ผู้เขียน หัวข้อ: ชีวิตหมอ... ชีวิตผม(นายแพทย์ภิญโญ ศรีวีระชัย)  (อ่าน 1722 ครั้ง)

seeat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 470
    • ดูรายละเอียด
“สวัสดีครับ ผมชื่อหมอภิญโญ เป็นหมอดมยาครับ” ประโยคนี้คงคุ้นหูใครหลายๆ คน เพราะเป็นประโยคที่ถูกพูดซ้ำซากจากปากของหมอหนุ่มหุ่นผอมบางคนหนึ่ง ที่ใช้แนะนำตัว ก่อนที่จะเริ่มสนทนากับผู้ป่วย
เคยมีคนถามผมว่าทำไมผมถึงต้องพูดแบบนี้ทุกครั้ง แหม ก็ผมอยากเป็นที่รู้จักของผู้ป่วยน่ะสิครับ อย่างน้อยรู้ชื่อก็ยังดี ก่อนที่จะดมยาสลบไปแล้วตื่นขึ้นมาชมหมอผ่าตัดว่าหมอผ่าเก่งจริง ๆ ผู้ป่วยไม่รู้สึกตัวเลย
ผู้ป่วยหลายคนมักคิดว่าผมเป็นคนขายของในโรงพยาบาล เพราะหน้าตาของผมค่อนข้างผิดระเบียบ ไม่ค่อยเหมือนหมอสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะคิดว่าผมเป็นคนขายประกัน ขายแบบ direct sale กันเลย ขายข้างเตียงผู้ป่วย แบบว่าซื้อปุ๊บ ตายปั๊บ ญาติรอรับเงินทันที ด้วยเหตุฉะนี้แล้วผมจึงต้องแนะนำตำแหน่งหน้าที่ตัวเองต่อท้ายไปด้วยว่าเป็นหมอดมยา
พอแนะนำตัวเองจบ ถ้าได้คุยกับผู้ป่วยที่โตแล้ว มักจะไม่มีปัญหาอะไร เป็นอันรู้กันต่อไปว่าผมจะขอประเมินสภาพความพร้อมของผู้ป่วยก่อนที่จะดมยาสลบ แต่ถ้าเป็นผู้ป่วยเด็กนี่สิครับ มักจะมีคำถามตามมาให้ผมงงเล่นอยู่บ่อยครั้ง
เด็ก   :   หมอดมยา...ยาอะไรเหรอครับ ยาหม่องหรือยาแก้น้ำมูกไหล
      :   ทำไมหมอต้องดมยาด้วยล่ะครับ หมอติดยาหรือเปล่า
ผม   :   น้าน ว่าเข้าไปนั่น
ก่อนหน้านี้ผมเคยใช้คำว่าหมอวางยา พอไปคุยกับเด็ก เด็กหน้าเหวอไปเลยครับ
เด็ก   :   ยาเหรอครับ ผมหาทั่วเตียงแล้ว ไม่มีนะครับ หมอลืมไว้ที่อื่นหรือเปล่า
ผม   :   เปล่าครับ หมอไม่ได้วางยาอะไรไว้ (รีบตอบแทบไม่ทัน)
เมื่อเด็กได้ยินเช่นนั้น จึงทำท่าโล่งอก และที่เด็ดสุด เด็กถามผมกลับมาว่า
เด็ก   :   หมอครับ วางยาเหมือนวางเพลิงหรือเปล่าครับ
เอากันเข้าไป นี่แหละครับความร้ายเดียงสาของเด็ก จะโกรธก็โกรธไม่ลง ก็ผมรักเด็กนี่ครับ
   ถึงผมจะดูหน้าเด็ก แต่ประสบการณ์ของผมก็ไม่ได้เด็กมากหรอกนะครับ ผมจบแพทย์มาเป็นปีที่เก้าแล้ว รวมทั้งจบสาขาวิสัญญีวิทยามาอีกหนึ่งแขนง
ชีวิตของหมอกับชีวิตของคนที่ถูกเรียกว่าหมอต่างกันลิบเลยครับ สำหรับผมแล้วหมอก็คือหมอ ไม่ต้องมีใครมาเรียกว่าหมอก็ยังเป็นหมออยู่วันยังค่ำ ใช่ครับ ผมเป็นหมอตามคำนิยามของผมเอง
ต่างจากคนที่ถูกเรียกว่าหมอ บางคนไม่ใช่หมอจริงๆ หรืออาจจะเป็นแค่หมอเปลือกไม้ ส่วนแก่นไม้เป็นอะไรไม่รู้ อย่างนี้แหละครับ ปุถุชน มีรัก โลภ โกรธ หลง เป็นธรรมดา ปัญหาในวงการแพทย์จึงยังเกิดขึ้นอย่างซ้ำซาก แต่ถ้าหมอทุกคนหันมาใส่ใจกับพระราชดำรัสที่สมเด็จ    พระมหิตลาธิเบศอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งวงการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่ให้ข้อคิดกับหมอทุกคนว่า “I don’t want you to be only a doctor, but I also want you to be a man” “ฉันไม่ต้องการให้เธอเป็นหมอแต่อย่างเดียว แต่ต้องการให้เป็นคนด้วย” ผมว่าก็คงจะดีนะครับ
ชีวิตของคน ๆ หนึ่งที่เป็นหมอ เป็นยังไงเหรอครับ บอกได้เลยว่าเหนื่อยมาก แต่ว่าเป็นการเหนื่อยกายนะครับ เพราะงานเยอะมากจริง ๆ คนไทยยังป่วยกันเยอะ เชื่อมั้ยครับว่าบ่อยครั้ง ผมต้องทำงานติดต่อกันถึง 32 ชั่วโมง และนาน ๆ ครั้งอาจถึง 48 ชั่วโมง (โอ้แม่เจ้า นี่คนหรือรถถังกันแน่เนี่ย)
เคยคิดหลายครั้งครับว่าทำไมผมต้องทำงานเหนื่อยขนาดนี้ ผมเชื่อว่าคำถามนี้คงเคยดังสะท้อนอยู่ในหัวสมองของใครหลายคน คำตอบของคนอื่นๆ เป็นยังไงไม่รู้ แต่สำหรับผม เหนื่อยกายแต่สุขใจครับ
ผมเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้เป็นสิบๆ ครั้งว่าความสุขที่มากกว่าการรับคือการให้ ผมไม่ค่อยเข้าใจเลยครับว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น จนถึงวันหนึ่ง สถานการณ์มันเริ่มบีบบังคับให้ผมเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ให้ (แม้จะไม่ได้ตั้งใจก็เถอะ) ผมถึงได้เข้าใจในเวลานั้นว่า ความสุขของการให้มันเป็นอย่างนี้นี่เอง
การให้ไม่จำเป็นต้องเป็นเงินทองหรือของมีค่า เพราะจริง ๆ แล้วถึงอยากจะให้ ผมก็ไม่มี แต่สิ่งที่ผมมีเท่ากับทุกคนก็คือ “เวลา” ครับ ผมก็แค่ให้เวลาแก่ผู้ป่วย เท่านี้ผมกับผู้ป่วยก็จะมีความสุขไปด้วยกันแล้วล่ะครับ ผู้ป่วยมีความสุขที่ได้หายจากโรค ส่วนผมก็มีความสุขที่สามารถรักษาให้ผู้ป่วยให้หายได้ และถ้าอยากให้ความสุขเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ลองแถมรอยยิ้มด้วยสิครับ รับรองว่าความสุขที่มีอยู่แล้วจะพุ่งปรี๊ดขึ้นไปอีกจนปรอทแทบแตกเลยล่ะครับ ลองดูสิ
ผมเคยทำงานอยู่ในโรงพยาบาลชุมชนที่แสนจะธรรมด๊าธรรมดาแห่งหนึ่ง ทางเข้ายังมีผืนนาขนาบอยู่ทั้งสองข้าง ด้านหลังติดกับวัดที่ดูเหมือนจะใหญ่กว่าโรงพยาบาล และยังมีทางเชื่อมต่อกันด้วย ทางนี้เป็นช่องสำหรับการเปลี่ยนสถานะจากผู้ป่วยให้กลายเป็นศพอย่างสมบูรณ์ ผู้ป่วยที่เข้ามารับบริการตกประมาณวันละ 200 ถึง 300 คน นี่ยังไม่รวมผู้ป่วยในอาคารชั้นเดียวท่ามกลางต้นศรีตรังอีก 3 หลัง
ผมเคยรักษาผู้ป่วยรายหนึ่งครับ ดูแลกันมานานเป็นเดือนๆ จนในที่สุดวันที่ผมรอคอยก็มาถึง วันที่อนุญาตให้เขากลับบ้านได้ซักที ในวันนั้นคุณคมแฝก (นามสมมุติ) ถามผมว่า
   คุณคมแฝก   :   หมอต้องการอะไรจากผม
ผมเริ่มรู้สึกงงเล็กน้อย นี่เขาจะมาไม้ไหนเนี่ย
   ผม      :   หมอไม่ต้องการอะไรหรอกครับ คุณคมแฝก
   คุณคมแฝก   :   เอาเหอะน่าหมอ หมอบอกมาเถอะว่าหมอต้องการอะไรจากผม
หน้าของคุณคมแฝกดูเคร่งเครียดมาก จนผมเริ่มกลัวนิด ๆ แต่ยังแข็งใจตอบกลับไปอีกครั้ง
ผม             :   เออ คือหมอไม่ต้องการอะไรครับ ก็แค่คุณหายดี นี่แหละครับที่หมอต้องการ
คุณคมแฝก      :   เว้ย หมอนี่พูดไม่รู้เรื่อง ผมบอกให้หมอบอกมาว่าหมอต้องการอะไร
คุณคมแฝกเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนผมก็เริ่มซีดลงเรื่อย ๆ แปรผกผันกันตามระดับเดซิเบล
ผม             :   เอางี้ละกัน หมอขอให้คุณออกจากโรงพยาบาล แล้วไม่ต้องกลับมาอีก คุณทำได้มั้ย
เมื่อสิ้นเสียงของผม ความเงียบกริบเข้าครอบเงาไปทั่วทั้งตึก ผมค่อยๆ ละสายตาจากรายงานที่กำลังอ่านอยู่ เพื่อขึ้นมามองหน้าผู้ป่วยตรงหน้าอย่างช้าๆ ช้าๆ และช้าๆ คุณคมแฝกทำหน้ามึนตึ๊บ คล้ายถูกตบด้วยคมแฝก 10 ทีติดกัน เมื่อตั้งสติได้จึงย้อนถามกลับมา
   คุณคมแฝก   :   อ๋อ นี่หมอไล่ผมเหรอ
อ้าว ซวยแล้วสิเรา ไม่ได้มีเจตนาอย่างนั้นซะหน่อย ปากหนอปาก (คิดในใจ)
สักพักหนึ่ง คุณคมแฝกทำท่าเหมือนเริ่มจะเข้าใจอะไรบางอย่าง แล้วก็เริ่ม อ๋อ อีกที
คุณคมแฝก      :   ผมเข้าใจแล้ว หมอหมายความว่าจะให้ผมเลิกเป็นผู้ป่วยสักทีใช่มั้ยครับ
ผม             :   ถูก ถูก ถูกต้องนะครับ หมออยากให้คุณรักษาสุขภาพให้ดี จะ  ได้ไม่ต้องป่วยมาโรงพยาบาล แล้วนอนเป็นเดือน ๆ อีก
ผมพูดจนลิ้นระรัวด้วยความตื่นเต้น โห รอดไปได้แฮะเรา ขอขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ช่วยปกปักษ์ดูแลลูกช้าง
คุณคมแฝก      :   ได้ครับ ผมจะดูแลสุขภาพให้ดีตามที่หมอบอก แต่ก่อนไป ผมมีของแถมให้หมออีกอย่างครับ
   ผม      :   ไม่เอาครับคุณคมแฝก หมอไม่อยากได้อะไรแล้วจริงๆ
   คุณคมแฝก   :   เอาเหอะครับหมอ ผมอยากให้หมอจริง ๆ นะ
พอพูดจบ ผู้ป่วยชายไทยร่างกำยำ หน้าตาดุดัน กลับยิ้มให้ผม แบบที่เรียกว่าปากจะฉีกถึงใบหู เห็นแล้วผมสะดุ้งเฮือก แล้วคุณคมแฝกก็หันหลังจากไป โดยไม่เคยกลับมาหาผมอีกเลย
แต่ถึงแม้เขาจะจากไปนานเท่าไร รอยยิ้มนั้นก็ยังคงอยู่ในใจของผมตลอดไป
   หลังจากนั้น ถ้ามีผู้ป่วยหลงมาถามผมอีก ว่าผมอยากได้อะไร ผมจะตอบไปทันที “หมออยากได้รอยยิ้ม ช่วยยิ้มให้หมอทีนึงได้มั้ยครับ” ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ หลังจากที่ผมพูดประโยคนี้จบ ผมจะได้พบใบหน้าที่มีรอยยิ้มแบบปากจะฉีกถึงใบหูอีกบ่อยครั้ง และใบหน้านี้แหละครับที่ช่วยให้ผมรู้สึกหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งในวันที่งานหนักสุดๆ ทำให้ผมลุกขึ้นได้ในวันที่ท้อแท้ และยังทำให้ผมกลับมาทำงานได้อีกครั้งในวันที่หมดกำลังใจ
   หมอไม่สามารถที่จะรักษาผู้ป่วยทุกรายจนโบกมือ บ๋าย บาย กลับบ้านได้ทุกคนหรอกนะครับ บ่อยครั้งที่ผมไม่สามารถรักษาผู้ป่วยให้หายจากโรคได้
   มีผู้ป่วยอยู่จำนวนหนึ่ง ถ้ารู้ว่าตัวเองหรือญาติที่ป่วยไม่สามารถจะประคับประคองสังขารในชาตินี้ต่อไปได้อีกแล้ว จะขอไปเสียชีวิตที่บ้านครับ ตอนผมเป็นหมอใหม่ ๆ ผมไม่อยากให้ผู้ป่วยเหล่านี้กลับไปบ้านเลย ผมกลัวว่าเขาจะตาย ถ้าเขาอยู่โรงพยาบาลถึงแม้โอกาสรอดจะน้อยนิด แต่มันก็ยังถือว่ามีโอกาสใช่มั้ยครับ
   ผู้ป่วยเหล่านี้ไม่ได้คิดแบบผมหรอกครับ เขาอยากจะกลับไปใช้ช่วงเวลาสุดท้ายกับคนที่รักมากกว่า กลับไปอยู่ในที่อันรู้สึกปลอดภัย มีความสุข ไม่อยากจะอยู่โรงพยาบาล กับคนที่ไม่รู้จัก สถานที่ก็น่ากลัว เตียงข้าง ๆ ก็มีคนตาย กลิ่นยาคละคลุ้งไปหมด ผมลองคิดไปว่าถ้าผมอยู่ในสถานะอย่างนั้น ผมจะทำอย่างไร คำตอบออกมาโดยไม่ต้องเสียเวลานานเลยว่า ผมจะกลับบ้านโดยด่วนที่สุด
   หลังจากนั้นเมื่อผู้ป่วยในภาวะวิกฤตที่พอจะประเมินตัวเองได้แล้วว่า เวลาที่จะมีชีวิตอยู่นั้น คงเหลืออยู่น้อยเต็มที มาขอผมเพื่อจะกลับบ้าน ผมจะเล่าถึงโรคที่เขาเป็นให้เจ้าตัวฟังอีกครั้ง ถ้ายังยืนยันเหมือนเดิม ผมยินดีที่จะให้กลับบ้านได้ครับ แต่ก่อนที่จะกลับ ผมจะไปยืนยิ้มจนตาหยีให้แก่ผู้ป่วยอีกครั้งที่ข้างเตียง ยิ้มเพื่อเป็นการบอกลาอย่างเข้าใจ จับมือกับผู้ป่วยเพื่อเป็นการขอบคุณที่ให้ผมได้เรียนรู้ความหมายของชีวิตเพิ่มขึ้น และผมก็ทราบเสมอครับว่า การจับมือครั้งนั้นจะเป็นการจับมือกันครั้งสุดท้ายระหว่างเรา
   เรื่องราวของผู้ป่วยเหล่านี้ทำให้ผมได้คิดว่า ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตนั้น คนเราต้องการอะไร อยากทราบมั้ยครับว่าคนที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายนั้น เขาอยากได้อะไรกันมากที่สุด เขาอยากได้ “เวลา” ครับ เวลาที่จะให้ตัวเขามีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ต่อไป เวลาที่เขาจะได้ทำในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำ เวลาที่จะได้พูดคำว่ารักให้กับคนที่เขารักสุดหัวใจแต่ไม่เคยบอก เวลาที่จะเฝ้าดูลูกน้อยเติบใหญ่จนพอที่จะช่วยเหลือตนเองได้ แต่ธรรมชาติก็ใจร้ายน่าดู ไม่มีใครที่เคยได้เวลาเพิ่มขึ้นเลย เรื่องราวเหล่านี้ทำให้ผมหวนคิดตั้งคำถามกับตัวเองว่า นี่เรายังเหลือเวลาอีกเท่าไหร่กัน
   ชีวิตหมอในแบบของผมก็อย่างนี้แหละ เจอเรื่องสุขบ้าง เศร้าบ้าง คละกันไป บางครั้งเหนื่อยกาย บางทีเหนื่อยใจ หลาย ๆ ครั้งก็หมดกำลังใจ เหมือนกับพระเอกซีรีย์เกาหลีเลยครับ จะต่างกันก็ตรงที่ชีวิตของพระเอกเหล่านั้นมักจะจบแบบ Happy Ending แต่เรื่องราวชีวิตของผมยังไม่จบ ยังคงต้องเล่นละครเรื่องนี้ต่อไปอีกไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ และจบอย่างไร ไม่รู้ว่าฉากวันพรุ่งนี้จะสุขหรือจะเศร้า จะสมหวังหรือผิดหวัง แต่ถึงยังไงก็ยังคงต้องเล่นกันต่อไป
ผมต้องขอขอบคุณชีวิตทุก ๆ ชีวิตที่อยู่และเคยอยู่รอบตัวผม ที่ทำให้ผมรู้จักความหมายและคุณค่าของการมีชีวิต ขอบคุณทุกใบหน้าที่ยิ้มแบบปากจะฉีกถึงใบหูให้ผม เพื่อใช้เป็นแรงบันดาลใจและกำลังใจให้กับหมอคนหนึ่งในยามที่ท้อแท้ สุดท้ายนี้ เมื่ออ่านจบแล้ว “ช่วยยิ้มให้ผมทีนึงได้มั้ยครับ”

www.shi.or.th
ภิญโญ ศรีวีระชัย
โรงพยาบาลอ่างทอง                           
จังหวัดอ่างทอง