ผู้เขียน หัวข้อ: ไม่เหมือน‘ยุโรป’ใน‘เอเชีย’นั้นบาดแผลสงครามยังยากลบเลือน  (อ่าน 1411 ครั้ง)

science

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 184
    • ดูรายละเอียด
ในยุโรปนั้น มรดกตกทอดของสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเย็น ได้จางหายไปแล้วภายหลังเยอรมันตะวันออกและเยอรมันตะวันตกรวมเป็นประเทศเดียวกัน แต่ในเอเชีย ความแตกต่างทางอุดมการณ์ที่เคยเป็นตัวการทำให้เกิดการสู้รบและความขัดแย้งเหล่านี้ขึ้นมา ถึงแม้พร่าเลือนลงเรื่อยๆ ทว่าก็กลับแปรสภาพไปสู่ความเป็นปรปักษ์กันในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ เนื่องจากการเติบโตของเอเชียในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นมาบนประเด็นปัญหาระดับภูมิภาคเดิมๆ ตลอดจนรอยแผลเป็นต่างๆ ที่ยังไม่เคยมีการแก้ไขคลี่คลาย ด้วยเหตุนี้ จีนจึงต้องตัดสินใจว่า จะยอมปล่อยใจเดินตามความเกลียดชังที่ดำเนินมาในประวัติศาสตร์ หรือว่าจะตัดขาดผละออกจากเส้นทางเดินแห่งสงคราม
       
       ในการศึกษาวิเคราะห์ดูว่า มรดกตกทอดของสงครามโลกครั้งที่ 2 และของสงครามเย็น มีผลกระทบอย่างไรต่อพวกประเทศทางยุโรปและชาติแถบเอเชียในทุกวันนี้ หนทางเดียวที่จะให้เกิดความเป็นธรรมก็คือผู้เขียน (ฟรานเชสโก ซิสซี) ซึ่งเป็นชาวอิตาเลียน จะต้องเริ่มต้นการวิเคราะห์ด้วยประเทศอิตาลี ประเทศนี้เป็นสมาชิกรายที่ 3 และรายที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาชาติอักษะ (Axis nations) ซึ่งเป็นฝ่ายปราชัยในสงครามโลกครั้งที่ 2 กระนั้นก็ตาม อิตาลีก็โผล่พ้นออกจากมหายุทธนาการคราวนั้นโดยที่ยังคงอวดอ้างว่า ตนเองเป็นผู้ชนะ อย่างน้อยๆ ก็สักครึ่งหนึ่งแหละ
       
       ในปี 1943 ตอนที่การสู้รบในสมรภูมิยุโรปของสงครามโลกครั้งที่สองยังไม่ทันจบสิ้นลง ครึ่งหนึ่งของประเทศอิตาลีได้เปลี่ยนข้าง หันไปเป็นพันธมิตรกับฝ่ายอเมริกันและจัดตั้งพลพรรคทำการสู้รบแบบกองโจรขึ้นมา มายาภาพที่เชื่อถือกันแพร่หลายในดินแดนรูปรองเท้าบู๊ตแห่งนี้ก็คือ กองกำลังจรยุทธ์เหล่านี้มีส่วนร่วมในการทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรประสบชัยชนะอย่างเด็ดขาดต่อฮิตเลอร์ แต่ความเป็นจริงมีอยู่ว่า อิตาลีในตอนนั้นรู้สึก (และปัจจุบันก็ยังคงรู้สึก) ว่าตนเองอ่อนแอปวกเปียกในทั้งสองข้างของประวัติศาสตร์ เราอยู่ในสภาพอ่อนแอเมื่อตอนจับมือเป็นพันธมิตรกับพวกเยอรมัน (เรามีส่วนทำให้พวกเขาประสบความปราชัย) และเราก็ยังคงอยู่ในสภาพอ่อนแออีกนั่นแหละเมื่ออยู่ในฐานะเป็นพันธมิตรกับพวกอเมริกัน (เราไม่เคยมีส่วนร่วมอย่างสำคัญอะไรจริงจังในชัยชนะของพวกเขาหรอก)
       
       อิตาลีเหมือนกับไม่มีกระดูกสันหลัง และยังคงรู้สึกราวกับเป็นองคาพยพที่เหลวเละซึ่งพร้อมที่จะขายตัวเองให้แก่ฝ่ายที่เป็นภัยคุกคามมากที่สุด ด้วยเหตุนี้เอง อิตาลีจึงเลิกคิดที่จะดำเนินนโยบายการต่างประเทศของตนเอง และยอมคล้อยตามคนอื่น ในตอนแรกก็คล้อยตามอเมริกัน จากนั้นก็คล้อยตามพวกยุโรป และลงท้ายก็คล้อยตามทั้งคู่
       
       ทว่าสำหรับเยอรมนีแล้วกลับแตกต่างออกไป ประเทศนี้โผล่พ้นออกจากสงครามโลกครั้งที่ 2 พร้อมกับแนวความคิดที่ว่าตนเองกระทำผิดต่อโลกและต่อตัวเอง ในเวลาต่อมา เยอรมนีแม้ยืนหยัดแน่วแน่อยู่กับเหล่าพันธมิตรแห่งสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (North Atlantic Treaty Organization หรือ NATO) แต่ก็ยืนกรานปฏิเสธไม่ขอเข้าไปดำเนินการเสี่ยงภัยทางทหารอะไรอีกภายหลังจากที่สงครามเย็นสิ้นสุดลงแล้ว แดนดอยช์มีท่าทีระมัดระวังตัวเหลือเกินในกรณีสงครามอิรักเมื่อปี 2003 และปฏิเสธไม่ยอมเข้าไปร่วมวงในลิเบียในปี 2011 เยอรมนีต้องถูกบีบคั้นบังคับอย่างหนักหน่วงกว่าที่จะยินยอมเข้าแทรกแซงในยุโรปกรณีวิกฤตสกุลเงินยูโร บางทีอาจจะด้วยความหวาดผวาที่ว่า ความทะเยอทะยานในอดีตของตนจะหวนกลับมานำพาให้ตนเองมีความคิดขย้ำกลืนกินทวีปยุโรปทั้งทวีปอีกคำรบหนึ่ง
       
       กรณีของญี่ปุ่นก็ดูจะเป็นเรื่องที่ผิดแผกออกไปอีก ทว่าที่สำคัญแล้วเนื่องมาจากบริบททางภูมิภาคที่แตกต่างออกไป
       
       ในยุโรปนั้น สงครามเย็นสิ้นสุดลงแล้วเมื่อปี 1989 ด้วยการพังครืนของกำแพงเบอร์ลิน และติดตามมาอย่างใกล้ชิดด้วยการล่มสลายของสหภาพโซเวียต แต่ในเอเชีย ลัทธิคอมมิวนิสต์มีเส้นทางเดินที่ผิดแผกไปจากในยุโรป
       
       ในช่วงทศวรรษ 1970 จีนจับมือเป็นพันธมิตรกับอเมริกาทำการต่อต้านโซเวียต และอีก 1 ทศวรรษต่อมา แดนมังกรได้ทำการปฏิรูปทางการตลาด ซึ่งก็คือการเปิดประตูระบายน้ำออกมาต้อนรับการทะลักทลายไหลเข้าของลัทธิทุนนิยมที่เคยเป็นสิ่งต้องห้าม เส้นทางสายนี้ยังมีเวียดนามอีกรายที่เดินตามอย่าง โดยที่เวียดนามได้ถูกพวกโซเวียตทอดทิ้งในช่วงทศวรรษ 1990 สำหรับเสาหลักเสาที่ 3 ของลัทธิคอมมิวนิสต์ในเอเชีย และก็เป็นเสาต้นที่จุดไฟแห่งสงครามเย็นขึ้นในปี 1950 ด้วย นั่นคือ เกาหลีเหนือ ได้เลือกที่จะเดินไปในอีกปลายหนึ่งอย่างสุดโต่ง โดยที่ยังคงยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นอยู่กับแนวทางสังคมนิยมอย่างเก่าๆ ของตน และกำลังทำตัวโดดเดี่ยวตนเองออกจากทุกผู้ทุกคน ทั้งเจ้านายเก่าและพันธมิตรเก่าของตน (จีนและรัสเซีย) และทั้งศัตรูเก่าของตน (ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ)
       
       ด้วยการที่เยอรมันตะวันออกและเยอรมันตะวันตกรวมเป็นประเทศเดียวกันในปี 1990 มรดกตกทอดต่างๆ ของยุคสงครามเย็นก็ถูกลบเลือนไปในยุโรป ทว่าในเอเชียนั้น มรดกเหล่านี้ยังคงดำรงอยู่ เกาหลียังคงถูกแบ่งแยกเป็น 2 ประเทศ และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอีกก็คือ ไต้หวันที่เป็นทุนนิยม ยังคงไม่สามารถที่จะเข้ากลืนกินจีน “แดง” แถมยังดูท่าจะทำเช่นนั้นไม่สำเร็จแน่ๆ ถึงแม้ความคิดจิตใจแบบนายทุนได้ลงหลักปักฐานอย่างมั่นคงแล้วในปักกิ่ง
       
       เมื่อกาลเวลาผันผ่านไปไม่หยุดยั้ง ในเอเชีย ความวิตกกังวลในทางภูมิรัฐศาสตร์และในทางประวัติศาสตร์ ค่อยๆ ทวีความสำคัญเหนือการแบ่งแยกผิดแผกทางอุดมการณ์ (หรือกระทั่งการมีสายสัมพันธ์ผูกพันกันทางอุดมการณ์) เวียดนามซึ่งทำการสู้รบกับอเมริกาอยู่เป็นเวลานานนับสิบปี เมื่อเร็วๆ นี้ได้ตัดสินใจที่จะอ้าแขนต้อนรับสหรัฐฯ ผู้เป็นอดีตศัตรูของตน สืบเนื่องจากความหวาดกลัวผู้ที่เป็นศัตรูเก่าแก่ยิ่งกว่านั้นของตน อันได้แก่จีน ซึ่งยังคงมีฐานะเป็นพี่น้องร่วมอุดมการณ์กับตนเองอยู่แท้ๆ ในเวลาเดียวกัน เกาหลีใต้ที่เป็นทุนนิยม และเป็นปราการแห่งการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ซึ่งได้รับความช่วยเหลือจากวอชิงตันให้รอดชีวิตพ้นจากการถูกเกาหลีเหนือครอบครองในช่วงทศวรรษ 1950 กำลังคัดค้านต้านทานแนวความคิดที่ให้พวกเขาจับมือกับญี่ปุ่นที่เป็นทุนนิยมเหมือนกัน ทว่าก็เป็นอดีตเจ้านายยุคอาณานิยมที่ตนเองแสนจะชิงชัง ทั้งนี้เพื่อร่วมกันต่อต้านจีน “คอมมิวนิสต์”
       
       ในเอเชีย มรดกของสงครามเย็นกำลังเลื่อนไถลเข้าไปอยู่ในท่ามกลางประวัติศาสตร์ยุคโบร่ำโบราณและยังไม่ได้รับการแก้ไขคลี่คลายของภูมิภาคนี้ ขณะที่ในยุโรปนั้น ความเป็นศัตรูกันระหว่างเยอรมนี, ฝรั่งเศส, และสหราชอาณาจักร ซึ่งได้ก่อให้เกิดสงครามครั้งแล้วครั้งเล่ามาเป็นเวลา 300 ปี ได้ลบเลือนลับหายไปแล้ว แต่ในเอเชีย แม้กระทั่งมรดกตกทอดจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนบนแผนที่แสดงอาณาเขตของชาติต่างๆ
       
       ญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้ปราชัยในสงครามโลกครั้งที่ 2 เวลานี้ยังคงเป็นผู้ครอบครองพื้นที่ต่างๆ อย่างเช่น หมู่เกาะทาเกชิมะ (Takeshima) ซึ่งเป็นที่รู้จักเรียกขานกันในเกาหลีว่า หมู่เกาะดอคโด (Dokdo), และหมู่เกาะเซงกากุ (Senkaku) ที่เรียกกันในจีนว่าหมู่เกาะเตี้ยวอี๋ว์ (Diaoyu) โดยที่ประเทศผู้ชนะในสงครามอย่าง เกาหลี และจีน ก็อ้างกรรมสิทธิ์ในดินแดนเหล่านี้เช่นกัน โดยเฉพาะกรณีพิพาทหมู่เกาะเซงกากุ/เตี้ยวอี๋ว์ จัดเป็นมรดกของสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างแท้จริง เนื่องจากสหรัฐฯที่เป็นผู้ยึดครองญี่ปุ่นในช่วงหลังสงครามนั่นเอง เป็นผู้มอบหมายหมู่เกาะนี้ให้อยู่ในการควบคุมของแดนอาทิตย์อุทัย
       
       แน่นอนทีเดียว่าประเทศทั้งสองยังเผชิญกับประเด็นปัญหาต่างๆ ที่ค้างคามิได้รับแก้ไขจากยุคสงครามเย็นอีกด้วย และดังนั้นการประกาศอ้างกรรมสิทธิ์ของพวกเขาในกรณีนี้สามารถถือได้ว่าเป็นเรื่องไม่สู้สำคัญอะไรนัก กระนั้น ญี่ปุ่นก็ยังคงมีกรณีพิพาทที่ไม่ได้รับการคลี่คลายอยู่กับรัสเซีย ซึ่งได้ประกาศสงครามกับญี่ปุ่นในช่วงจวนเจียนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่แล้ว และได้เข้ายึดครองดินแดนบางส่วนของพวกหมู่เกาะทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ซึ่งเวลานี้โตเกียวยังคงประกาศอ้างกรรมสิทธิ์อยู่ เป็นต้นว่า หมู่เกาะคูริล (Kuril) โตเกียวนั้นรู้สึกว่ามอสโกเป็นฝ่ายผิด ที่ยังบุกเข้ามาโจมตีและยึดครองดินแดนทางตอนเหนือของตน ในเวลาที่แดนอาทิตย์อุทัยกำลังยืนไม่ไหวต้องทรุดลงมาคุกเข่าอยู่แล้ว และวอชิงตันก็ทราบดีว่าในแง่หนึ่งญี่ปุ่นน่าที่จะมีส่วนทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรมีชัยชนะในสงครามโลกครั้งที่ 2
       
       ถ้าหากว่าในปี 1941 โตเกียวเข้าโจมตีสหภาพโซเวียตจากทางด้านตะวันออก ในเวลาเดียวกับที่เบอร์ลินเข้าโจมตีจากทางด้านตะวันตก มอสโกก็อาจจะล้มครืน และสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็อาจจะพัฒนาไปในเส้นทางที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

โดย ฟรานเชสโก ซิสซี    19 มกราคม 2556
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
       
     

science

  • Full Member
  • ***
  • กระทู้: 184
    • ดูรายละเอียด
 ในยุโรปนั้น มรดกตกทอดของสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเย็น ได้จางหายไปแล้วภายหลังเยอรมันตะวันออกและเยอรมันตะวันตกรวมเป็นประเทศเดียวกัน แต่ในเอเชีย ความแตกต่างทางอุดมการณ์ที่เคยเป็นตัวการทำให้เกิดการสู้รบและความขัดแย้งเหล่านี้ขึ้นมา ถึงแม้พร่าเลือนลงเรื่อยๆ ทว่าก็กลับแปรสภาพไปสู่ความเป็นปรปักษ์กันในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ เนื่องจากการเติบโตของเอเชียในปัจจุบันถูกสร้างขึ้นมาบนประเด็นปัญหาระดับภูมิภาคเดิมๆ ตลอดจนรอยแผลเป็นต่างๆ ที่ยังไม่เคยมีการแก้ไขคลี่คลาย ด้วยเหตุนี้ จีนจึงต้องตัดสินใจว่า จะยอมปล่อยใจเดินตามความเกลียดชังที่ดำเนินมาในประวัติศาสตร์ หรือว่าจะตัดขาดผละออกจากเส้นทางเดินแห่งสงคราม       
       
       ญี่ปุ่นรู้สึกว่าตนเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างยุติธรรมต่ออเมริกาทั้ง 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งคือในสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1945 และอีกครั้งหนึ่งในช่วงปลายทศวรรษ 1980 โดยที่ในคราวหลังนี้เป็นการต่อสู้แข่งขันกันในทางเศรษฐกิจ ทว่าญี่ปุ่นก็รู้สึกว่าตนเองเป็นผู้มีชัยเหนือรัฐเอเชียอื่นๆ ทั้งในทางการทหารและในทางเศรษฐกิจเมื่อปี 1945 และกระทั่งในเวลาต่อมาอีกด้วย เมื่อเศรษฐกิจของแดนอาทิตย์อุทัยมีความเจริญรุ่งเรืองไปจนกระทั่งถึงช่วงทศวรรษ 1980
       
       แม้กระทั่งภายหลังจากห้วงเวลานั้น โตเกียวก็ยังคงดำเนินการช่วยเหลือประเทศจำนวนมากในภูมิภาคในทางด้านเศรษฐกิจ วอชิงตันซึ่งมีเหตุผลความต้องการของตนเอง ได้บังคับให้ญี่ปุ่นต้องอ่อนข้อให้แก่รัฐเอเชียอื่นๆ ในบางระยะบางห้วงเวลา แต่ถ้าปราศจากการเข้าแทรกแซงของอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว เวลานี้ญี่ปุ่นก็อาจจะกำลังเข้าครอบครองประเทศจีนทั้งหมด และมีความเป็นไปได้ที่ญี่ปุ่นอาจกำลังใกล้จะเข้าสู่กระบวนการทำให้ตนเองกลายเป็นจีน (Sinicization) เพราะถูกพิชิตด้วยวัฒนธรรมตามประเพณีของจีนที่ครอบคลุมแผ่ซ่านไปอย่างกว้างขวาง ทำนองเดียวกับที่พวกแมนจูแห่งราชวงศ์ชิงได้เคยถูกพิชิตมาแล้วเมื่อประมาณ 3 ศตวรรษครึ่งก่อนหน้านี้
       
       ภาษาญี่ปุ่นในเวลานี้อาจจะเป็นภาษาที่เล็กลงมา และเป็นไปได้ว่าภาษาจีนอาจจะไม่ได้เข้าสู่กระบวนการทำให้ง่ายขึ้นและมีลักษณะเป็นตะวันตกมากขึ้นอย่างมากมาย ดังที่บังเกิดขึ้นมาภายหลังพวกคอมมิวนิสต์สามารถยึดครองแดนมังกร
       
       สิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ไม่ได้เกิดขึ้น ทว่าสิ่งอื่นๆ หลายๆ อย่างกลับบังเกิดขึ้นมา พวกโซเวียตที่เข้าสู่สมรภูมิภาคเอเชียของสงครามโลกครั้งที่ 2 ทีหลังเพื่อน ไม่เพียงเข้ายึดครองหมู่เกาะสองสามแห่งในภาคเหนือของญี่ปุ่นเอาไว้เท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นเสียอีกก็คือการบุกจู่โจมเข้าไปในแมนจูเรียที่ฝ่ายญี่ปุ่นยึดครองอยู่ และก็เป็นพื้นที่ซึ่งพวกคอมมิวนิสต์จีนที่เคยอ่อนแอและอดอยากกำลังพยายามรวมกลุ่มรวมกำลังกันขึ้นมาใหม่ ที่นี่เองที่พวกโซเวียตได้ติดอาวุธและสนับสนุนพวกคอมมิวนิสต์จีน ให้สามารถเดินหน้าสร้างความปราชัยให้แก่พวกชาตินิยมจีน (ก๊กมิ่นตั๋ง) ที่อุปถัมภ์ค้ำชูโดยพวกอเมริกัน สหรัฐอเมริกานั้นแม้จะเป็นผู้ชนะสงครามในเอเชีย แต่กลับวางตัวเหินห่างในศึกแก้มือแห่งสงครามกลางเมืองระหว่างคนจีนด้วยกัน
       
       ถ้าหากโซเวียตไม่ได้ให้ความสนับสนุนแก่คอมมิวนิสต์จีน และสหรัฐฯก็ไม่ได้วางตัวเหินห่างไม่ค่อยอยากยุ่งเกี่ยวโดยตรงกับกิจการของคนจีนแล้ว เหมา เจ๋อตง ก็อาจจะไม่สามารถชนะสงครามกลางเมืองได้ และอาจจะยังคงเป็นเพียงแค่หมายเหตุเล็กๆ ในประวัติศาตร์จีนเท่านั้น
       
       ในแนวรบด้านตะวันตก สหภาพโซเวียตได้ยังความปราชัยให้แก่พวกเยอรมันจริงๆ และปลดแอกยุโรปตะวันออกจากการครอบงำของนาซีจริงๆ แต่คุณูปการของมอสโกในเอเชียกลับไม่ได้มีความชัดเจนหรือมีความยิ่งใหญ่ในระดับนั้น
       
       แน่นอนทีเดียวว่าสิ่งต่างๆ ที่พรรณนามาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นจินตนาการอันฟุ้งเฟื่อง แต่มันก็มีส่วนช่วยจัดเวทีจริงให้แก่ละครว่าด้วยหมู่เกาะเซงกากุ/เตี้ยวอี๋ว์ และอิทธิพลในทะเลจีนใต้ ซึ่งกำลังเล่นกันอยู่ในเวลานี้ ในความเป็นจริงแล้ว สงครามเย็นยังไม่ได้ยุติลงในภูมิภาคแถบนี้ อีกทั้งผลลัพธ์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ยังไม่เคยมีการกำหนดนิยามกันออกมาอย่างชัดเจนกระจ่างแจ้ง
       
       ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เปิดกว้างให้แก่การอภิปรายถกเถียงและการตีความกัน แต่ก็มีบางจุดบางประเด็นซึ่งชัดเจนแล้ว อันได้แก่:
       
       **ฝ่ายอเมริกันเท่านั้นที่เป็นผู้ชนะอย่างชัดเจนในสมรภูมิของภูมิภาคนี้ในสงครามโลกครั้งที่ 2
       
       **ญี่ปุ่นพ่ายแพ้เฉพาะต่อฝ่ายอเมริกัน ไม่มีใครอื่นอีกที่สามารถอ้างถึงชัยชนะอันชัดเจนได้
       
       **อเมริกา ซึ่งด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์ของตนเอง (นั่นคือเนื่องจากสงครามเย็นยังคงดำเนินอยู่) จึงไม่ได้ดำเนิน “กระบวนการถอดถอนความเป็นญี่ปุ่น” (de-Japanization) ต่อญี่ปุ่น แบบเดียวกับที่อเมริกาได้ดำเนิน “กระบวนการถอดถอนความเป็นเยอรมัน” (de-Germanization) ต่อเยอรมนีภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
       
       **ฝ่ายจีนและฝ่ายอื่นๆ มีคุณูปการในการหยุดยั้งการรุกคืบของกองทหาร ทว่าในบางแง่บางมุมแล้วก็ต้องถือว่าญี่ปุ่นก็มีคุณูปการเช่นกันด้วยการไม่ร่วมวงเข้าโจมตีมอสโก
       
       **จีนได้รับการช่วยเหลือจากอเมริการวม 2 ครั้ง กล่าวคือในระหว่างการต่อต้านญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และในระหว่างการต่อต้านรัสเซียในช่วงทศวรรษ 1970 ถ้าหากปราศจากจีนแล้ว อเมริกาก็คงจะต้องเผชิญช่วงเวลาอันยากลำบากกว่าที่ผ่านพ้นมา แต่ถ้าหากปราศจากอเมริกาแล้ว จีนก็น่าที่จะกลายเป็นผู้ปราชัยในทั้งสองคร้ง
       
       **ญี่ปุ่นได้ช่วยเหลือเอเชียและจีนในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และการเจริญเติบโตของจีนก็ได้ช่วยการพัฒนาของเอเชีย
       
       อย่างไรก็ตาม ยังมีองค์ประกอบอย่างอื่นๆ อีกที่ทำให้ภาพยิ่งยุ่งยากซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ ไม่เหมือนกับในยุโรปซึ่งอเมริกาไม่เคยเป็นผู้ปราชัยเลย แต่ในเอเชีย วอชิงตันกลับต้องประสบกับความหวาดผวาหลายครั้งหลายครา สหรัฐฯนั้นไม่เคยสร้างความปราชัยอย่างสมบูรณ์แบบให้แก่ฝ่ายจีนในสงครามเกาหลีของทศวรรษ 1950 และสหรัฐฯกระทั่งถึงกับเป็นผู้พ่ายแพ้ในสงครามเวียดนาม โดยที่ในสงครามครั้งหลังนี้ การที่สหรัฐฯหันมาทำความตกลงดำเนินการปรับตัวทางการเมืองกับฝ่ายจีน ก็ต้องถือเป็นผลลัพธ์ที่ออกมาจากความปราชัยดังกล่าวนั่นเอง
       
       ข้อเท็จจริงต่างๆ เหล่านี้ ยังกลายเป็นบริบทแวดล้อมให้แก่คำถามสำคัญอีกคำถามหนึ่ง จีนนั้นก็เฉกเช่นเดียวกับชาติอื่นๆ ในเอเชีย ใม่ได้เคยออกมายอมรับโดยเปิดเผยถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้นแม้บางส่วนบางเรื่อง และการเจริญเติบโตของแดนมังกรก็กำลังทำให้คนอื่นๆ ทั้งหมดบังเกิดความหวั่นผวา เนื่องจากมันเป็นการเจริญเติบโตซึ่งเกิดขึ้นเหนือภูเขาลูกใหญ่แห่งประเด็นปัญหาระดับภูมิภาคที่ยังมิได้รับการแก้ไข ตลอดจนบาดแผลและรอยแผลเป็นที่ยังมิได้รับการเยียวยารักษา การที่แดนมังกรจะสามารถทำการพัฒนาอย่างสันติทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้นั้น จำเป็นที่จะต้องยอมรับรู้ยอมรับทราบข้อเท็จจริงเหล่านี้ เพื่อที่จะตระเตรียมและร่วมกันคลี่คลายบรรยากาศ ภายใต้สภาพการณ์ที่เป็นไปได้ว่า ปักกิ่งจะต้องประสบกับความรับรู้ความเข้าใจผิดๆ จำนวนมาก อันเกี่ยวข้องกับความทะเยอทะยานซึ่งกำลังทวีขึ้นของจีน ตลอดจนการตีอกร้องขู่คำรามที่เพิ่มมากขึ้นทั้งจากภายในจีนและจากประเทศอื่นๆ
       
       การร่วมกันคลี่คลายบรรยากาศดังที่กล่าวมานี้ อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะทำให้แก้ไขประเด็นปัญหาหมู่เกาะเซงกากุ/เตี้ยวอี๋วืให้ตกไปได้ แต่ควรจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นสำหรับการเผชิญกับประเด็นปัญหาเหล่านี้ด้วยสมองที่ปลอดโปร่งเยือกเย็นยิ่งขึ้น
       
       มีบางคนบางฝ่ายในประเทศจีนคิดว่า สหรัฐฯคือผู้ที่กำลังแอบชักใยเชิดหุ่นอยู่เบื้องหลัง ในแผนกโลบายแสนสลับซับซ้อนที่มุ่งขัดขวางการเจริยเติบโตของปักกิ่ง และบางคนบางฝ่ายทั้งในอเมริกาและในภูมิภาคแถบนี้ก็อาจจะมีความเห็นสอดคล้องไปในแนวเดียวกับความคิดทฤษฎีสมคบคิดเช่นนี้ ขณะเดียวกัน มีความเป็นไปได้ด้วยว่าบางคนบางฝ่ายในประเทศจีนอาจจะถึงกับสนับสนุนแผนการเช่นนี้ของฝ่ายอเมริกัน เนื่องจากพวกเขามองเห็นว่า มันคือโอกาสที่จะทำให้คณะผู้นำชุดปัจจุบันประสบความปราชัย และเปิดโอกาสขึ้นมาอีกคำรบหนึ่งให้แก่ฝักฝ่ายที่สนับสนุนนักลัทธิเหมายุคใหม่ (neo-Maoist) อย่าง ป๋อ ซีไหล (Bo Xilai) ซึ่งตกลงจากอำนาจในปีที่แล้ว ภายหลังเกิดกรณีอื้อฉาวอันใหญ่โตขึ้นในมหานครฉงชิ่ง
       
       สำหรับผู้คนและฝ่ายต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้ การศึกษาอดีตเป็นเพียงการมองหาข้อแก้ตัวสำหรับการดำเนินแผนการต่างๆ ในอนาคตเท่านั้นเอง อย่างไรก็ดี แม้กระทั่งเป็นอย่างที่กล่าวมานี้ก็เถอะ การมีข้อแก้ตัวไม่ว่าในทางการเมืองหรือในชีวิตประจำวัน ก็เป็นสิ่งสำคัญมากในการเอาชนะใจพวกที่ยังมิได้ตกลงปลงใจเลือกว่าจะอยู่กับฝ่ายใด จากนั้นเราก็จะได้เห็นกันว่า ผู้คนทั้งที่อยู่ภายในจีนและที่อยู่ภายนอกจีน เลือกที่จะแก้ไขสะสางบันทึกในประวัติศาสตร์ให้อยู่ในเส้นทางอันซื่อตรงมากขึ้น หรือเลือกที่จะผลักไสอดีตออกไปและมุ่งรวมศูนย์ความสนใจไปอยู่ที่การทะเลาะเบาะแว้งกันในปัจจุบัน
       
       แน่นอนทีเดียว เหมือนกับที่พฤติกรรมของสัตว์แสดงให้เราเห็นกันอยู่เป็นประจำ การวิวาทกันเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าการคบคิดอภิปรายกัน และพวกนักวางแผนสงครามตลอดทั่วทั้งโลกย่อมเตรียมการสำหรับรับมือกับกรณีฉุกเฉินสุดขีดต่างๆ ไม่ใช่สำหรับรับมือสิ่งที่บังเกิดขึ้นตามปกติ องค์ประกอบสองสามประการเหล่านี้ควรนำเราให้เกิดความเชื่อขึ้นมาว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นรอบๆ หมู่เกาะเซงกากุ/เตี้ยวอี๋ว์ มีแต่เรื่องเลวร้ายอย่างที่สุดเท่านั้น
       
       อย่างไรก็ตาม ในอีกด้านหนึ่ง แรงกระตุ้นเพื่อความอยู่รอดและการวิวัฒนาการก็เป็นปัจจัยที่มีกำลังแรงกล้ายิ่ง และสำหรับในกรณีนี้มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ร่วมกันซึ่งจะได้มาจากการที่จีนบูรณาการเข้าไปอยู่ในโลกอย่างสนิทแนบแน่นยิ่งขึ้นอย่างมหาศาล อันเป็นอะไรที่ปักกิ่งมองเห็นอย่างกระจ่างชัดเจนมาตลอดระยะไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา
       
       เมื่อเป็นดังนี้ จึงมีเหตุผลเช่นเดียวกันที่จะเชื่อว่า จีนซึ่งเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวงที่สุดจากการวิวัฒนาการอย่างสันติของตนเอง จะเลือกการตัดขาดผละออกจากเส้นทางเดินแห่งสงคราม, เพิกเฉยไม่สนใจต่อการยั่วยุ, และยอมรับรู้ยอมรับทราบถึงประวัติศาสตร์ที่เปิดอนาคตอันสดใสยิ่งขึ้นให้แก่ตนเองและให้แก่เพื่อนบ้านของตนทุกๆ รายในภูมิภาคริมมหาสมุทรแปซิฟิก

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

  Faded war wounds still raw in Asia
       By Francesco Sisci
       17/01/2013

http://www.manager.co.th