ผู้เขียน หัวข้อ: เลขาธิการ สช. ค้านคลังเปิดช่อง "บ.ประกัน" รับภาระแทนรัฐ ดูแลค่ารักษาพยาบาล ขรก.  (อ่าน 2060 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9742
    • ดูรายละเอียด
เลขาธิการ สช. ยันค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลข้าราชการไม่ลด เพราะ “ระบบเบิกไม่อั้น” ฉะแก้ก.คลังปัญหาแบบโดดๆ ไม่ได้แก้ปัญหาทั้งระบบ แนะให้ดูสปสช.เป็นตัวอย่าง ส่วน “หมอวิชัย” ยันระบบประกันภัยมุ่งเอากำไรเป็นหลักมากกว่าที่จะดูแลประชาชน

นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เปิดเผยกับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทยถึงกรณีการจัดระบบสวัสดิการข้า ราชการค่ารักษาพยาบาลใหม่ ที่กระทรวงการคลังมีแนวคิดให้สมาคมประกันชีวิตไทยเข้ามารับภาระแทนภาครัฐ  ว่า ตนไม่เห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าว ซึ่งต้องดูว่ากระทรวงการคลังนำข้อมูล งานวิจัยอะไรมาอธิบายเหตุผลและมารองรับแนวคิดนี้ ดูจากตัวอย่างกรณีผู้เอาประกันจากการประสบภัยจากรถยนต์ที่มีปัญหาในการใช้ สิทธิมาก ได้สะท้อนการบริหารจัดการของบริษัทประกันภัยพอสมควร เรื่องนี้จึงต้องดูระบบหลักประกันสุขภาพของรัฐเป็นตัวอย่าง

“หากแก้ปัญหาด้วยการใช้ระบบประกันนั้นอาจจะกระทบเรื่องสิทธิของผู้ เอาประกันด้วย ขอถามกระทรวงการคลังว่า การตัดสินใจเรื่องนี้ข้าราชการซึ่งมีอยู่หลายล้านคนได้ร่วมรับรู้มาก่อนหรือ ไม่ ข้าราชการผู้ใช้สิทธิได้มีโอกาสมีส่วนร่วมตัดสินใจเรื่องนี้หรือไม่ ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อข้าราชการทั้งประเทศ ห่วงว่าการแก้ไขปัญหานี้จะคิดแบบโดดๆ”

เลขาธิการ สช. กล่าวถึงการแก้ปัญหาเรื่องสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการที่นับวันจะ ใช้งบประมาณสูงขึ้นนั้น ต้องดูที่ระบบการบริหารจัดการ การออกแบบระบบสวัสดิการค่ารักษาพยาบาล เพราะการใช้จ่ายในเรื่องนี้เป็นการใช้จ่ายเงินสาธารณะ การแก้ปัญหาต้องดูการออกแบบระบบ และกลไกการให้บริการ ดังนั้น ควรมีกองทุนบริหารสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการที่เป็นองค์กรสาธารณะ ที่ไม่แสวงหากำไร เข้ามาดูแล ไม่ใช่มุ่งแก้ปัญหาเพียงลดจำนวนตัวเม็ดเงินอย่างเดียว

เมื่อถามถึงแนวทางในการแก้ปัญหาสวัสดิการข้าราชการ เลขาธิการ สช. กล่าวว่า เราต้องดูว่าปัญหาของเรื่องนี้จริงๆ อยู่ที่ไหน ค่าใช้จ่ายรักษาพยาบาลของข้าราชการที่สูงขึ้นเรื่อยๆ นั้นมาจากระบบสวัสดิการข้าราชการที่ให้เบิกจ่ายแบบไม่อั้นใช่หรือไม่  ข้าราชการสามารถรักษาพยาบาลที่ไหนก็ได้ วันละกี่บาทก็ได้ ไม่มีการกำจัดวงเงิน จึงทำให้เกิดการใช้จ่ายที่เกินความจำเป็น ดังนั้นการแก้ปัญหาระบบสวัสดิการข้าราชการนั้นต้องคิดทั้งระบบ
สำหรับแนว คิดที่กระทรวงการคลังเสนอมานั้น นพ.อำพล กล่าวว่า เป็นการคิดแก้ปัญหาแบบคิดไม่ครบ ไม่มีหลักประกันว่าข้าราชการจะใช้จ่ายรักษาพยาบาลลดลง เพราะตัวระบบการให้บริการยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต้องควบคุม ต้องดูแลทั้งระบบ ถามว่า การให้สิทธิแบบไม่อั้นนั้นถูกต้องแล้วหรือไม่ การแก้ปัญหาแบบนี้เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงกัน และยังสร้างปัญหาซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก

เลขาธิการสช. กล่าวด้วยว่า สิ่งที่กระทรวงการคลังกำลังดำเนินการกระทบต่อสวัสดิการของข้าราชการและครอบ ครัว เรื่องนี้ข้าราชการควรจะมีสิทธิและมีส่วนร่วมรับรู้ ร่วมตัดสินใจ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ประชาชนมีสิทธิในการตัดสินใจการกระทำ ที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อตนเองด้วย

ด้านนพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจดังกล่าว เห็นว่าไม่ควรเป็นทางเลือกในการแก้ปัญหานี้หรือควรเป็นแนวทางสุดท้ายในการ แก้ปัญหา เพราะระบบประกันภัยนั้นเป็นระบบเอกชนที่มุ่งเอากำไรเป็นหลักมากกว่าที่จะ ดูแลประชาชน

“การดำเนินการแบบนี้จะต้องจ่ายค่าบริหารจัดการให้บริษัทประกันภัย อย่างน้อย 40% ดังนั้น จะทำให้เงินค่าใช้จ่ายที่จะไปถึงข้าราชการนั้นมีแต่จะลดลงกว่าที่ควรจะเป็น และเมื่อเทียบกับค่าบริหารจัดการที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ใช้นั้นไม่ถึง 1% ซึ่งต่างจากกรณีนี้ถึงประมาณ 40-50 เท่า” นพ.วิชัย กล่าว และว่า ตนไม่เชื่อว่าจะทำให้เกิดผลดี ข้าราชการมีแต่จะเดือดร้อน เพราะบริษัทประกันจะสร้างเงื่อนไขต่างๆ มาทำให้ใช้สิทธิได้ยากขึ้น มีตัวอย่างมากมายที่น่าละอายใจจากบริษัทประกันภัย ที่เวลาผู้ประกันจะใช้สิทธิทีไรก็จะมีเงื่อนไขยุ่งยากมากเข้ามาทุกครั้ง รวมถึงตัวอย่างกรณีผู้ประสบภัยจากรถยนต์ที่เป็นอยู่ด้วย ซึ่งนี่คือระบบมาตรฐานปกติของการบริหารจัดการประกันภัยทั่วโลกที่ธุรกิจ ประกันจะมุ่งเอากำไรเป็นหลัก

12 ตุลาคม พ.ศ. 2553 เวลา  มติชนออนไลน์ 

somnuk

  • Staff
  • Newbie
  • ****
  • กระทู้: 48
    • ดูรายละเอียด
เลขาสช. (อำพล จินฯ) กล่าว ...

"สิ่งที่กระทรวงการคลังกำลังดำเนินการกระทบต่อสวัสดิการของข้าราชการและครอบ ครัว เรื่องนี้ข้าราชการควรจะมีสิทธิและมีส่วนร่วมรับรู้ ร่วมตัดสินใจ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ประชาชนมีสิทธิในการตัดสินใจการกระทำ ที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อตนเองด้วย"

ที พรบ.คุ้มครองผู้เสียหาย ไม่เห็นพูดแบบนี้เลย เพราะกระทบต่อแพทย์ / ผู้ปฏิบัติงาน เหมือนกัน

อย่างนี้เรียกสองมาตรฐาน .. หรือว่า เลอะเลือน ดี ?