ผู้เขียน หัวข้อ: การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง  (อ่าน 1937 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9755
    • ดูรายละเอียด
การเริ่มต้นของชีวิตและการทำแท้ง
« เมื่อ: 28 พฤศจิกายน 2010, 06:49:44 »
“ปัญญาพลวัตร”
       โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
       
       คำถามประเด็นหนึ่งเกี่ยวกับการทำแท้งคือ เมื่อไรที่จะนับว่าชีวิตมนุษย์ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และ ณ จุดไหนที่สังคมควรจะเข้าไปดำเนินการปกป้องชีวิตที่กำลังก่อกำเนิด ส่วนข้อถกเถียงเชิงจริยธรรมเกี่ยวกับการทำแท้งมี ๒ ประเด็นหลักคือ ประเด็นแรกคือ “คุณค่าของพื้นฐานแห่งชีวิต” ซึ่งมีความสัมพันธ์กับชีวิตที่ยังไม่ได้กำเนิดมาดูโลก กับชีวิตของมารดา ประเด็นที่สองคือ “พื้นฐานของเสรีภาพส่วนบุคคคล” ซึ่งเป็นสิทธิของมารดาเหนือร่างกายของตนเองในการให้กำเนิดและกำหนดชีวิต และประเด็นที่เป็นความขัดแย้งอีกประการคือแนวคิดเกี่ยวกับ “สิทธิสัมบูรณ์” ระหว่างสิทธิของทารกในครรภ์ที่จะก่อตัวพัฒนาขึ้นมาเป็นมนุษย์ กับสิทธิของมารดาในการควบคุมชีวิตและร่างกายของตนเอง
       
       ชีวิตมนุษย์เริ่มจากไหนและพัฒนาอย่างไร ในทางวิทยาศาสตร์ได้อธิบายขั้นตอนของการพัฒนาตัวอ่อนในครรภ์ในเป็นมนุษย์ ดังนี้
       
       ๑. ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นจากไข่ที่ได้รับการผสมพันธุ์จากอสุจิ หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ผู้หนึ่งผสมกับเซลล์ของมนุษย์อีกผู้หนึ่ง กลายเป็นสองเซลล์และขยายเป็นสี่ และจากนั้นภายในหกวันไข่ที่ถูกผสมก็จะฝังตัวของมันเองในผนังมดลูก
       
       ๒. ภายในสัปดาห์ที่สาม ตัวอ่อนก่อกำเนิดยาวประมาณสองมิลลิเมตรและเริ่มพัฒนาในหลายส่วน แต่หากมองด้วยสายตาจะคล้ายกับหนอนเล็กๆ
       
       ๓. เมื่อครบสี่สัปดาห์ ตัวอ่อนจะโตขึ้นไปถึงห้ามิลลิเมตรหรือหนึ่งในห้านิ้ว หัวใจที่คล้ายๆหลอดเริ่มต้นเต้นเป็นจังหวะ มันดูคล้ายๆเหงือกปลาเป็นรูปโค้ง มีส่วนที่ดูคล้ายหาง และรูปร่างดูเหมือนกิ้งก่า หรือลูกอ๊อด
       
       ๔. เมื่อถึงสัปดาห์ที่ห้า เริ่มเห็นและสามารถแยกแยะส่วนต่างๆของสมอง รวมทั้งมีการพัฒนาตาและมีการปรากฎของตุ่มที่จะกลายเป็นแขนและขา
       
       ๕. ในสัปดาห์ที่หก ตัวอ่อนจะมีความยาว ๑๓ มิลลิเมตร มีตาอยู่ที่ด้านข้างของศีรษะ เช่นเดียวกับสัตว์อื่นๆ และหน้าที่ดูเหมือนสัตว์เลื้อยคลานมีการเชื่อมต่อ ซึ่งจะพัฒนาเป็นปากและจมูกต่อไป
       
       ๖. ในสัปดาห์ที่เจ็ด หางจะหายไปเกือบหมด และสามารถมองเห็นลักษณะทางเพศของตัวอ่อนได้ หน้าตาเริ่มเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแต่ค่อนข้างคล้ายกับสุกร
       
       ๗. เมื่อครบแปดสัปดาห์ หน้าดูเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ยืนสองขา แต่ยังคงไม่คล้ายมนุษย์ สมองมีการพัฒนามากขึ้น และตัวอ่อนเริ่มแสดงปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่ละเอียดอ่อน
       
       ๘. ภายในสัปดาห์ที่สิบ หน้าตาของตัวอ่อนแสดงถึงความเป็นมนุษย์ และเริ่มต้นสามารถแยกแยะได้ว่าตัวอ่อนเป็นเพศชายหรือหญิง
       
       ๙. ภายในสัปดาห์ที่สิบหก (๔ เดือน) เราสามารถแยกหน้าของตัวอ่อนตัวหนึ่งออกจากอีกตัวหนึ่งได้ หรือดูออกแล้วว่าตัวอ่อนหน้าตาเป็นแบบใดและแตกต่างจากตัวอ่อนอื่นๆตรงไหน บ้าง มารดาสามารถรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของตัวอ่อนในเดือนที่ห้า ส่วนปอดของตัวอ่อนเริ่มต้นพัฒนาในเดือนที่หก และกิจกรรมทางสมองของตัวอ่อนที่รู้ได้ว่าเป็นการแสดงออกถึงความเป็นมนุษย์ เริ่มในกลางเดือนที่เจ็ด
       
       ๑๐. คลื่นสมองที่มีแบบแผนเดียวกับกับมนุษย์ที่เป็นผู้ใหญ่ทั่วๆไป ปรากฏขึ้นภายในสัปดาห์ที่สามสิบ (ประมาณเจ็ดเดือนครึ่ง) แต่ยังไม่สามารถคิดได้
       
       ประเด็นสำคัญคือในบรรดาขั้นตอนเหล่านี้ ขั้นตอนใดที่เรายอมรับว่าตัวอ่อนคือชีวิตมนุษย์ ทุกขั้นตอนมีความสำคัญ และยิ่งมีการพัฒนาตัวอ่อนก็มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น ดังนั้นแม้แต่ผู้ที่สนับสนุนการทำแท้งก็ยังระบุว่า หากต้องทำแท้งก็ควรทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เพราะในขั้นตอนการพัฒนาระยะแรกนั้นบุคคลเหล่านี้อาจยังมีข้ออ้างได้ว่า ตัวอ่อนในช่วงเดือนหรือสองเดือนแรกยังมีความห่างไกลจากสิ่งที่เรียกว่า มนุษย์ ซึ่งเป็นข้ออ้างในเชิงปกป้องมโนสำนึกของตนเอง เพราะว่าแท้จริงแล้วในทุกขั้นตอนตัวอ่อนมีศักยภาพแห่งความเป็นมนุษย์ดำรง อยู่
       
       การทำแท้งนั้นเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานมีทั้งผู้ สนับสนุนและผู้คัดค้าน แต่ละฝ่ายต่างก็มีเหตุผลด้วยกันทั้งสิ้น สำหรับกลุ่มที่สนับสนุนการทำแท้งมีเหตุผลดังต่อไปนี้
       
       ตัวอ่อนยังไม่อาจถือได้ว่าเป็นมนุษย์ ชีวิตมนุษย์ควรนับตั้งแต่วันที่มีการเกิดออกมาจากครรภ์มารดา และเด็กที่พ่อแม่ไม่ต้องการไม่ควรให้กำเนิดออกมาเพราะจะสร้างปัญหาสังคมใน อนาคตอย่างมากมาย อันอาจจะกระทบต่อชีวิตผู้อื่นด้วย และการรับทารกซึ่งพ่อแม่ไม่ต้องการโดยการเป็นบุตรบุญธรรมก็มิใช่เป็นการแก้ ปัญหา
       
       กลุ่มนี้ยังยืนยันอีกด้วยว่า การทำแท้งในปัจจุบันไม่มีความเสี่ยงทางการแพทย์ ขณะที่ปัญหาทางการแพทย์และจิตวิทยาจะเกิดขึ้นกับสตรีที่ปล่อยให้การตั้ง ครรภ์ดำเนินต่อไปมากกว่าสตรีที่ตัดสินใจทำแท้ง ยิ่งเป็นการตั้งครรภ์ที่เกิดจากการถูกข่มขืน ปัญหาทางจิตใจของสตรีผู้นั้นยิ่งมีมากขึ้น ดังนั้นการทำแท้งจึงเป็นการช่วยเหลือให้สตรีเหล่านั้นหลุดพื้นจากความทุกข์ และความทรงจำที่เจ็บปวดได้เป็นอย่างมาก
       
       กลุ่มสนับสนุนการทำแท้งยอมรับว่าผู้หญิงควรมีความรับผิดชอบในกิจกรรม ทางเพศของตนเอง และเมื่อถึงคราวจำเป็น การทำแท้งก็เป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบนี้ อีกทั้งการตัดสินใจทำแท้งเป็นสิทธิในการเลือกของผู้หญิงว่าจะทำแท้งหรือไม่ ทำ ไม่ว่าใครก็ไม่ควรเข้าไปแทรกแซง
       
       ด้านกลุ่มที่คัดค้านการทำแท้งมีเหตุผลหลายประการ ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
       
       ประการแรก ชีวิตมนุษย์เริ่มต้นตั้งแต่มีการปฏิสนธิระหว่างอสุจิกับไข่ ยิ่งกว่านั้นในความเชื่อทางศาสนาชีวิตมนุษย์มิใช่เป็นเพียงแต่เรื่องทาง กายภาพเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของทางจิตวิญญาณอีกด้วย ดังในประเทศไทยที่มีความเชื่อว่าทารกที่ถูกทำแท้งมิอาจเผาได้ เพราะถือว่าเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ที่มิเคยกระทำบาปใดๆ มาก่อน
       
       ประการที่สอง ทุกชีวิตมีสิทธิอย่างสัมบูรณ์ในการดำรงชีวิตของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิของทารกที่ยังไม่กำเนิดและยังมีความบริสุทธิ์ ก็ควรจะมีสิทธิในชีวิตเฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ที่เกิดมาแล้วทุกคน ไม่ว่าใครก็ตามแม้จะเป็นมารดาก็ไม่มีสิทธิในการทำลายชีวิตเหล่านั้น
       
       ประการที่สาม การทำแท้งเป็นกิจกรรมที่เป็นอันตรายทั้งต่อมารดาและทารก ขณะที่อันตรายของการตั้งครรภ์และการคลอดบุตรในโลกยุคปัจจุบันมีน้อยเป็น อย่างยิ่งเพราะความก้าวหน้าทางการแพทย์
       
       ประการที่สี่ เด็กที่เกิดออกมาหากไม่เป็นที่ต้องการของพ่อแม่ รัฐจักต้องเป็นผู้ดูแลและพยายามจัดหาบิดาและมารดาบุญธรรมให้ หรืออาจจัดตั้งสถาบันหรือองค์การที่ดูแลเด็กเหล่านี้ให้เป็นพลเมืองที่มี คุณภาพ และหากรัฐมีปัญหาเรื่องการเงินก็แก้ได้ไม่ยาก เช่นอาจนำเงินจากการบริจาคของวัดต่างๆมาใช้ในการนี้ หรืออาจมาจากการเก็บภาษีสุราซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการกระตุ้นให้มีเพศ สัมพันธ์ในช่วงวัยรุ่น หรืออาจเก็บเงินจากภาษีแหล่งบันเทิงเพิ่มขึ้น เป็นต้น
       
       ประการที่ห้า ผู้หญิงต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่สำหรับกิจกรรมทางเพศ และเมื่อกิจกรรมเหล่านี้ก่อให้เกิดการตั้งครรภ์ ชีวิตบริสุทธิ์ของทารกไม่สามารถใช้เป็นสิ่งบูชายันต์เพียงเพราะความไม่ระมัด ระวังและความรักสนุกของผู้หญิงได้
       
       ประการที่หก การข่มขืนหรือการร่วมประเวณีทางสายเลือด ก็มิใช่เป็นเหตุผลที่ชอบธรรมในการอ้างสำหรับการทำลายชีวิตที่บริสุทธิ์ของทารก
       
       สำหรับในสังคมไทยปัจจุบันในทางกฎหมายยอมให้มีการทำแท้งได้หากการตั้ง ครรภ์นั้นเกิดจากถูกข่มขืนหรือเมื่อการตั้งครรภ์เป็นสิ่งที่ก่อให้เกิด อันตรายต่อสุขภาพมารดา แต่ทั้งนี้ต้องอยู่ในดุลพินิจของแพทย์ โดยความยินยอมของสตรีที่ตั้งครรภ์
       
       ร่างที่ไร้วิญญาณ ซุกอยู่ในถุงพลาสติกในโกดังของวัด ไร้แผ่นดินจะกลบฝัง ไร้เปลวเพลิงแผดเผา จำนวนมากนับพันที่ปรากฏออกมาให้สังคมได้รับรู้ ราวกับว่าพวกเขาได้ส่งสัญญาณบ่งบอกผู้คนในสังคมให้ตื่นขึ้นมาและตระหนักว่า ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจักต้องพิจารณาเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง เพื่อหาทางในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทำแท้งที่นับวันจะมีมากขึ้น
       
       ทางออกจะเป็นอย่างไรนั้น ในขั้นแรกควรจะเริ่มจากการยอมรับความเป็นจริง และใช้การสานเสวนาในกลุ่มผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายเพื่อกำหนดมาตรการที่เหมาะสม และเป็นไปได้ในการปฏิบัติ เรื่องนี้ควรทำอย่างเร่งด่วน การดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังนับเป็นการสร้างกุศลให้กับประเทศ เพราะเท่ากับเป็นการช่วยชีวิตทารกที่บริสุทธิ์ให้มีชีวิตและเติบโตต่อไป

ASTVผู้จัดการรายวัน    26 พฤศจิกายน 2553