ผู้เขียน หัวข้อ: 'แพทย์'อาชีพในฝันเด็กไทยปี'56  (อ่าน 887 ครั้ง)

ABBA

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2105
    • ดูรายละเอียด
'แพทย์'อาชีพในฝันเด็กไทยปี'56
« เมื่อ: 09 มกราคม 2013, 19:58:28 »
ผลสำรวจประจำปีในหัวข้อ 'อาชีพในฝันของเด็กไทย' ครั้งที่ 4 พบว่าเด็กไทยส่วนใหญ่ ยังคงมีความเอื้ออาทร คิดถึงผู้คนรอบข้าง โดยอาชีพในฝันยอดฮิตนั้นยังคงเป็น 'แพทย์'
                          ผลการสำรวจดังกล่าว จัดทำขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อสำรวจว่า เด็กไทยมีการคิดถึงอาชีพในอนาคต การทำงาน และ กิจกรรมยามว่างอย่างไรบ้าง เพื่อสะท้อนว่า เด็กๆ ผู้เป็นอนาคตของชาติ มุ่งมั่นคิดถึงอาชีพในอนาคต ในการที่จะช่วยเหลือผู้อื่น และช่วยเหลือพัฒนาประเทศของเราอย่างไรบ้าง ซึ่งจากผลสำรวจเห็นได้ชัดว่า เด็กๆ มีความห่วงใยที่จะช่วยเหลือประชาชนและป้องกันพัฒนาประเทศ
                          นอกจากนี้  ผลสำรวจยังได้แสดงให้เห็นอีกว่า 94% ของเด็กที่ทำแบบสำรวจนั้นเชื่อว่า การใช้เวลาร่วมกับครอบครัว สำคัญกว่าการหาเงินให้ได้มากๆ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าลูกหลานชาวไทยของเรา รัก และเอาใจใส่ครอบครัว รวม ทั้งคิดถึงประเทศชาติและผู้คนรอบข้างอย่างจริงใจ
                          ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทอเด็คโก้ ประเทศไทย ได้ทำการสำรวจ “อาชีพในฝันของเด็กไทย” เป็นประจำทุกปี และนำผลที่ได้จากการสำรวจไปเปรียบเทียบกับผลที่ได้จากการสำรวจความคิดเห็นของเด็กๆ ในลักษณะเดียวกันของบริษัทอเด็คโก้ มาเลเซีย สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา โดยการถามคำถามง่ายๆ 6 คำถามกับเด็กอายุ ระหว่าง 7-14 ปี ประกอบด้วย
                          1. เมื่อโตขึ้นอยากประกอบอาชีพอะไร เพราะเหตุใด และคิดว่าจะได้รายได้ประมาณเท่าไร , 2. เด็กๆ คิดว่าอาชีพใด ดี/เท่ห์ ที่สุด , 3. หากได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย 3 สิ่งที่ต้องการทำ คืออะไรบ้าง , 4. เด็กๆ คิดว่าอะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่างหาเงินให้ได้มากๆ กับใช้เวลาอยู่กับครอบครัว , 5. ปี พ.ศ. 2556 ที่กำลังจะถึงนี้ เด็กๆ อยากจะทำอะไร และ 6. ถ้าหากเลือกได้ เด็กๆ อยากไปใช้ชีวิตอยู่ประเทศอะไรมากที่สุด
                          จากผลสำรวจเห็นได้ชัดว่า สิ่งแวดล้อมรอบข้าง ส่งผลกระทบถึงความคิดของเด็กๆ ในเรื่องของอนาคตและการแสดงออกของพวกเขา ซึ่งผลจากการสำรวจของ กลุ่มบริษัทอเด็คโก้ ประเทศไทย พบข้อคิดที่น่าสนใจหลายด้านอย่างเช่น แม้ว่าเด็กๆ ผู้ตอบแบบสอบถามจะมีลักษณะและพื้นฐานการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน อาชีพในฝันยอดฮิต 4 ปีซ้อนของเด็กคือ การเป็น “แพทย์” ด้วยเหตุผลที่ว่าอยากช่วยเหลือผู้คน และช่วยรักษาคนไข้ และสมาชิกในครอบครัว โดยมีความต้องการด้านรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 100 ถึง 10 ล้านบาท
                          อย่างไรก็ตามในปีนี้ อาชีพ ครู ตกอันดับลงไปเป็นอันดับที่ 5 รองจากอาชีพ วิศวกร ตำรวจ นักธุรกิจ ซึ่งได้มาแทนที่อาชีพ ทนายความ พ่อครัว ซึ่งเป็นอาชีพในฝันอันดับรองลงมาในปีที่แล้ว
                          ผลการสำรวจยังพบว่าเด็กๆ มีความแตกต่างทางความคิดเป็นอย่างมากในเรื่องของอาชีพในฝัน ในขณะที่เด็กบางส่วน อยากทำงานเพื่อช่วยสังคม โดยเลือกเป็น “คุณหมอ” ก็ยังมีเด็กบางคนชอบสนุก ชอบออกกำลังโดยเลือกเป็น “นักเต้นบีบอย”
                          นอกจากนี้ เด็กๆ เหล่านี้ก็ยังแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ขัน เช่นเด็กส่วนหนึ่งกล่าวว่าอยากเป็นตำรวจ จะได้ไม่ต้องเสียค่าปรับ หรือ เด็กอีกคนหนึ่งกล่าวว่าอยากเป็นนักเขียนโปรแกรมเนื่องจากจะได้เขียนโปรแกรมเกมส์สำหรับตนเองได้เล่นสนุกได้อย่างใจคิด
                          ผลจากการสำรวจในปีนี้ พบว่า “ทหาร” ก็ยังเป็นอาชีพที่เท่ห์ที่สุดเช่นเดียวกับปีที่แล้ว ส่วนอันดับรองลงมา คือ ตำรวจ และ แพทย์ ทั้งนี้ อาจเนื่องมาจากเด็กๆ เห็นว่า อาชีพในเครื่องแบบเหล่านี้ นอกจากเครื่องแบบดูเท่ห์ดี แล้ว ก็ยังพ่วงด้วยอำนาจในตำแหน่งหน้าที่การงานในการให้ความช่วยเหลือผู้อื่นได้ด้วยในเวลาที่ประเทศชาติต้องการ
                          สำหรับการสอบถามเด็กๆ ว่า ถ้าหากได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี ของประเทศไทย 3 สิ่งที่ต้องการทำคืออะไร? เด็กๆ ส่วนใหญ่ให้คำตอบที่แสดงให้เห็นถึงความห่วงใยและความรับผิดชอบสูง โดยอันดับแรก ต้องการ ปกป้องดูแลประชาชน ตามด้วย พัฒนาประเทศ และพัฒนาระบบการศึกษาให้กับประชาชนในเขตทุรกันดาร และสร้างความสามัคคี นอกจากนี้เด็กๆ ยังต้องการลดปัญหาเรื่องยาเสพติดและการเล่นการพนัน , ต้องการพัฒนาระบบสาธาณูปโภคของท้องถิ่น เช่น ถนน ขนส่งมวลชน โรงพยาบาล เป็นต้น , มีควมคิดรักษ์โลกด้วยการรักษาสิ่งแวดล้อม และ ต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นอันดับท้ายๆ
                          ขณะเดียวกัน ก็มีเด็กๆ บางส่วนที่มีจินตนาการแตกต่างออกไป เช่น จะทำการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบเรื่องการแต่งเครื่องแบบนักเรียน จะติดแอร์ให้ทั่วประเทศ หรือแม้แต่ จะออกกฎให้มีการนอนหลับพักผ่อนหลังอาหารกลางวัน เป็นต้น
                          สำหรับคำถามที่ถามเด็กๆ ว่า อะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่างการใช้เวลาอยู่กับครอบครัว  หรือ การหาเงินได้มากๆ ผลการสำรวจพบว่า เด็กๆ มากกว่า  94% บอกว่า การใช้เวลาอยู่กับครอบครัวสำคัญกว่าการหาเงินให้ได้มากๆ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ครอบครัวได้ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดีในการเลี้ยงดูเด็กๆ เหล่านี้ ทำให้เด็กๆ เหล่านี้ เห็นความสำคัญของครอบครัวเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งนี้ เด็กๆ ให้เหตุผลว่า เป็นเพราะ มีความอบอุ่นและมีความสุขเมื่ออยู่กับครอบครัว , ครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด , และการหาเงินจะทำเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ครอบครัวต้องมาก่อน
                          แม้แต่เด็กๆ บางคนที่เลือกว่า การหาเงินสำคัญกว่า ก็ให้เหตุผลว่า จะทำงานหาเงินเพื่อมาเลี้ยงดูครอบครัวให้สุขสบาย
                          คำตอบที่ได้รับส่วนใหญ่ต่อคำถามเกี่ยวกับกิจกรรมที่เด็กๆ ทำในเวลาว่าง ก็เป็นคำตอบที่คล้ายกับเด็กๆ ทั่วโลก คือ เป็นกิจกรรมเพื่อการพักผ่อน หรือฆ่าเวลา อย่างเช่น การดูทีวี เล่นเกมส์ ฯลฯ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคำถามที่ว่า “สิ่งที่ต้องการทำในปีหน้า (พ.ศ.2556)” แล้ว เด็กไทยโดยส่วนใหญ่ตอบว่า อยากใช้เวลากับครอบครัว และเพื่อนๆ โดยมีคำตอบว่าอยากเล่นเกมส์ เป็นคำตอบรองลงมา แสดงให้เห็นว่า ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เด็กไทยก็ยังให้ความสำคัญกับครอบครัวและคนรอบข้างก่อนเสมอ
                          ผลการสำรวจยังพบอีกว่า เด็กๆ ยังคงให้ความสำคัญกับการเรียน โดยจะพยายามตั้งใจเรียนให้มากขึ้น และเรียนให้เก่งขึ้นในปีหน้า (พ.ศ. 2556) เด็กๆ หลายคน ก็ยังอยากใช้เวลากับครอบครัวและเพื่อนให้มากยิ่งขึ้น และบางส่วนก็อยากทำงานช่วงวันหยุดเพื่อนำเงินมาช่วยเหลือครอบครัว
                          สำหรับคำถาม “ถ้าหากเลือกได้เด็กๆ อยากไปใช้ชีวิตอยู่ประเทศอะไรมากที่สุด?” คำตอบที่ได้รับจากเด็กๆ มีความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นประเทศญี่ปุ่น อเมริกา ฝรั่งเศส อังกฤษ และเกาหลี แต่ประเทศที่ได้รับคำตอบจากเด็กๆ มากที่สุดคือ “ประเทศไทย” ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า “ไม่ว่าประเทศใดจะมีความน่าสนใจ หรือมีความน่าตื่นเต้นอย่างไรก็ตาม แต่ประเทศไทยก็เป็นประเทศที่เด็กๆ อยากอยู่มากที่สุด”
                          ธิดารัตน์ กาญจนวัฒน์ ผู้อำนวยการส่วนภูมิภาคไทยและเวียดนาม กลุ่มบริษัทอเด็คโก้ ประเทศไทย กล่าวว่า เราสามารถรับรู้ถึงความบริสุทธิ์และไร้เดียงสาของเด็กๆ ซึ่งเห็นได้จากการตอบคำถามด้วยความจริงใจและตรงไปตรงมา ผลการสำรวจนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความรักความผูกพันที่เด็กๆ เหล่านี้มีต่อครอบครัวของตนอย่างมากมาย อีกทั้งยังมองเห็นได้ถึงความเอื้ออาทรห่วงใยต่อผู้คนรอบข้าง ซึ่งความรักของพ่อแม่นั้นจะสามารถใช้เป็นเกราะป้องกันการถูกครอบงำของเทคโนโลยีสมัยใหม่ได้ ทั้งนี้การสำรวจนี้เป็นการยืนยันว่าเด็กๆ นั้นเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่ามากที่สุดของโลก และเป็นความหวังที่ดีที่สุดสำหรับอนาคตของประเทศ
 


คมชัดลึกออนไลน์วันที่ 09-01-2556