ผู้เขียน หัวข้อ: “หมอประดิษฐ” หวังสร้างคลังยาภูมิภาคแก้ปัญหาภาระสต๊อกยาได้  (อ่าน 821 ครั้ง)

ABBA

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2105
    • ดูรายละเอียด
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   20 ธันวาคม 2555 18:23 น.   

   


       “หมอประดิษฐ” เชื่อ สร้างคลังยาภูมิภาค ช่วยแก้ปัญหาภาระสต๊อกยาจน รพ.ขาดสภาพคล่องได้ เหตุกระจายยาถึง รพ.ที่ต้องการได้เร็วใน 2 สัปดาห์ พร้อมสั่ง อภ.เพิ่มสถานะเป็นเคลียริงเฮาส์ล้างสต๊อกยา หนุนการใช้ยาสามัญ หวังลดนำเข้ายาลงเหลือ 50-60% พร้อมกำหนดเดดไลน์แก้ปัญหาโรงงานวัคซีนไข้หวัดใหญ่ใน 6 เดือน
       
       วันนี้ (20 ธ.ค.) ที่องค์การเภสัชกรรม (อภ.) นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานพิธีเปิดร้านยาองค์การเภสัชกรรมและมอบนโยบายแก่คณะกรรมการและผู้บริหาร อภ.ว่า กลไกของ อภ.สามารถช่วยให้เกิดระบบสาธารณสุขที่ดีขึ้นได้ โดยเฉพาะเรื่องการบริหารยาและเวชภัณฑ์ เนื่องจากขณะนี้ อภ.กำลังจัดตั้งคลังสำรองยาและเวชภัณฑ์ภูมิภาคขึ้น ซึ่งจะช่วยลดภาระของโรงพยาบาลที่ต้องจัดซื้อยาสำรองไว้เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มยาราคาแพง ซึ่ง อภ.จะทำการคัดเลือกยา 20 รายการที่มีราคาแพงมาจัดระบบคลังให้พร้อมส่งแก่โรงพยาบาลที่ต้องการได้ภายใน 2 สัปดาห์ ตรงนี้จะทำให้แต่ละโรงพยาบาลมีเงินหมุนเวียนสำรองเพิ่มขึ้น เพราะไม่ต้องซื้อยาเพื่อคงคลังไว้ถึง 3 เดือน

   

ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต
       นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ การให้ อภ.เป็นผู้จัดซื้อยาจะทำให้เกิดการต่อรองราคาได้มากขึ้น เพราะเป็นการซื้อครั้งละมากๆ แต่ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องจัดซื้อผ่าน อภ.เท่านั้น เพื่อให้ยังสามารถเกิดการแข่งขันทางตลาดได้ ส่วนในอนาคตประเทศไทยจำเป็นต้องมีความมั่นคงทางยา โดยสิ่งที่เป็นยุทธปัจจัย เช่น น้ำเกลือ น้ำยาล้างไต วัคซีนที่จำเป็น และยาปฏิชีวะนะ อภ.จะต้องสามารถผลิตเองได้ หรือสนับสนุนให้ภาคเอกชนผลิตได้ เพื่อรองรับภาวะฉุกเฉินที่อาจเกิดขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องรอ หรือพึ่งพาการนำเข้าเพียงอย่างเดียว ดังนั้น ในอนาคตจะต้องมองไปถึงการวิจัยพัฒนาและความสามารถในการผลิตสารตั้งต้นได้เอง
       
       “การสร้างคลังสำรองยาภูมิภาคจะช่วยลดภาระของหน่วยบริการและสร้างเงินทุนสำรองหมุนเวียน โดย อภ.จะทำหน้าที่เป็นเคลียริงเฮาส์ หรือเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนยาของแต่ละโรงพยาบาลที่มีการสำรองยาเกินกว่าสองอาทิตย์ขึ้นไป ซึ่งจะเริ่มต้นดำเนินการใน ม.ค.2556 เพื่อให้แต่ละโรงพยาบาลเปลี่ยนยาที่ค้างสต๊อกเป็นเงินได้อีกด้วย” รมว.สาธารณสุข กล่าว
       
       นพ.ประดิษฐ กล่าวด้วยว่า สำหรับการสร้างราคายาให้เหมาะสม อภ.สามารถเข้ามามีส่วนได้เพื่อให้ราคายาในประเทศไม่แพงจนเกินไปได้ เช่น การสนับสนุนให้เกิดการใช้ยาสามัญ และตรวจสอบคุณภาพเพื่อให้เกิดความมั่นใจ แต่จะไม่ใช้วิธีการขายแข่งกับเอกชน เพื่อให้เอกชนยังสามารถพัฒนาและวิจัยยาอยู่ได้ ซึ่งปัจจุบันไทยมีมูลค่าการนำเข้ายาสูงถึงร้อยละ 75 จึงต้องทำให้เกิดความสมดุลโดยลดการนำเข้าให้เหลือ ร้อยละ 50-60 แต่ที่สำคัญ การผลิตยาสามัญเองจะต้องมีการคุมคุณภาพเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่แพทย์และประชาชน และมีราคาที่เหมาะสมเพื่อรักษาสมดุลราคา ไม่ให้ยาในท้องตลาดมีราคาที่แพงจนเกินไป แต่ไม่ได้เป็นการขายยาแข่งกับภาคเอกชน นอกจากนี้ ยังต้องเร่งเพิ่มความสามารถให้ผลิตสารตั้งต้นได้มากขึ้นเพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้า ซึ่งจะช่วยลดราคายาลงได้ด้วย
       
       นพ.ประดิษฐ กล่าวต่อว่า สำหรับการก่อสร้างโรงงานผลิตยาแห่งใหม่ที่รังสิตต้องมีเป้าหมายการผลิตยาให้ชัดเจน คือ ต้องให้ได้มาตรฐาน ASEAN GMP รวมไปถึงผลิตยาที่มีความสำคัญต่อประเทศก่อน เช่น ยาที่ไทยยังผลิตเองไม่ได้และมีปริมาณการนำเข้าสูง ส่วนโรงงานวัคซีนไข้หวัดใหญ่และไข้หวัดนก จ.สระบุรี ที่กำลังมีปัญหาในเรื่องเทคโนโลยีการผลิตวัคซีนนั้น ซึ่งการก่อสร้างยืดเยื้อมานาน 5-6 ปี จำเป็นต้องเร่งตัดสินใจให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน เพื่อสรุปว่า จะใช้เทคโนโลยีแบบใด เนื่องจากพบว่า มีปัญหาในเรื่องการเลือกผลิตเชื้อเป็นหรือเชื้อตาย ก็ต้องสรุปแนวทางให้ชัดเจนเพื่อให้งานสามารถเดินหน้าต่อได้ และต้องต่อยอดกับสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนางานดังกล่าวด้วย