ผู้เขียน หัวข้อ: ความโชคร้ายของหมอผ่าตัด-เข็มตำและ HIV  (อ่าน 6818 ครั้ง)

knife05

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 60
    • ดูรายละเอียด
เพื่อนๆหมอเคยคิดไหมครับ ว่าวันหนึ่งถ้าเรากลับมามีเชื้อ HIV เราจะสามารถทำงานหนักได้อย่างเดิมไหม แล้วเราจะมีโอกาสแพร่เชื้อให้คนไข้ได้หรือไม่ แล้วสุดท้าย เราควรจะเป็นหมอต่อไปหรือไม่
ส่งโดย: bvm

26 มค. 49 เป็นวันแรกที่ผมรู้่ว่าผลเลือดผิดปกติ ซึ่งจริงจริงแล้วผมไม่ได้ตั้งใจอยากจะเจาะเลือดเท่าไร แค่เจาะไปตามหน้าที่ แต่พี่เฉาฝ่ายการพยาบาลบอกว่า หมอต้องไปเจาะให้ครบครบนะ หมอโดนเข็มตำมา พี่ต้องเขียนรายงานให้ผู้้้้้อำนวยการ มันทำให้ผมรู้สึกว่าถ้าผมไม่ยอมไปเจาะเลือดคงทำให้พี่เฉาลำบาก

เช้าวันนี้ผมก็ไปเจาะเลือดเหมือน3ครั้้งก่อน ผมเดินไปที่่ห้องฉุกเฉิน เข้าไปหาพี่อาร์ทให้ช่วยเจาะเลือดให้ พี่อาร์ทป็นพยาบาลสาวสวยใจดีที่น่ารกมากคนนึง ผมไม่เคยรู้เลยว่าพี่อาร์ทมือเบาขนาดนี้ ผมแทบไม่รู้สึกเจ็บเลย ทุกอย่างช่างเป้นไปอย่างเรียบร้อย ผมฝากเลือดไปส่งที่ห้องแล็ป เดินออกจากห้องฉุกเฉินอย่างสบายใจเพราะผมคงไม่ต้องมาเจาะเลือดอีก ครั้งนี้แหละ ครั้งสุดท้ายที่เราจะเจ็บตัว

ผมกลับไปนั่งตรวจคนไข้ที่แผนกผู้ป่วยนอก วันนี้เป็นวันที่คนไข้มากจริงจริง ที่นั่งรอก็เต็ม ทั้งคนไข้และญาติก็ยืนรอกันเกะกะไปหมด วันนี้ผมคงต้องรีบตรวจหน่อยแล้ว ไม่งั้นคนไข้คงจะรอแย่ซะก่อน แต่พอตรวจไปได้ประมาณ 1 ชั่วโมง คุณพรชัยโทรจากห้องแล็ปว่าอยากพบผม ถ้ามีเวลาขอให้รีบไปที่ห้องแล็ปด้วย ในตอนแรกผมคิดว่าเลือดคงไม่พอ ขอตรวจใหม่่ ซึ่งคุณพรชัยบอกว่าขอเจาะเลือดใหม่จริงจริง แต่เหตุผลกลับไม่ใช่ คุณพรชัยบอกว่าผลมันเป็น weakly positive อยากจะขอตรวจใหม่ด้วยวิธี ELISA โดยใช้น้ำยาตัวใหม่ หลังจากได้ยินคำขอ ผมก็รีบเดินไปที่โต๊ะเจาะเลือดอย่างรวดเร็วราวได้รับคำสั่งมา ท่วงท่าผมไม่มีความกังวลใจเลยซักนิด แต่ในใจนั้นกลับหยุดนิ่งอยู่กับที่เหมือนไม่มีอะไรอยู่รอบตัว ห้องเจาะเลือดที่คาคร่ำไปด้วยผู้คนกลับเงียบเหมือนไม่มีใครอยู่ซักคนเดียว ผมกลับมาคิดถึงคำพูดคุณพรชัยเมื่อกี๊ว่าประโยคที่พูดเมื่อครู่มันหมายถึงอะไ รกันแน่ มันน่าแปลกที่แพทย์ใช้ทุนปี3อย่างผมไม่เข้าใจคำว่า weakly positive แปลว่าอะไร ในวินาทีนั้นผมแปลว่ามันคือ false positive หมายความว่าคุณพรชัยคงตรวจผลเลือดผมผิด แล้วไม่มั่นใจเลยขอตรวจซ้ำด้วยน้ำยาที่ดีกว่าเก่าเพื่อจะได้ยืนยันผลให้ผม ผมเดินกลับหอพักคนเดียว แต่วันนี้มันเป็นตัวคนเ ดียวที่ไม่เหมือนทุกวัน ใจกับตัวมันไม่ได้มาด้วยกัน ขาว่าก้าวไป แต่ใจอยากเดินกลับไปถามอีกรอบว่าที่คุณพรชัยพูดมันแปลว่าอะไร ตกลงผม HIV positive หรือไม่ ผมเดินมาถึห้อง นั่งลงบนเตียง คิดย้อนถึงเหตุการณ์ที่เกิดในชั่วครู่หลายสิบรอบ... ผมลืมกลับไปตรวจคนไข้ต่อ... ผมลืมไปroundเย็น... ผมไม่ได้รบโทรศัพท์ที่รพ.ตาม... ผมกำลังทำอะไรที่นี่!!!

นั่งอยู่เปล่าเปลี่ยว วนเวียนว้าวุ่น ทบทวนความหลัง ว่าเราเป็นอะไร
เรามาทำอะไรที่นี่ เป็นหมอแล้วดีตรงไหน หากไม่เป็นแล้วเราจะทำอะไร แต่ยังไงคงไม่่เป็นเอดส์ซะเอง

ผมยังนั่่งสับสนอยู่บนเตียงคนเดียว ผมคิดอะไรไม่ออก แต่จริงจริงแล้วคงต้องบอกว่าไม่รู้ว่าควรเริ่มคิดจากตรงไหน ผมตัดสินใจปรึกษาเพื่อนที่สนิทที่สุดของผม ผมเริ่มเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างช้าๆ ตั้งแต่ว่าผมโดนเข็มตำนิ้วกลางมือซ้ายตั้งแต่ มิย 48 ตอนนั้นผมทำผ่าตัด appendectomy ให้กับคนไข้ผู้หญิง HIV infection อายุ 24 ปีซึ่งตอนนี้ไปทำงานที่ฟิลิปปินส์ ผลการเจาะเลือดครั้งแรกของผมนั้น HIV neg ทางรพ.ก็มีguidelineในการตรวจเลือดซ้ำตอน 1เดือน ,3เดือน และ 6เดือน ผมกินยาเป็นสูตร 4ตัว กินครบ1เดือน ตรวจเลือดซ้ำที่ 1,3 เดือน ผลHIV ก็ยัง neg อยู ตอนนั้นผมคิดว่าผมคงรอดแล้วล่ะ เพราะคำบอกเล่าจากเพื่อนฝูงก็บอกว่า บางคนไม่กินยายังไม่เป็นเลย แล้วมึงจะเป็นได้ยังไง ผม consult พี่infectious ในรพ. เค้าก็บอกว่าตั้งแต่เค้าดูมาเค้ายังไม่เคยเจอ HIV positive จากโดนเข็มตำเลย่ ที่สำคัญที่สุดคือเลยwindow period ไปแล้วซึ่งผมคงสบายแล้วล่ะ

แต่บางสิ่งในชึวิตมันกลับไม่เหมือนในตำรา เราเดินไปตรงๆแต่เราก็หลุดจากเส้นทางได้ถ้าเราลืมดูว่าจริงจริงแล้วมันเป็นท างโค้ง ที่ในหนังสือเค้าบอกว่าถ้าเกิน 3เดือนจากการcontactเชื้อ แสดงว่าปลอดภัย แต่จริงจริงเค้าศึกษาใน normal population ไม่ใช่คนที่กิน ARV ครบ1เดือน จึงไม่่น่าแปลกใจที่ผลHIVจึง positive ที 6 ่เดิอน (เค้าถึงให้เจาะเลือดที่6เดือนไงล่ะ)

ผมคุยกับเพื่อนอยู่นาน สุดท้ายผมตัดสินใจที่จะไปหาที่เจาะเลือดในรพ.เอกชนเพื่อยืนยันผลการตรวจ ที่นั่นทำให้ผลได้รับคำตอบ คำตอบที่เป็นความจริง ความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ความจริงที่ผมมี HIV

ผลการยืนยันสรุปว่าผมติดเชื้อจริง… ติดเชื้อจริงจริง…. ติดเชื้ือจริงจริงเหรอ….. ผมถามประโยคนี้กับตัวเองในทุกๆก้าวที่เดิน ผมเดินกลับมาถึงรถ ผมขับรถไม่ไหวแล้ว ตาผมมองไปข้างหน้าแต่กลับมองไม่เห็นแสงไฟมาจากที่ใด ผมสงสัยว่าทำไมต้องเป็นผม มีคนเป็นอย่างผมอีกหรือไม่ ผมทำผิดอะไรไว้สิ่งนี้จึงเกิดกับผม ผมควรจะโทษตัวเองที่เอาเข็มทิ่มนิ้วตัวเอง หรือว่าโทษพ่อแม่ทีผลักดันจนผมได้มาเรียนหมอ หรือว่าโทษกรรมเก่าที่คนเราชอบอ้างถึงแต่ไม่มีใครตอบได้ว่ามันคืออะไร ผมนิ่งเงียบ เพื่อนผมพูดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าจะปลอบได้ยังไง………..ผลกลัวตายครับ……..ผมเพิ่งรู้สึกจริงจริงกับตัว ว่่าผมกลัว ถึงแม้เรารู้ว่าซักวันนึงเราตองตาย แต่ก็ไม่ใช่ตอนนี้ ผมเพิ่งอายุ 26 ผมยังไม่อยากตาย ผมกลัว PCP ผมไม่อยากเป็น Crypto meningitis ผมกลัวแม้แตเป็น PPE ...ผมกลัว

ความตายไม่ใช่เรื่องเล่นเล่นอย่างที่เราเคยเข้าใจซะแล้ว พวกเราอยู่กับความเจ็บป่วยมานาน สิ่งที่เราทำกันอยู่ในปัจจุบันคือรักษาโรคแต่เพียงอย่างเดียว จนลืมไปแล้วว่าจริงจริงเรารักษาคน เราดูแต่เจ้าของร่างกายโดยที่เราลืมรักษาจิตใจที่ร่วมมาด้วย ผมย้อนคิดไปถึงอดีตที่ดูแลคนไข้ มีคนไข้จำนวนมากที่ป่วยเป็นโรคที่อาจทำให้เสียชีวิต แต่เรากลับบอกพวกเขาสั้นๆว่า คุณป้าเป็นมะเร็งครับ คุณติดเชื้อ HIV ครับ มันพอแล้วหรือหรือเปล่า ผมไม่เคยเข้าใจความรู้สึกนี้มาก่อนจนกระทั่งวันที่เจอกับตัว การที่รู้ว่าเราต้องตายถึงแม้จะอีกนาน แต่มันก็ทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่มันไม่มีความสุขสักนิด ทุกสิ่งรอบตัวที่เคยดูสวยงาม ตอนนี้มันไม่มีความหมาย ผมเดินผ่านมันไป ดูเหมือนเป็นเพียงอากาศธาตุเท่านั้น

ผมตัดสินใจบอกแฟนผมเรื่องผลเลือด ผมไม่สามารถปิดบังเรื่องนี้กับเค้าได้ ผมชอบเค้ามาก มากจนไม่สามารถเอาเค้าเข้ามาอยู่กับตัวผมได้อีก ผมเป็นแฟนกับเค้ามาเกือบสามปี เดือนหน้าก็จะป็นวันครบรอบสามปีพอดี ช่วงที่ผมไปใช้ทุนต่างจังหวัด ก็ไม่ค่อยได้เจอกัน ตอนนี้ใช้ทุนเกือบครบแล้วกลับต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ผมบอกกับเค้าว่า ผมขอโทษ ตอนนี้ผมไม่ได้มีทุกอย่างพร้อมเหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะสิ่งที่ขาดไป่ไม่มีใครมาทำให้เป็นเหมือนเดิมได้้ ผมชอบโ…มาก แต่เราคงไ่ม่่สามารถใช้ชีวิตอยู่กันได้หรอก ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนไร้ค่า ความรู้สึกของหมอกับคนไข้ที่ติดเชื้อ มันทำให้ผมรังเกียจตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

เรื่องของโ…เป็นไปตามที่ผมวางแผนไว้ เธอโทรมาคุยกับผมนานนานครั้ง ห่างขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เราไม่ได้ติดต่อกันแล้ว ถึงแม้เราจะไม่ได้บอกเลิกกันอย่างเป็นทางการทำให้ผมเข้าใจในการในการตะดสินใ จของเขา และก็ไม่เคยโกรธเขาแม้แต่ครั้งเดียว ความรู้สึกของผมต่อโ…ก็ยังเป็นเหมือนเมื่อก่อน ไม่เคยเปลี่ยนแปลง

เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนไป
ความสดใส ไม่กลับมา
ความรัก กลับจากลา
เพราะเพียงว่า เราเปลี่ยนไป

knife05

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 60
    • ดูรายละเอียด
Re: ความโชคร้ายของหมอผ่าตัด-เข็มตำและ HIV
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 19 มีนาคม 2013, 21:49:30 »
วันรุ่งขึ้น ผมเริ่มรู้ตัวเองว่าผมไม่สามารถ แบกปัญหาที่ใหญ่ขนาดนี้บนบ่าตัวเองได้ ผมโทรไปหาพี่เนศ่ (เป็นพี่medที่ดูแลบุคลากรในรพ.ที่โดนเข็มตำ) พี่เนศเค้าตกใจมาก เค้าถามถ้าพอมีเวลาไปหาเค้าที่บ้านตอนเที่ยงหรือไม่ พี่เนศอยากคุยกับผมเป็นการส่วนตัว ในวินาทีนั้นผมตื่นเต้นมาก ผมอยากให้พี่เค้าบอกว่าผมเข้าใจผิด บอกว่าผลการตรวจผิดพลาด หรือบอกว่าใช้น้ำยาผิด หรืออะไรก็ได้ ผมไม้รู้ว่าผมจะยืนบนขาคู่เดิมได้อีกนานแค่ไหน ผมไม่เคยรู้สึกเหนื่อยขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ผมเหนื่อยจริงจริง

เมื่อถึงเวลาเที่ยง ผมก็รีบไปพบพีเนศ ตามที่นัด บ้านพักของพี่เค้าอยู่ในรพ. มีหมาพุดเดิ้ลคอยให้การต้อนรับผมเป็นอย่างดี พี่ชวนผมให้นั่งรอที่โซฟา ผมรู้สึกเหมือนผ่อนคลาย พี่เค้าจึงขอให้ผมเล่าอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ผมค่อยๆเล่า ค่อยๆเรียบเรียงเรื่องทุกอย่่างให้พี่เค้าฟัง พี่เนศมีทีท่าตั้งใจมาก แต่ไม่ได้ทำหน้าตกใจหรือตื่นเต้นมากเกินไปนัก หลังจากผมเล่่าจบ ผมรู้สึกว่าการมาครั้งนี้ของผมไม่เสียเที่ยวเลยจริงจริง พี่เค้าเป็นทั้งหมอและเป็นทั้งพี่ที่มีแต่ความห่วงใย และความปรารถนาดีมากมาย ผมรู้สึกได้ ผมรู้สึกได้ว่ามันมีรัศมีออกมาจากตัวเค้าจริงจริง ในชีวิตนี้ผมเคยได้สัมผัสแบบน้้มาจากพ่อแม่เท่านั้น และยังไม่เคยคิดว่าจะมีคนที่เป็นห่วงเราถึงเพียงนี้ เรื่องของผลตรวจนั้นพี่เค้าอยากให้ทำ lab confirm ก่อน เพราะว่าELISA เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอในการวินิจฉัยได้ ส่วนเรื่องเพื่อนและคนรู้จักอย่าเพิ่งบอก และอย่าเพิ่งบอกพ่อแม่เพราะว่าผลยังไม่แน่ชัดเดี๋ยวท่านจะตกใจ

ผมทำตามที่พี่เค้าบอกทุกอย่าง ผมรูสึกดีขึ้นเมื่อรู้ว่ามีคนที่มีสติมายืนอยู่ข้างๆผม ผมเดินไปเจาะเลือดเป็นครั้งที่สาม แต่คราวนี้ต่างจากครั้งอื่น เพราะผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ และทำเพื่ออะไร ผมoffเวรของทั้งอาทิตย์ตามที่พี่เนศสั่ง เดินกลับไปที่ห้องพัก นอน และทำใจให้สบายเพื่อรอผลตรวจซึ่งพี่่เค้าจะโทรมาบอกเองว่าผลเป็นอย่างไร

ผมยังคงนอนอยู่ที่เตียง นอนนิ่งอยู่นาน แต่ในใจผมไม่มีหยุดคิดซักวินาทีเดียว ประมาณบ่ายสาม ผมลุกขึ้นมานั่ง หยิบโทรศัพท์โทรไปหาเพื่อนของผมว่าผมควรทำยังไงดี ผมอยากโทรไปหาพี่เนศว่าผลเป็นอย่างไร แต่ไมากล้าเพราะกลัวว่าพี่เค้าจะยุ่งอยู่ เพื่อนผมบอกว่าให้รอไปก่อน พี่เค้าบอกแล้วว่าจะโทรบอกเอง ก็ต้องเป็นอย่างนั้น ใจเย็นรออีกหน่อย ผมนั่งรอ นอนรออยู่นาน จะโทรปรึกษาใครก็ไม่ได้ ผมรู้สึกตัวคนเดียว ผมมองออกไปนอกห้อง ผู้คนที่เรารู้จักมากมายเดินผ่าน….ไม่มีใครคุยได้เลยจริงจริงหรือนี่…ไม่มีเ ลยจริงจริง

เมื่อถึงเวลาเย็น พระอาทิตย์เริ่มหรี่แสงลง ผมรู้สึกเหมือนว่าความหวังผมกำลังจางหายไป ผมเหนื่อย ผมถอนหายใจ เอาวะ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด พี่เนศโทรมาพอดี พี่บอกว่ารอที่ห้องประชุม พี่อยากคุยด้วย ผมเดินลงจากห้องอย่างช้าช้า กลัวกับสิ่งที่กำลังจะเผชิญ ผมไม่แ่นใจว่าผมจะรับไหวรึเปล่าถ้าพี่เค้าบอกผมว่าผมติดเชื้อ คงไม่มั้ง ชีวิตคนเราต้องมีหวัง ผมเดินไป กลัวๆกล้าๆ แต่ใจมันบอกให้เดินไปเพราะมันอยากรู้ ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องประชุม พี่เนศอยู่กับพี่ปกซึ่งเป็นพี่psychiที่รพ. เค้าถามผมถึงสภาพทั่วไปของผมวันนี้ ผมไม่อยากตอบแล้วละ ผมอยากรู้เรื่องผลเลือดมากกว่า “ผลมันเป็นpositiveนะ” พี่เนศบอก หลังจากนั้นพี่เค้าพูดอะไรต่อก็ไม่รู้ ผมหูอื้อไปหมดแล้ว ผมเพียงแต่พยักหน้าเมื่อพี่เค้าพูดจบประโยค คำตัดสินมันมาแล้วล่ะ ผมบอกกับตัวเอง พี่เค้าบอกว่าเค้ารู้ผลตั้งแต่บ่ายแล้ว แต่ไม่ได้บอกเพราะว่าพี่ไม่สามารถปลีกเวลามาบอกได้ ซึ่งจริงจริงเพื่อนผมก็รู้้ตั้งแต่บ่ายแล้ว แต่พี่เนศสั่งห้ามบอก้เพราะกลัวบอกไม่ถูกวิธี

เรื่องของผมเอง ผมต้องรู้เป็นคนสุดท้ายเหรอ ผมถ่ามตัวเอง ผมเสียใจที่เพื่อนสนิทของผมหลอกผมว่าไม่รู้เรื่อง โลกนี้ให้อะไรกับผมบ้างที่ทำงานหนักและได้เงินเดือนมา 10000 บาท ผมเข้าใจตัวเองว่าผมฉลาดที่เอ็นทรานส์ติดหมอ แต่จริงจริงผมว่าผมโง่มากกว่าที่คิดเรียนหมอ ชีวิตหมอไม่ได้สวยหรูเหมือนที่วาดไว่ซะแล้ว พวกคนภายนอกที่อยากให้ลูกมาเรียนหมอจะรู้มั้ยว่ามีผมคนนี้ที่อาจจะตายเพราะม าเป็นหมอ ค่ายอยากเป้นหมอของโรงเรียนแพทย์เคยพูดหรือไม่ว่าคุณมาเรียนหมอก็เหมือนไปเท ี่ยวผู้หญิง เพราะไม่ว่าคุณจะใส่ถุงมือหรือถุงยางก็ยังติดเอดส์ได้ ผมโกรธตัว้เอง ผมโกรธเพื่อน ผมโกรธทุกคน โกรธสถาบัน ผมพาลแล้วล่ะ ผมเพิ่งรู้สีกว่าผมพาลแล้วล่ะ ผมนั่งลงเก้าอี้ในห้องนอนของผม แต่ครั้งนี้ผมร้องไห้ ผมจำไม่ได้เลยว่าผมร้องไห้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร ผมเป็นคนใจแข็งมาก เพื่อนผมมักชอบว่าผมว่าเป็นคนไม่มีหัวใจ เพราะไม่ว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงอะไรผมก็ยังนั่งเฉย เหมือนกับไม่มีปัญหาอะไร แต่วันนี้ผมรับไม่ไหวแล้วล่ะ ผมร้องไห้โฮอย่างสุดตัว ร้องอย่างสุดเสียงโดยไม่อายใคร ผมมองไปในกระจก ผมเพิ่งเคยเห็นน้ำตาตัวเองครั้งนี้เป็นครั้งแรกตั้แต่จำความได้ ผมไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตผมจะมีวันนี้

อยากจะร้องให้สุดเสียง
หวังแค่เพียงเปลี่ยนเป็นฝัน
แต่ก็รู้ว่าไม่มีวัน
เพราะว่าฝันไม่เคยทำให้เจ็บลงไปลีกสุดในหัวใจ

เวลาผ่านไปเป็นอาทิตย์ แต่ผมก็ยังทำใจไม่ได้ ตอนนี้เพื่อนผมประมาณ 6 คนที่ใช้ทุนที่เดียวกันรู้หมดแล้วล่ะครับว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง ถึงผมไม่ได้บอกด้วยปาก แต่จากสีหน้าผมทุกคนคงรู้ว่าเกิดสิ่งร้ายแรงกับผมเป็นแน่ ผมขอให้เพื่อสนิทผมเล่าให้กับเพื่อนบางคนที่อยู่ด้วยกัน เพื่อนๆผมทุกคนดีกับผมมาก ให้กำลังใจผมอย่างดี มันทำให้เรารู้สึกว่าอย่างน้อยๆก็ยังมีเพื่อนเป็นห่วงเราอยู่

ผมขับรถออกไปจากรพ.ที่ผมอยู่ประมาณ 20 กิโลเมตร เพื่อไปยังห้องแล็ปแห่งหนึงที่ต่างอำเภอตามคำแนะนำของพี่เนศ มันลักษณะเหมือนคลีนิดที่อยู่ในซอยลึกพอควร ผมเข้าไปก้บเพื่อ พบผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณ 40 ซึ่งพบคาดว่าคงเป็นเจ้าของ ผมบอกเค้าว่ามาเจาะ CD4 และ viral load พี่เค้าทำสีหน้าตกใจไปชั่วครู่ แต่ก็พูดคุยกับผมอย่างดี สิ่งนี้ยังคงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ไม่ว่าจะเป็นนักเทคนิคการแพทย์ หรือ แพทย์ จริงจริงแล้วคุณค่าของอาชีพอย่างพวกเรา มันอยู่ที่จรรยาบรรณ มากกว่าระดับความรู้ มากกว่าภาพลักษณ์ภายนอก และมากกว่าเงินทองที่เราประเมินจากสิ่งที่เราสัมผัสได้เสียอีก

ผลเลือดผมออกมาแล้ว CD4 455, 20% และ viral load 610, log 2.79 ถึงตอนนี้ผมหมดสิทธิ์ deny แล้วครับ ผมมีเพื่อนใหม่มาอยู่กับผมตั้ง610 ตัวต่อเลือด 1cc ชีวิตตอนนี้ผมต้องเปลี่ยนไปอย่างถาวรแล้ว ผมต้องระวังเลือดของตัวเองไม่ให้ไปโดนอื่น เรื่องแฟนคงหมดโอกาส คงไมมีใครคิดจะมีแฟนเป็นคนติดเชื้อหรอกใช่มั้ยครับ

ถึงวันนี้ผมมองย้อนไปในวันที่เกิดเหตุ 6 เดือนก่อน้ผลเลือดจะผิดปกติ วันนั้นผมง่วงมาก ผมหลับไปและโดนตามมาทำ appendix ตอนเที่ยงคืน ซึ่งยังไงก็คงต้องทำเพราะเป็นหน้าที่ แต่สุดท้ายผมก็ทำเข็มทิ่มตัวเอง…..ตกลงใครผิด…ผมทบทวนเรื่องนี้อยู่หลายครั้ ง ผมผิดหรืือเปล่าที่ประมาทเลินเล่อ แต่ผมทำงานมาทั้งวัน เหนื่อยก็เหนื่อย และต้องอยู่เวรต่ออีก ถ้าชีวิตผมเป็นแบบนี้ยังไงก็ต้องมีซักวันที่ต้องโดนเข็มทิ่มแน่แน่
หรือว่าผมควรจะโกรธคนไข้ ถ้าเขาไม่ติดเชิ้อ เรื่องเลวร้ายเช่นนี้ยังไงก็คงไม่เกิดขึ้น ตอนนี้ผมคงไม่รู้สึกแย่ขนาดนี้

ถึงตอนนี้ผมไม่ได้โกรธใครเลย เพราะผมถามตัวเองว่าถ้าผมย้อนกลับไปวันนั้น ผมจะยังผ่า appendix ในคนไข้ติดเชื้ออีกหรือไม่ คำตอบก็คือผ่า เพราะถ้าไม่รักษาเค้า แล้วใครจะไปรักษาเค้า เราเกิดมาเป็นที่พึ่งของคนหมู่มาก ถึงแม้เราจะได้เงินตอบแทน(ในบางครั้ง) แต่สิ่งที่เราทำลงไปแลกมาได้ด้วยชีวิตของคนไข้ ผมมองว่ามันน่าจะคุ้มนะ ถึงแม้ว่ามันจะแลกมาด้วยอนาคตของผมเอง

ผมเคยได้ยินเรื่องค่าตอบแทนถ้าเกิดบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อที่เกิดจากการ ทำงาน ประมาณ 1-2 ล้านบาท ซึ่งในกรณีของผม มีผลเลือดของรพ.ที่ปกติแล้วเปลี่ยนมาเป็นติดเชื้อ อย่างน้อยน้อยผมก็ได้มาเป็นค่ายาในอนาคตเพราะคงมีวันนึงที่ CD4ต่ำกว่า 200 ผมถามเรื่องนี้กับพี่เนศ พี่เค้าบอกว่าเค้าก็ไม่รู้ เพราะว่าไม่เคยเจอเรื่องนี้มาก่อน ผมกับพี่เนศจึงขึ้นไปปรึกษากับผู้อำนวยการ ท่านแสดงความเห็นอกเห็นใจผมเป็นอย่างมาก และก็ยินดีจะช่วยดำเนินการให้ แตมันอาจไม่ง่ายอย่างที่ผมคิด ท่านแนะนำว่าให้ลองคิดดีดี เพราะการจ่ายเงินของระบบราชการล่าช้าและซ้ำซ้อนมาก ชื่อของผมจะต้องโดนเสนอไปถึงกระทรวง เงินเป็นล้านราชการคงไม่ยอมให้คุณง่ายๆหรอก และน่าจะมีการสอบด้วย ถึงตอนนั้นจะมีคนจำนวนมหาศาลรับรู้ว่าผมติดเชื้อ ผมทำใจได้หรือ้เปล่า ถ้าเพื่อนผมรู้ว่าผมติดเชื้อ จะมีกี่คนที่คิดว่าผมติดเชื้อจากการทำงาน ถ้าอาจารย์รู้ ผมจะได้มีโอกาสเรียนต่อหรือไม่ แต่ที่แน่แน่ถ้าคนไข้รู้ ไม่มีทางที่พวกเค้าจะมาตรวจกับเราเป็นแน่

คำตอบก็คือ ไม่ ผมทำใจไม่ได้ ผมลองกลับมาคิดดู เงินล้านน่ะผมใช้เวลาเท่าไรในการหามาด้วยตัวเอง ถ้าวันนี้ผมลาออก ไปทำงานรพ.เอกชน แค่อยู่คลินิกประกันสังคม ภายในปีเดียวผมก็หาได้แล้ว มันจะคุ้มหรือที่ผมขายข้อมูลตัวเองซึ่งเงินที่ได้มาเป็นเงินที่ผมหาได้ใน 1 ปีเทียบกับชิวิตที่เหลืออยู่อีกหลายสิบปี คิดยังไงก็ไม่คุ้ม

ผมรู้สึกชีวิตผมมันน่าตลก คนเค้าว่าคนที่มาเรียนหมอเป็นคนที่เรียนเก่งอันดับต้นต้นของประเทศ แต่สุดท้าย หมอกลับเป็นอาชีพขาดคุณภาพชีวิตอย่างมาก ทำงานก็หนัก ชีวิตของพวกเราเมื่ออยู่ในสายงานรัฐบาลก็มีแค่พอกิน ไม่ได้อยู่สบายเหมือนกับคนอื่นเค้า พอเกิดเรื่องเราก็ไม่มีโอกาสได้อะไรเลย…งั้นเหรอ

หากรักสบายซักนิด
นึกคิดทำขี้เกียจ
ถึงตอนนี้คงไม่เครียด
ที่กระเดียดมาเป็นหมอ

เวลาย้อนกลับไม่ได้
สิี่งที่เปลี่ยนไม่รั้งรอ
หากยังนั่งเพียงวอนขอ
ก็ไม่รูต้องรออีกเท่าใด

ชีวิตในวันนี้
โทษใครดีที่เปลี่ยนไป
เพราะเราหรือเพราะใคร
หรือเพราะไซร้ที่เกิดมา

ทุกคนมีความทุกข์
แต่ถ้าลุกมารักษา
อย่ายอมแพ้กับชะตา
เพราะว่าข้าคือคนจริง

knife05

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 60
    • ดูรายละเอียด
Re: ความโชคร้ายของหมอผ่าตัด-เข็มตำและ HIV
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: 19 มีนาคม 2013, 21:54:20 »
3 อาทิตย์ผ่านไป สภาพจิตใจของผมดีขึ้นตามลำดับ ถึงแม้ว่ายังไม่เหมือนเดิมนัก แต่ว่าอย่างน้อยผมก็รูว่าผมยังมีคนเป็นห่วงและให้กำลังใจอยู่อีกมาก ที่สำคัญวันนี้เป็นวันศุกร์ วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็ไม่มีเวร ผมจะได้กลับบ้านซักที เผื่อว่าอะไรจะดีขึ้น

ผมไม่ได้กลับบ้านมาซัก 2 เดือนแล้ว พ่อแม่ผมดีใจที่วันนี้ผมจะกลับและอยู่กับที่บ้านในวันหยุด แต่การกลับบ้านครั้งนี้ของผมไม่เหมือนทุกครั้ง ผมวางแผนที่จะบอกข่าวร้ายที่สุดให้กับคนที่ผมรักที่สุดซึ่งก็คือพ่อแม่ของผม ตลอดทางระหว่างผมขับรถกลับกรุงเทพ ผมคิดหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะบอกโดยที่เจ็บน้อยที่สุด แต่ก็คิดไม่ออก เพราะว่าเรื่องของผมมันไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับกันได้ง่ายๆ ผมไมอยากให้พ่อแม่เป็นเหมือนกับที่ผมที่รู้ข่าวในช่วงแรก

คืนวันเสาร์ ผม พ่อแม่ และน้องน้อง นัดกันไปกินข้าวเย็นด้วยกัน ถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยได้เจอกันบ่อยนัก แต่ครอบครัวของผมก็ยังเป็นครอบครัวที่อบอุ่น มีความสมัครสมานสามัคคีกันดี ผมทำตัวเหมือนทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราคุยกันหยอกล้ออย่างเคย ทุกคนต่างเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนที่ไม่ค่อยได้เจอกัน แม่ถามผมว่า ทำงานเหนื่อยมั้ย คนไข้เยอะหรือเปล่า อย่ามัวแต่หาเงินนะ กลับมาบ้านบ้างก็ได้ ผมยิ้มกลับให้แม่ แต่หัวเราะไม่ออก คำถามของแม่มันช่างเจ็บปวดเหมือนกับจะบังคับให้ผมบอกข่าวร้ายตรงนัน ภายในตาทั้งสองมีน้ำตาเอ่อรอล้นออกมา ผมตอบแม่ว่า ผมสัญญา เพราะต่อไปนี้ผมคงไม่ทำงานหนักอีกแล้ว แม่ฟังผมแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร

เมื่อกลับถึงบ้าน คืนวันอันแสนสุขได้ผ่านไป ความจริงที่กำลังจะปรากฎต่อหน้าพ่อแม่ผมไม่แน่ใจว่าท่านจะรับไหวหรือไม่ ผมสัญญากับพี่เนศแล้วว่าผมจะบอกเมื่อผมพร้อม เพราะว่าพ่อแม่ก็คงมีอาการเหมือนกับผมในช่วงแรกที่ทราบข่าว ผมจำเป็นต้องมีสติและเป็นผู้คุมสถานการณ์ให้ได้ ผมพร้อมแล้ว ผมบอกตัวเองว่าผมพร้อมแล้ว วันนี้เราจะเผชิญหน้ากับความจริง

ผมเดินเข้าไปในห้องนอนของพ่อแม่ กดล็อกประตู นั่งบนเก้าอี้ในห้อง ทำหน้าตาจริงจังเล่าเรื่องในอดีตที่เกิดขึ้นอย่างเป็นขั้นตอน พ่อแม่ผมเริ่มสีหน้าไม่ดีเพราะรู้ว่าน่าจะมีเรื่องร้ายเกิดขึ้น “ผมติดเชื้อ HIV” ผมบอกพ่อแม่เป็นประโยคสุดท้ายว่าผมติดเชื้อ HIV ในตอนนั้นแม่ผมล้มลงไปคุกเข่ากับพื้น ร้องไห้และสับสนมากในเรื่องราวที่เกิดขึ้น พ่อผมยืนนิ่ง ตกใจไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ผมก้มลงไปประคองแม่ของผมขึ้นมาจากพื้น แต่แม่กุมมือผมแน่นทั้งสองข้าง โอบกอดรัดตัวผมแนบสนิท เหมือนกลัวว่าใครจะพรากของที่รักที่สุดไป “แม่ขอโทษลูก แม่ขอโทษ แม่ไม่ได้ตั้งใจที่บังคับขู่เข็ญให้เรียนหนังสือ แม่เพียงหวังจะให้ลูกได้ดีเมื่อโตขึ้น แม่ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องนี้เกิดกับลูก แม่ขอโทษ” แม่ผมพูดแล้วร้องไห้ไม่หยุด ผมไม่เคยเห็นแม่ร้องไห้มากขนาดนี้มาก่อน แม่คิดว่าผมกำลังจะตาย แม่ผมคิดอย่างนั้น ผมค่อยๆอธิบายเรื่องราวของโรคนี้ทั้งหมดให้แม่ฟัง แม่สนใจมาก ถามทุกประเด็นที่ท่านสงสัย แม่ถามผมว่าลูกจะลาออกไหม กิจการที่บ้านมันมากพอที่ผมจะไม่ต้องเหนื่อยอีกเลยตลอดชีวิต ผมไม่รู้หรอก ผมคิดไม่ออก ผมไม่กล้าตัดสินใจ

สุดท้ายผมก็ได้ทำบาปครั้งใหญ่่คือสร้างความทุกข์อย่างใหญ่หลวงให้กับพ่อแม่ คืนนั้นแม่ผมนอนร้องไห้ทั้งคืน ผมเสียใจกับเรื่องร้ายๆที่ผ่านมาในชีวิตผมและครอบครัว แต่ผมก็ดีใจเพราะอย่างน้อยตอนนี้ผมก็มีเพื่อนมาเดินอยู่ข้างๆผมอีกสองคนแล้ว

คืนวันอาทิตย์ ผมเก็บของเตรียมกลับไปต่างจังหวัดเหมือนเคย แม่เดินเข้ามาพูดคุยกับผมตลอด ผมจำได้ดีว่าคำพูดทุกคำของแม่ที่พูดกับผมตอนนั้นมันกลั่นออกมาจากความห่วงใย ที่สุดที่คนคนหนึ่งจะให้กับคนคนหนึ่งได้ แม่เป็นห่วงผมในทุกเรื่อง แม่ถามทุกคำถามที่แม่นึกออก ผมหัวเราะให้แม่ ผมหัวเราะครั้งแรกของผมให้กับแม่ ผมรู้สึกเหมือนผมกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง

ผมกลับไปทำงานตามปกติ ตอนนี้ผมดีขึ้นมาก ผมบอกทุกคนที่ควรจะรู้จนครบแล้ว รู้สึกเหมือนหน้าที่ผมลุล่วงไปด้วยดี วันนี้ผมมีกำลังใจมากขึ้นกว่าทุกวัน ตอนนี้ก็เหลือเพียงเรื่องของผมที่พร้อมจะเดินต่อไปหรือไม่เท่านั้น

แต่เรื่องของผมนี่แหละที่เป็นปัญหา ผมได้รับการตอบรับเพื่อเป็น resident ศัลยกรรมของโรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง พี่ที่แผนกธุรการโทรมาทวงเอกสารที่ผมยังส่งไม่ครบ เพราะว่าถ้าเกินกำหนดนั่นแปลว่าผมสละสิทธิ์ เรื่องนี้มันเป็นปัญหาใหม่ให้ผมจริงๆ คำถามคือศัลยแพทย์ที่ติดเชื้อทำผ่าตัดได้หรือเปล่า ผมสับสน ไม่กล้าตัดสินใจ ผมนอนคิดอยู่ทั้งคืน ผมอยากเรียนศัลย์ แต่ไม่รู้ว่ามัน fair กับคนไข้หรือเปล่า

วันรุ่งข้นผมเดินไปหาพี่เนศและพี่ปก ผมถามคำถามนี้กับพี่ๆ โดยหวังว่าผู้ใหญ่น่าจะมองในกรอบที่กว้างกว่าเด็ก พี่เค้าตอบว่ามองเผินๆอาจจะใช่ แต่พี่ว่าไม่ เพราะเวลาเราผ่าตัดเข็มเราจะเลอะเลือดคนไข้ตลอด เวลาพลาดโดนเข็มตำ เลือดของคนไข้ก็จะมาเปื้อนเราทำให้เราติดเชื้อ แต่ในทางกลับกันถ้าเข็มเปื้อนเลือดเราเมื่อไร เราคงเปลี่ยนเข็มนั้นเพราะมัน contaminated ไปแล้ว เราคงไม่เอาเข็มที่เปื้อนเลือดเราไปเย็บต่อ ส่วนในกรณีที่ว่ากลัวเลือดหยดลง field คงไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเราคงไม่ได้ใช้กรรไกรหรือมีดมาตัดนิ้วเรา เลือดถึงมากพอที่จะตกลงไปได้ ผมคิดดูมันก็จริง แต่คนไข้จะยอมรับเหรอ ไม่มั้ง ผมว่าไม่ ใครจะยอมให้หมอที่ติดเชื้อมาผ่าตัด

อนาคตของผมมันผันแปรไปเป็นเพราะผมอยากเป็นหมอผ่าตัด ผมก็ไม่รู้ว่าผมเป็นอะไร ทั้งที่รู้ว่าวันนี้ชีวิตผมเปลี่ยนไปในทางตรงข้ามเพราะว่าเข็ม 1 เข็มกับเลือด 0.01 ccนั้น แต่ผมก็ยังดื้อด้านกลับไปหาสิ่งนั้น ผมถามตัวเองว่าผมทำไปเพื่ออะไร คุ้มจริงจริงเหรอที่จะกลับไปเรียนหนัก ทำงานหนัก ศัลยกรรมมันเหนื่อยนะ มันจะทำให้ขีวิตมันแย่ลงหรือเปล่า ตอนนี้เราไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว เราจะมาคิดแบบเดิมไม่ได้ แต่ไม่ใช่ ใจผมตอบว่าไม่ใช่ ตัวผมเปลี่ยนไป แต่ใจยังรักเหมือนเดิม ผมยังอยากเป็นหมอศัลยกรรม ผมว่าตัวผมมีคุณค่า ผมคิดว่าชีวิตในอนาคตของผมจะไม่อยู่อย่างคนขลาด อยู่อย่างเจียมตัวว่าเป็นคนป่วยแล้วไม่คิดทำอะไร ผมเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่มาพร้อมกับผม ผลเลือดที่เปลี่ยนไปไม่ได้ทำให้ชีวิตผมจบลง ผมไม่ยอมแพ้เข็ม 1 เข็มกับเลือด 0.01 cc ในคืนนั้นแน่ ชีวิตที่เกิดมาตั้ง 20 กว่าปียังไงก็จะไม่เปลี่ยนแปลงเพราะเหตุการณ์ในช่วงวินาทีเดียว ไม่มีทาง


ลุกขึ้น ยืนหยัด กัดฟันสู้
กลับมองดู ความฝัน ครั้งหลัง
วันนี้ วันใหม่ ผมมีพลัง
ไม่มีใคร มารั้ง ผมต่อไป

ไปข้างหน้า เจ็บขา ได้บางคร้ง
เหนื่อยก็นั่ง พักใจก่อน ให้สดใส
พรุ่งนี้มา เราสู้ใหม่ ไม่อ่อนใจ
ไม่ยอมให้ สิ่งไหน มาทำลาย

ยิ้มหัวเราะ ต่ออุปสรรค ที่เกิดขึ้น
เพราะว่ามึง จะไม่เกิด เป็นซ้ำสอง
ความสำเร็จ ในวันหน้า จะมากอง
เหล่าเพื่อนพ้อง ร่วมสรรเสริญ ในโชคชัย


เรื่องถ่ายทอดจากคุณ หมอ BVM ในไทยคลินิก