ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 11-17 พ.ย.2555  (อ่าน 1142 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 11-17 พ.ย.2555
« เมื่อ: 19 พฤศจิกายน 2012, 00:36:29 »
 1.พันธมิตรฯ มีมติงดเสวนา 24-25 พ.ย. เปิดทาง ปชช.ร่วมม็อบ เสธ.อ้าย ด้านรัฐบาล เล็งงัด พ.ร.บ.มั่นคงฯ คุมม็อบ!

       ความคืบหน้ากรณี พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานองค์การพิทักษ์สยาม นัดชุมนุมใหญ่วันที่ 24 พ.ย.นี้ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ตั้งแต่เวลา 09.01น. พร้อมยืนยันการชุมนุมจะไม่ยืดเยื้อ ไม่เกิน 2 วันจบ และจะไม่เคลื่อนขบวนไปยังจุดต่างๆ โดยตั้งเป้าจะมีผู้เข้าร่วมชุมนุมมากกว่าการชุมนุมเมื่อวันที่ 28 ต.ค.โดยอาจถึง 1 ล้านคนนั้น
       
       ปรากฏว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยที่เป็นรัฐมนตรีบางคน ได้ออกมาดิสเครดิตม็อบ เสธ.อ้าย พร้อมชี้นำว่าอาจมีมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์ โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี บอกว่า หลังจากได้หารือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยงานความมั่นคง กลัวว่าจะมีมือที่สาม ส่วนการดูแลความสงบเรียบร้อย ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบ โดยให้เชิญองค์กรอิสระทุกองค์กรเข้ามาร่วมรับทราบการแก้ปัญหาครั้งนี้ด้วย และว่า เบื้องต้นได้เตรียมเจ้าหน้าที่รับมือการชุมนุม 50,000 นาย ร.ต.อ.เฉลิม ยังบอกด้วยว่า ตำรวจสันติบาลรู้หมดแล้วว่า มีกลุ่มที่จะมาร่วมชุมนุมกับม็อบ เสธ.อ้าย 85 กลุ่ม และแต่ละกลุ่มมาจากไหน พร้อมอ้างว่า มีนายทุนลงขัน 6,000 ล้านหนุนการชุมนุมของ เสธ.อ้าย
       
       ร้อนถึง เสธ.อ้าย ต้องออกมาปฏิเสธว่า ไม่จริง ให้มาเอกซเรย์ดูได้ และว่า ตนจะมีค่ามีราคาถึง 6,000 ล้านเลยหรือ สื่อที่มาทำข่าวก็เห็นว่ามีแต่คนธรรมดานำเงินใส่ซองมาสนับสนุน ส่วนที่มีข่าวว่ารัฐบาลจะนำตำรวจมารับมือผู้ชุมนุมในวันที่ 24 พ.ย.จำนวน 50,000 นายนั้น เสธ.อ้าย บอกว่า ถ้าตำรวจมา 50,000 นายจริง วันนั้นคงเป็นวันดีเดย์ของผู้ร้าย
       
       ส่วนกรณีที่รัฐบาลเตรียมเชิญองค์กรอิสระมาสังเกตการณ์การชุมนุมนั้น เสธ.อ้าย ยืนยันว่า ไม่กระทบการชุมนุม เพราะองค์การพิทักษ์สยามได้ทำหนังสือถึงอาเซียน สหประชาชาติ(ยูเอ็น) และสถานทูตต่างๆ ด้วยเช่นกัน เพื่ออธิบายว่าการชุมนุมนี้เป็นการชุมนุมที่สันติ ปราศจากอาวุธ ไม่มีการสร้างความเสียหายแก่บ้านเมืองแต่อย่างใด พร้อมกันนี้จะยื่นหนังสือต่อนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะมาเยือนไทยในวันที่ 18 พ.ย.ด้วย
       
       เสธ.อ้าย ยังยืนยันด้วยว่า วันที่ 24 พ.ย.จะไม่มีการเคลื่อนขบวนไปปิดล้อมรัฐสภา พร้อมย้ำว่า การชุมนุมครั้งนี้ไม่มีมือที่สาม “ผมพูดมา 700 ครั้งแล้วว่า ไม่มีมือที่สาม ในโลกนี้มีคู่ต่อสู้แค่ 2 มือเท่านั้น คือการต่อสู้ระหว่างองค์การพิทักษ์สยาม กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เท่านั้น”
       
       ทั้งนี้ เมื่อคืนวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 20.00น. ได้เกิดเสียงดังคล้ายระเบิดที่หน้าบ้านพักของ เสธ.อ้าย เสธ.อ้ายจึงได้โทรศัพท์แจ้งตำรวจ สน.พระโขนง เพื่อมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ ซึ่งในเวลาต่อมา พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้ออกมาบอกว่า เสียงดังที่หน้าบ้าน เสธ.อ้าย เป็นแค่ประทัด ซึ่งพบได้ทั่วไป เพราะใกล้เทศกาลลอยกระทง
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า รัฐบาลออกอาการผวาม็อบ เสธ.อ้าย จะปิดล้อมรัฐสภา เนื่องจากช่วงที่ชุมนุมตรงกับช่วงที่ฝ่ายค้านจะอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่สภา จึงได้มีการเตรียมทางหนีทีไล่ด้วยการทำบันไดบริเวณด้านหลังของสภา สูงประมาณ 3 เมตร เพื่อจะได้ไม่ต้องปีนหากเกิดเหตุการณ์คับขัน รวมทั้งจะมีการเชื่อมทางออกอีกทางหนึ่งบริเวณด้านขวาของสภาด้วย
       
       ทั้งนี้ รัฐบาลส่งสัญญาณสกัดประชาชนไม่ให้เข้ามาร่วมชุมนุมกับ เสธ.อ้าย โดยนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้สั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอทุกพื้นที่ทั่วประเทศติดตามตรวจสอบการเคลื่อนไหวของประชาชนที่จะเดินทางมาชุมนุม และรายงานให้กระทรวงฯ ทราบ หากพบพื้นที่ใดทำงานบกพร่องผิดพลาด จะมีผลต่อการปรับเปลี่ยนโยกย้ายในอนาคต
       
       ขณะที่ท่าทีของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) แม้จะมีการยืนยันชัดเจนจากแกนนำ นปช.ว่า จะไม่มีการเข้ามาชุมนุมที่หน้ารัฐสภาในวันที่ 24 พ.ย. แต่จะมีการชุมนุมอยู่รอบนอก กทม. โดยนายวรชัย เหมมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. บอกว่า นปช.ส่วนกลางมีมติให้จัดชุมนุมใหญ่ตรึงกำลังรอบนอก กทม. เช่น จ.นนทบุรี ,ปทุมธานี และสมุทรปราการ โดยมีมติให้คนเสื้อแดงอยู่ในที่ตั้ง ห้ามเคลื่อนกำลังเข้ามาชุมนุมที่หน้ารัฐสภา และว่า แต่ละจุดจะมีคนเสื้อแดงไม่ต่ำกว่า 10,000 คน โดยให้รอฟังมติจากแกนนำ นปช.ส่วนกลางใน กทม. หากเกิดเหตุการณ์ที่นำไปสู่การปะทะกันของกลุ่มผู้ชุมนุม จะถือว่าเป็นแดงปลอมหรือแดงเทียม และหากเกิดเหตุการณ์รัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาล ทาง นปช.จะยกพลมวลชนเข้า กทม.เพื่อต่อต้านการรัฐประหารทันที
       
       ส่วนท่าทีของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น ยังคงยืนยันไม่พร้อมเข้าร่วมชุมนุมกับองค์การพิทักษ์สยามในวันที่ 24 พ.ย.นี้ เนื่องจากยังไม่เข้าเงื่อนไข 3 ประการที่พันธมิตรฯ เคยประกาศไว้ แต่พร้อมให้กำลังใจการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม เพราะเป็นการแสดงออกถึงความรักชาติรักแผ่นดิน อยากให้ชาติบ้านเมืองดีขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้แกนนำพันธมิตรฯ จะไม่พร้อมเข้าร่วมชุมนุม แต่ก็ได้มีมติเอกฉันท์ให้งดจัดงานเสวนาการปฏิรูปการเมืองในวันที่ 24 พ.ย.ที่ จ.กาญจนบุรี และวันที่ 25 พ.ย.ที่ จ.เพชรบุรี เพื่อเปิดทางให้พี่น้องพันธมิตรฯ สามารถเข้าร่วมชุมนุมกับองค์การพิทักษ์สยามในช่วงเวลาดังกล่าวได้
       
       ทั้งนี้ รัฐบาลมีแนวคิดจะนำ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ มาใช้ดูแลการชุมนุมของ เสธ.อ้าย โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้ประชุมหารือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและตำรวจระดับสูงเมื่อวันที่ 15 พ.ย. หลังประชุม พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ที่ประชุมเห็นควรให้เสนอที่ประชุม ครม.วันที่ 20 พ.ย.ให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพื่อดูแลผู้ชุมนุมและเพื่อความสงบเรียบร้อย โดยจะประกาศเฉพาะพื้นที่ ส่วนช่วงเวลาที่จะประกาศใช้น่าจะเป็นสัปดาห์ก่อนที่จะมีการชุมนุม ส่วนจะลากยาวไปถึงช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลหรือไม่นั้น ต้องดูอีกที พร้อมเชื่อว่า การใช้แผนกรกฎ 52 ร่วมกับ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จะดูแลความสงบเรียบร้อยได้
       
       อย่างไรก็ตามมีทั้งฝ่ายที่หนุนและฝ่ายที่ค้านการใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ โดย พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) หนุนให้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพื่อป้องกันและป้องปรามไม่ให้เกิดการปะทะกัน
       
       ขณะที่นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. ไม่เห็นด้วยกับการประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพราะยังไม่มีสถานการณ์ที่ผิดปกติ เป็นเพียงการชุมนุมของคนกลุ่มหนึ่ง และไม่เชื่อว่า พล.อ.บุญเลิศจะนำคนมาชุมนุมได้ถึง 1 ล้านคน รัฐบาลจึงน่าจะดูสถานการณ์ไปก่อน ถ้ามีการทำผิดกฎหมายหรือก่อความไม่สงบ ค่อยประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ตอนนั้นก็ได้ “เสธ.อ้าย เป็นทหารแก่ ไม่น่ากลัว ถ้าเป็นการเคลื่อนไหวเฉพาะ เสธ.อ้าย ไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ แต่หากมีทหารในตำแหน่งผสมโรงด้วย รัฐบาลก็อยู่ในความเสี่ยง”
       
       2. “อภิสิทธิ์” ฟ้องศาล ปค.เพิกถอนคำสั่งถอดยศแล้ว พร้อมร้อง ป.ป.ช.ดำเนินคดีอาญา “สุกำพล” พ่วงยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่ง ขณะที่เจ้าตัว ลั่น ไม่กลัว!

       ความคืบหน้าหลัง พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงนามเห็นชอบผลสรุปและข้อเสนอของคณะกรรมการรวบรวมข้อมูลเพื่อดำเนินการถอดยศและเรียกเบี้ยหวัดคืนจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยอ้างว่านายอภิสิทธิ์ใช้เอกสารไม่ถูกต้องเข้ารับราชการทหาร ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ได้ออกมาชี้ว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง พยายามล้มญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ และกำจัดตนออกจากการเมือง พร้อมขู่จะฟ้องเรื่องนี้ต่อศาลปกครอง
       
       ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 12 พ.ย. นายอภิสิทธิ์ได้มอบอำนาจให้นายบัณฑิต ศิริพันธ์ ทนายความ ยื่นฟ้อง พล.อ.อ.สุกำพล ต่อศาลปกครอง ฐานกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีมีคำสั่งปลดนายอภิสิทธิ์ออกจากราชการเป็นทหารกองหนุน รับเบี้ยหวัดบำนาญสังกัดกองบังคับการจังหวัดทหารบก กรุงเทพมหานคร โดยชี้ว่า พล.อ.อ.สุกำพลจงใจทำลายความน่าเชื่อถือและไม่ต้องการให้มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี จึงขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งของ พล.อ.อ.สุกำพล ด้านศาลได้รับคดีไว้ในสารบบความ เพื่อพิจารณาและมีคำสั่งต่อไปว่าจะรับฟ้องเพื่อมีคำพิพากษาหรือไม่
       
       หลังจากนั้น 3 วันต่อมา(15 พ.ย.) นายอภิสิทธิ์ ได้มอบหมายให้นายบัณฑิตไปยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อพิจารณาเรื่องที่ พล.อ.อ.สุกำพลออกคำสั่งถอดยศร้อยตรีของตน และให้ดำเนินคดีอาญากับ พล.อ.อ.สุกำพล ที่ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ออกคำสั่งโดยไม่มีอำนาจ ทำให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหาย ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
       
       ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ได้ยกตัวอย่างเพื่อเทียบเคียงว่า พล.อ.อ.สุกำพลไม่มีสิทธิถอดยศหรือปลดตนออกจากราชการว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาเคยมีคำวินิจฉัยกรณี พล.อ.นิพนธ์ ธีระพงษ์ อดีตเจ้ากรมทหารสื่อสาร ที่ ป.ป.ช.ชี้มูลเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 และ 157 ซึ่งกระทรวงกลาโหมไม่สามารถถอดยศหรือปลดออกจากราชการได้ หากบุคคลนั้นพ้นจากราชการไปแล้ว
       
       ด้านนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. บอกว่า หลังจากนี้ ป.ป.ช.จะดูข้อเท็จจริงต่างๆ หากมีเหตุอันควร จะต้องตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน แต่เบื้องต้นต้องดูข้อมูลทั้งหมดก่อนว่าอยู่ในอำนาจหน้าที่หรือไม่
       
       วันต่อมา(16 พ.ย.) นางผุสดี ตามไท ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เข้ายื่นรายชื่อ ส.ส.ของพรรคจำนวน 153 คน ต่อนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา เพื่อถอดถอน พล.อ.อ.สุกำพล ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฐานกระทำผิดต่อหน้าที่ราชการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 โดยมีพฤติการณ์กระทำผิด 4 ข้อ คือ 1.การลงนามในคำสั่งกระทรวงกลาโหมให้ปลดว่าที่ ร.ต.อภิสิทธิ์ถือว่าขัดต่อกฎหมายและเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยวินัยทหาร ที่กำหนดว่าทหารที่ต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายนี้ ต้องเป็นทหารกองประจำการและทหารประจำการ ไม่ใช่ทหารกองเกินหรือกองหนุน นอกจากนี้กฤษฎีกายังเคยวินิจฉัยว่า กระทรวงกลาโหมไม่มีอำนาจปลดนายทหารที่ออกจากการประจำการไปแล้ว 2.การดำเนินการของ พล.อ.อ.สุกำพล มีเจตนาวางแผนร่วมกับพรรคเพื่อไทยขัดขวางการตรวจสอบรัฐบาลของพรรคฝ่ายค้าน เพราะ พล.อ.อ.สุกำพลได้พูดต่อที่ประชุมพรรคเพื่อไทยและต่อหน้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า จะดำเนินการถอดยศร้อยตรีของนายอภิสิทธิ์ ก่อนการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ 3.พล.อ.อ.สุกำพลใช้อำนาจทางราชการออกคำสั่งโดยทุจริต กลั่นแกล้งนายอภิสิทธิ์ให้พ้นสมาชิกภาพ ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 102(6) และ 4.การกระทำของ พล.อ.อ.สุกำพลเป็นการทุจริตในหน้าที่ราชการ ใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะรัฐมนตรีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้เกิดความเสียหายแก่นายอภิสิทธิ์ ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
       
       ด้านนายนิคม บอกว่า จะใช้เวลาตรวจสอบรายชื่อ ส.ส.และข้อกล่าวหาประมาณ 15 วัน คาดว่าภายในสิ้นเดือน พ.ย.นี้ จะสามารถส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.ดำเนินการสอบสวนตามขั้นตอนได้
       
       ด้าน พล.อ.อ.สุกำพล ได้ออกมาท้าให้นายอภิสิทธิ์ถามเรื่องนี้ในสภา จะได้ชี้แจงว่าอะไรเป็นอะไร “ผมไม่รู้สึกหนักใจทุกรูปแบบ ไม่ว่า ปชป.จะยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่ง หรือจะฟ้อง ป.ป.ช. ขอร้องว่าอย่าพูดโกหกกันมากไป อ้างโน่นอ้างนี่ทางกฤษฎีกาไม่ให้ลงโทษแล้ว เป็นคนละเรื่อง พูดไม่ตรงประเด็น ผมไม่กลัว”
       
       ทั้งนี้ นอกจากนายอภิสิทธิ์และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์จะฟ้อง พล.อ.อ.สุกำพล ต่อศาลปกครอง ,ป.ป.ช. และยื่นถอดถอนต่อประธานวุฒิสภาแล้ว ยังได้มีการยื่นหนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อสอบสวน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กรณีละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายในการถอดยศ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย ทั้งที่ก่อนหน้ามีความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกายืนยันแล้วว่า ข้าราชการตำรวจผู้ใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ไม่ว่าจะเป็นคำพิพากษาของศาลใด ย่อมอยู่ในระเบียบว่าด้วยการถอดยศตำรวจ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณเข้าข่ายถูกถอดยศ เนื่องจากถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาจำคุก 2 ปี ฐานทุจริตต่อหน้าที่ในคดีที่ดินรัชดาฯ
       
       3. “โอบามา-เวิน เจีย เป่า” เยือนไทย - “ในหลวง” โปรดเกล้าฯ ให้ 2 ผู้นำโลกเข้าเฝ้าฯ ขณะที่ภาคประชาสังคม ค้าน “ยิ่งลักษณ์” เจรจาทีพีพีสหรัฐฯ !

       เมื่อวันที่ 13 พ.ย. นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เผยว่า นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของรัฐบาลไทย ในวันที่ 18-19 พ.ย.นี้ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำนายบารัค โอบามา เข้าเฝ้าฯ ในเวลา 17.00น.วันที่ 18 พ.ย. ก่อนจะมีการพบหารือกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์อย่างเป็นทางการที่ทำเนียบรัฐบาล และจะเดินทางไปเยือนพม่าในวันที่ 19 พ.ย. หลังจากนั้น วันที่ 20-21 พ.ย.นายเวิน เจีย เป่า นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน จะเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายเวิน เจีย เป่า เข้าเฝ้าฯ ในวันที่ 21 พ.ย.เวลา 17.00น. นอกจากนี้ นายเวิน เจีย เป่า ยังมีกำหนดการเข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีด้วย
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายบารัค โอบามา จะเดินทางมาถึงไทยในช่วงบ่ายวันที่ 18 พ.ย.ที่สนามบินดอนเมือง จากนั้นจะมุ่งหน้าไปยังวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดโพธิ์ เพื่อสมทบกับขบวนของนางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ก่อนเดินทางไปเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากนั้นจะเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาล เพื่อหารือและรับประทานอาหารเย็นร่วมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก่อนเดินทางไปยังสปอร์ต คอมเพล็กซ์ ศูนย์กีฬาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อพูดคุยกับเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย จากนั้นจะเข้าพักที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ย่านราชประสงค์
       
       รายงานยังแจ้งด้วยว่า หลังการหารือทวิภาคีระหว่างนายบารัค โอบามา กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะมีการแถลงข่าวร่วมกัน โดย 1 ในประเด็นสำคัญคือ ไทยจะประกาศความตั้งใจที่จะเข้าร่วมการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือทีพีพี ซึ่งจัดตั้งขึ้นเมื่อปี 2548 ปัจจุบันมีสมาชิก 11 ประเทศ สหรัฐฯ เพิ่งเข้าเป็นสมาชิกเมื่อปี 2551 อย่างไรก็ตาม การจะเข้าร่วมเจรจาดังกล่าว ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ก่อน
       
       ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า นายบารัค โอบามา เคยประกาศว่า สหรัฐฯ จะกลับมาให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียอีกครั้ง ทั้งในแง่นโยบายต่างประเทศ เศรษฐกิจ และความมั่นคง แต่ปฏิเสธว่า การกลับมายังภูมิภาคนี้ มิใช่เพื่อยับยั้งอิทธิพลของจีน หรือต้องการกลับมามีฐานทัพถาวรในภูมิภาคนี้เช่นในอดีต
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังมีข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เตรียมประกาศเข้าร่วมการเจรจาทีพีพีกับสหรัฐฯ ปรากฏว่า หลายฝ่ายในสังคมได้ออกมาชี้ข้อเสีย พร้อมเตือนให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องนี้ด้วยความรอบคอบ โดยกลุ่มศึกษาเขตการค้าเสรีภาคประชาชน หรือเอฟทีเอ วอทช์ และภาคประชาสังคมหลายองค์กร ได้ส่งจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชะลอการประกาศเข้าร่วมเจรจาทีพีพีกับสหรัฐฯ จนกว่าจะศึกษาข้อดีข้อเสียอย่างชัดเจน และให้ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด รวมทั้งหารือกับภาคประชาชนอย่างเร่งด่วน และว่า เรื่องนี้รัฐบาลไม่ควรคำนึงแค่วาทกรรมเรื่องการตกขบวนการค้า เพราะอาจส่งผลเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อสวัสดิการของประชาชนและการพัฒนาอย่างยั่งยืนของไทยได้ ทั้งเรื่องการเข้าถึงยาและสาธารณสุขของประเทศ ,การอนุญาตให้จดสิทธิบัตรพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์ ,การเปิดเสรีทางการเงินให้นักลงทุนต่างชาติถือหุ้น 100% ,การคุ้มครองให้นักลงทุนต่างชาติสามารถฟ้องร้องเพื่อยกเลิกนโยบายสาธารณะและเรียกค่าชดเชยจากรัฐผ่านกลไกอนุญาโตตุลาการ เป็นต้น
       
       ด้านนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รีบออกมายืนยันว่า การจะตัดสินใจเข้าร่วมเจรจาทีพีพี จะต้องดูอย่างรอบคอบและต้องผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนให้ได้ข้อยุติก่อน “ขณะนี้เป็นเพียงการแสดงความสนใจในการเริ่มศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจังเท่านั้น ซึ่งเป็นกระบวนการภายใน ต้องผ่านมาตรา 190 ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ หลังจากนั้นจึงจะบอกได้ว่าเอาหรือไม่เอา ...ขั้นตอนในประเทศกว่าจะเสร็จต้องใช้เวลากว่า 2 ปีครึ่ง”
       
       4. “วิชัย ทองแตง” คนสนิท “ทักษิณ” คว้าลิขสิทธิ์ถ่ายสดพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาล สะพัด ทุ่มงบกว่า 9 พันล้าน ด้าน “ทรูฯ” รีบขออภัยสมาชิกหลังพ่ายประมูล!

       เมื่อวันที่ 15 พ.ย. นายวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการบริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือซีทีเอช ผู้มีความสัมพันธ์แนบแน่นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเคยเป็นทนายความให้ พ.ต.ท.ทักษิณในคดีซุกหุ้นเมื่อปี 2544 และนายวัชร วัชรพล รองประธานกรรมการซีทีเอช บุตรชายนางยิ่งลักษณ์ วัชรพล ผู้อำนวยการบริษัท วัชรพล จำกัด (หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ) ได้เปิดแถลงข่าวว่า ซีทีเอชได้สิทธิในการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษ 3 ฤดูกาล คือฤดูกาล 2013-2014 ,2014-2015 ,2015-2016
       
        อย่างไรก็ตาม นายวิชัย ปฏิเสธที่จะเปิดเผยจำนวนเงินที่ซีทีเอชประมูล โดยบอกว่า เป็นเรื่องของจรรยาบรรณที่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ และว่า ลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดครั้งนี้รวมไปถึงในประเทศกัมพูชาและลาวด้วย โดยตั้งงบในการถ่ายทอดสดทั้ง 3 ฤดูกาลไว้ที่ 20,000 ล้านบาท ไม่รวมค่าลิขสิทธิ์ นายวิชัย ยังบอกด้วยว่า เป้าหมายของซีทีเอชในการร่วมประมูลครั้งนี้ ก็คือ ต้องการให้คนไทยทั่วประเทศรู้จักซีทีเอชมากขึ้น พร้อมตั้งเป้า 3 ปีหลังจากนี้ จะมีผู้รับชมซีทีเอชไม่ต่ำกว่า 7 ล้านครัวเรือน จากปัจจุบันมีผู้รับชมแล้ว 3.5 ล้านครัวเรือน และว่า ซีทีเอช พร้อมเปิดโอกาสให้พันธมิตรเข้ามาร่วมกันถ่ายทอดสดในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นคู่แข่งในการประมูลอย่างทรูวิชั่นส์ก็ตาม
       
        ทั้งนี้ มีรายงานว่า คู่แข่งในการประมูลครั้งนี้ ได้แก่ ทรูวิชั่นส์ ,แกรมมี่ ,อาร์เอส และกลุ่มธุรกิจจากประเทศมาเลเซีย โดยคาดว่า ซีทีเอชใช้งบในการประมูลครั้งนี้สูงถึง 9,300 ล้านบาท เอาชนะคู่แข่งอย่างทรูฯ ที่ได้สิทธิถ่ายทอดสดมาหลายปีรวม 20 ปีแล้ว โดยมีรายงานว่า ทรูฯ ใช้เม็ดเงินประมูลในฤดูกาลที่ผ่านๆ มา ประมาณ 1,700-2,000 ล้านบาทเท่านั้น
       
        ด้านนายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทรูวิชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ได้ออกมาแสดงความยินดีกับผู้ชนะการประมูล พร้อมขออภัยสมาชิกทรูฯ ที่ต้องผิดหวังเรื่องการรับชมพรีเมียร์ลีก 3 ฤดูกาลดังกล่าว แต่ยืนยันว่า สมาชิกยังสามารถรับชมพรีเมียร์ลีกอังกฤษฤดูกาล 2012-2013 ผ่านทางทรูฯ ได้จนถึงเดือน พ.ค.2556 รวมทั้งสามารถรับชมรายการกีฬาระดับโลกอื่นๆ รวมทั้งรายการบันเทิง และสารคดีอีกมากมาย และทรูฯ จะจัดงบเพิ่มเพื่อซื้อรายการกีฬาและสาระความรู้ที่มีคุณภาพระดับโลกมาทดแทนให้สมาชิกได้ใช้บริการอย่างคุ้มค่าที่สุดโดยเร็ว


ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 พฤศจิกายน 2555