ผู้เขียน หัวข้อ: สิทธิในเวชระเบียน…มุมมองที่แตกต่าง  (อ่าน 2815 ครั้ง)

seeat

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 470
    • ดูรายละเอียด
สิทธิในเวชระเบียน…มุมมองที่แตกต่าง
« เมื่อ: 14 พฤศจิกายน 2010, 23:16:07 »
ด้วยเหตุผลที่ว่าเวชระเบียน(medical record )เป็นพยานหลักฐานที่สำคัญที่ศาลใช้ประกอบการพิจารณาคดีในคดีที่มีการฟ้องแพทย์หรือสถานพยาบาล  ดังนั้นในปัจจุบันเมื่อผู้ป่วยมาขอดูหรือขอถ่ายสำเนาเวชระเบียน  ทางโรงพยาบาลมักไม่ตอบสนองความต้องการดังกล่าวโดยอ้างว่า เวชระเบียนเป็นสมบัติของโรงพยาบาล และมักเลือกถ่ายสำเนาให้เป็นบางส่วนหรือทำเป็นแค่เพียงใบสรุปประวัติการรักษาให้  ทำให้ปัจจุบัน เกิดคำถามและข้อสงสัยเป็นอย่างมากว่า “สิทธิในเวชระเบียนเป็นของใครกันแน่”

            ในเบื้องต้นเราควรจะแยกองค์ประกอบของเวชระเบียนออกเป็น
1.ส่วนที่เป็นวัตถุจับต้องได้ เช่น กระดาษที่ใช้เขียน  ฟิลม์ที่ใช้บันทึกภาพ  ซึ่งแน่นอนว่าวัตถุดังกล่าวนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของสถานพยาบาล
2.ส่วนที่เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับการเจ็บป่วยและการดูแลรักษาที่ได้ถูกบันทึกไว้วัตถุที่กล่าวไว้ข้างต้น           

การแยกองค์ประกอบออกมาดังกล่าวนี้ทำให้เห็นได้ชัดเจนขึ้นว่าแท้จริงแล้วที่มี การถกเถียงกันถึงสิทธิ ในเวชระเบียนนี้น่าจะเป็นการพิจารณาโดยมุ่งไปถึงส่วนของข้อมูลที่ได้ถูกบันทึกไว้ในเวชระเบียน  และที่จริงแล้ว ในมุมมองของผู้ป่วยเขาคงไม่ได้สนใจถึงกรรมสิทธิ์ของข้อมูลว่าเป็นของใคร เขา เพียงแต่ต้องการ “สิทธิใน การเข้าถึงและรับรู้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยของตนที่ได้ถูกบันทึกไว้ในเวชระเบียน” สิทธิของผู้ป่วยในการเข้าถึงและรับรู้ข้อมูลในเวชระเบียน
( patient’s right to access the medical record )ถ้ามองในแง่ดี การให้โอกาสผู้ป่วยได้เข้าถึงและรับรู้ข้อมูลในเวชระเบียนมีประโยชน์หลายอย่าง  เช่น               

1.เมื่อผู้ป่วยรู้ถึงสภาพความเจ็บป่วยของตนมากขึ้นก็น่าจะช่วยให้เขาเข้าใจโรคและร่วมมือกับ การรักษามากขึ้น               

2.บางครั้งมีการบันทึกข้อมูลผิดพลาดไม่ตรงตามความจริง เช่นระบุชื่อยาที่ผู้ป่วยแพ้ผิด  ซึ่งถ้าผู้ป่วยได้ตรวจดูเวชระเบียนก็สามารถแก้ไขข้อผิดพลาดได้เร็ว  แต่ถ้าเขาไม่ได้ดูเวชระเบียน ประวัตินั้นก็อาจผิดไปตลอด           

ในทางปฎิบัติโรงพยาบาลมักมีข้อจำกัดในการให้ผู้ป่วยเข้าถึงและรับรู้ข้อมูลในเวชระเบียนเพราะเกรงว่าผู้ป่วยอาจพบข้อมูลที่บ่งถึงความบกพร่องในการดูแลรักษา ซึ่งอาจมีผลให้ตนถูกฟ้องร้องได้            ปัญหาในเรื่องนี้  ใน ประเทศสหรัฐอเมริกา แม้อาจมีการปฏิบัติที่แตกต่างกันบ้างในแต่ละรัฐ แต่ส่วนใหญ่มีทิศทางไปในทางที่มีแนวโน้มที่จะรับรองว่าผู้ป่วยมีสิทธิในการ เข้าถึงและรับรู้ข้อมูลในเวชระเบียนของตน           

ในบางรัฐถึงกับมีกฎหมายออกมารองรับ  บางรัฐแม้ไม่มีกฎหมายออกมารองรับแต่ก็มีคำพิพากษาของศาลออกมารับรองสิทธิดังกล่าวอยู่ไม่น้อย  ผล ก็คือผู้ป่วยมีสิทธิตรวจดูเวชระเบียนและขอถ่ายสำเนาอีกทั้งมีสิทธิขอแก้ไข ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องได้ แต่การใช้สิทธิของผู้ป่วยดังกล่าวก็มีข้อจำกัดโดยโรงพยาบาลมีสิทธิปฏิเสธการ เข้าถึงข้อมูลในบางกรณี เช่น กรณีที่อาจกระทบสิทธิส่วนตัวหรือความลับของผู้อื่น, กรณีที่การล่วงรู้ข้อมูลอาจทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้ป่วยเอง(เช่น ผู้ป่วยจิตเวช)หรืออาจเกิดอันตรายแก่ผู้อื่น ย้อนกลับมาดูถึงปัญหานี้ในประเทศไทย  พอจะมีกฎหมายที่แสดงถึงเจตนารมณ์ในการให้สิทธิของการเข้าถึงข้อมูลของผู้ป่วยดังนี้

            1.รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 มาตรา58  บัญญัติว่า                “ บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับทราบข้อมูลหรือข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยราชการ  หน่วยงานของรัฐ  รัฐวิสาหกิจ  หรือราชการส่วนท้องถิ่น  เว้นแต่การเปิดเผยข้อมูลนั้นจะกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ  ความปลอดภัยของประชาชน  หรือส่วนได้เสียอันพึงได้รับความคุ้มครองของบุคคลอื่น  ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ”            แสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศยังเปิดโอกาสให้เรามีสิทธิเข้าถึงข้อมูลสาธารณะได้เลย  แล้วทำไมเราจะมีสิทธิเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของเราไม่ได้

            2.พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ซึ่งบังคับใช้กับข้อมูลข่าวสารที่อยู่ในความครอบครองของหน่วยงานของรัฐ   ได้บัญญัติไว้ชัดเจนใน มาตรา 25 ดังนี้            “ภายบังคับ มาตรา14และมาตรา15  บุคคลย่อมมีสิทธิที่จะได้รู้ถึงข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตนและเมื่อบุคคลนั้นมีคำขอเป็นหนังสือ  หน่วยงานของรัฐที่ควบคุมดูแลข้อมูลข่าวสารนั้นจะต้องให้บุคคลนั้นหรือผู้กระทำการแทนบุคคลนั้นได้ตรวจดูหรือได้รับสำเนาข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับบุคคลนั้น  …….……….การเปิดเผยรายงานการแพทย์ที่เกี่ยวกับบุคคลใด  ถ้ากรณีมีเหตุอันควรเจ้าหน้าที่ของรัฐจะเปิดเผยต่อเฉพาะแพทย์ที่บุคคลนั้นมอบหมายก็ได้………………………..ถ้าบุคคลใดเห็นว่าข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตนส่วนใดไม่ถูกต้องตามที่เป็นจริง  ให้มีสิทธิยื่นคำขอให้……………..แก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือลบข้อมูลข่าวสารส่วนนั้นได้………….”

            จากมาตราดังกล่าวสรุปให้เข้าใจได้ง่ายๆดังนี้            - คำว่า “ข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล” หมายถึงข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับสิ่งเฉพาะตัวของบุคคล ซึ่งรวมถึง ประวัติสุขภาพด้วย(อ่านมาตรา4)            - บุคคลมีสิทธิยื่นคำขอเพื่อขอตรวจดูหรือขอสำเนาข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่ เกี่ยวข้องกับตน ที่อยู่ในความครอบครองของหน่วยงานของรัฐ และหน่วยงานของรัฐนั้นมีหน้าที่ดำเนินการตามคำขอนั้น(โดยคิดค่าใช้จ่ายได้) เว้นแต่จะเป็นกรณีตามมาตรา14และ15ที่หน่วยงานรัฐมีสิทธิปฏิเสธคำขอนั้น เช่น การเปิดเผยจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง, การเปิดเผยเป็นการรุกล้ำสิทธิส่วนบุคคลโดยไม่สมควร            - บุคคลมีสิทธิยื่นคำขอเพื่อขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือลบข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับตน เมื่อเห็นว่าข้อมูลดังกล่าวไม่ถูกต้องตามความจริง           

3. คำประกาศสิทธิผู้ป่วย(ข้อ9)ระบุว่า “ ผู้ป่วยมีสิทธิที่จะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลเฉพาะของตนที่ปรากฏในเวชระเบียนเมื่อร้องขอ  ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวต้องไม่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนตัวของบุคคลอื่น”             แม้ คำประกาศสิทธิผู้ป่วยนี้โดยสภาพแล้วไม่มีฐานะเป็นกฎหมายที่จะบังคับให้ ปฏิบัติตามได้ แต่ก็ได้แสดงให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่จะยึดตามแนวทางขององค์การอนามัยโลกอีก ทั้งยังสะท้อนถึงหลักการสำคัญของรัฐธรรมนูญที่ว่า ต้องทำการด้วยความโปร่งใส และตรวจสอบได้             

จากที่กล่าวมาทั้งหมดขอสรุปดังนี้           
1.วัตถุที่ประกอบขึ้นเป็นเวชระเบียนถือเป็นกรรมสิทธิ์ของสถานพยาบาล           

2.กรณีสถานพยาบาลของรัฐ ต้องอยู่ภายใต้พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 ซึ่งให้สิทธิผู้ป่วยในการเข้าถึง  ตรวจดู  ขอสำเนา  ขอแก้ไข  ข้อมูล ส่วนที่เกี่ยวข้องกับตน และสถานพยาบาลของรัฐนั้นมีหน้าที่ดำเนินการตามคำขอ( เว้นแต่กรณีที่มีข้อห้ามตามกฎหมาย) ซึ่งหากเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐปฏิเสธการดำเนินการตามคำขอโดยไม่มี เหตุอันควร  ก็อาจถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้( ดู พ.ร.บ.จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542  มาตรา9 )

3.กรณีสถานพยาบาลของเอกชนแม้ไม่ถูกบังคับไว้ด้วยกฎหมายใดๆ  แต่ เมื่อพิจารณาถึงแนวคิดของสังคมและหลักการตามรัฐธรรมนูญแล้วควรดำเนินการตาม แนวทางของภาครัฐด้วย และโดยส่วนตัวเชื่อว่า อีกไม่นานก็คงมีการบัญญัติกฎหมายที่ใช้บังคับกับภาคเอกชนในกรณีนี้ด้วย

นพ.พิทูร ธรรมธรานนท์
พบ. นบ.
เนติบัณฑิตไทย