราคาก็ไล่เลี่ยกัน ทว่าความต้องการงาช้างของเอเชียกลับไม่มีวี่แววว่าจะลดลงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม การล้มช้างแอฟริกากลับรุนแรงขึ้น เมื่อปี 2012 เจ้าหน้าที่ศุลกากรของฮ่องกงจับงาช้างได้มากเป็นประวัติการณ์ คือมีน้ำหนักรวมกันถึง 5.5 ตัน ปัจจัยที่ทำให้ปัญหานี้ยุ่งยากขึ้นอีกคือ ทั้งงาช้างผิดกฎหมายและงาแมมมอทถูกกฎหมายมักมีปลายทางอยู่ที่โรงงานแกะสลักในประเทศจีนเช่นเดียวกัน

เวลาเกือบเที่ยงคืน ที่บ้านของโกโรฮอฟริมฝั่งแม่น้ำยานา ห่างจากจุดที่แม่นำสายนี้ไหลลงสู่ทะเลแลปทิฟไปทางใต้ราว 80 กิโลเมตร โกโรฮอฟเพิ่งกลับมายังหมู่บ้านอุสต์-ยันสค์หลังจากไปล่างาบนเกาะมาห้าเดือน เขาพาผมไปที่โรงไม้หลังบ้าน ในนั้นมีงาแมมมอทอยู่ราว 20 กิ่ง บ้างห่อผ้าขาวไว้ ที่เหลือ รวมถึงงาขนาด 70 กิโลกรัมที่เขาพบบนเกาะโคเตลนีในวันนั้นแช่น้ำอยู่ในอ่างอะลูมิเนียมใบใหญ่ “ถ้างาสัมผัสกับอากาศจะเริ่มแตกครับ” เขาอธิบาย “ผมต้องเก็บรักษาไว้อย่างดี เพราะงาพวกนี้คืออนาคตของผม”

งาในอ่างซึ่งได้มาในช่วงฤดูร้อนมีน้ำหนักรวมกัน 500 กิโลกรัม ทีมนักล่าซึ่งส่วนใหญ่มีกันสามคนหาได้แทบไม่ถึงครึ่งของจำนวนนี้ ขณะที่บางคนท่องไปทั่วเขตทุนดราอยู่นานห้าเดือนแต่กลับคว้าน้ำเหลว นอกจากนี้ โกโรฮอฟยังโชคดีที่ตอนนี้เขามีเครื่องมือพร้อมสรรพ ไม่ว่าจะเป็นเรือ รถลุยหิมะ โทรศัพท์ผ่านดาวเทียม หรืออุปกรณ์จีพีเอส จึงทำงานได้อย่างอิสระ นักล่างาส่วนใหญ่ทำงานแลกกับเงินเดือนหรือไม่ก็ส่วนแบ่งเพียงน้อยนิด ในเมื่อสนนราคาสูงมาก งากองนี้ต้องทำเงินให้โกโรฮอฟอย่างงามที่สุดเป็นแน่ โดยอาจมีมูลค่าถึง 150,000 - 300,000 ดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว

ซาร์ดานา ภรรยาของโกโรฮอฟ และลูกสาววัยห้าขวบกำลังรอเขาอยู่ที่ยาคุตสค์ โกโรฮอฟไม่ได้พบหน้าทั้งสองมาหกเดือนแล้ว เขาเล่าว่า “พอกลับไป ภรรยาจะลูบเคราผมอยู่คืนหนึ่ง แล้วสั่งให้โกนทิ้ง” ครั้งนี้อาจเป็นการล่างาครั้งสุดท้ายของเขา “ผมไม่ได้เห็นฤดูร้อนจริงๆจังๆมาสิบปีแล้วครับ” เขาบอก “ผมฝันจะเดินทางไปประเทศที่มีบรรยากาศแตกต่างออกไปอย่างอินเดียหรือเวียดนาม” ทว่าโกโรฮอฟไม่เคยจากยาคูตียาไปไหน แม้แต่อุณหภูมิที่อุ่นสบายยังทำให้เขาเหงื่อท่วม แถมยังมีอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจทำให้เขาต้องเลื่อนแผนการหยุดพักผ่อนออกไป “ภรรยาชอบบอกให้ผมเลิก” เขาเล่า “แต่พอเห็นว่าผมหางาได้มากขนาดไหนในฤดูร้อนปีนี้ เธอต้องรบเร้าให้ผมออกล่าอีกแน่ๆ”

เรื่องโดย บรูก ลาร์เมอร์
เมย 2556