ผู้เขียน หัวข้อ: พบ4รายป่วยไข้หวัด2009ดื้อยา  (อ่าน 1417 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9721
    • ดูรายละเอียด
พบ4รายป่วยไข้หวัด2009ดื้อยา
« เมื่อ: 24 กันยายน 2010, 22:49:13 »
"หมอยง" เผยไทยพบผู้ป่วยดื้อยาโอเซลทามิเวียร์ 4 รายอยู่ใน กทม.ทั้งหมด เผยผลศึกษาวัคซีนป้องกันหวัดมีผลแค่ 70% ไม่ใช่ 90% แต่ยังจำเป็นต้องฉีดโดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง แนะ สธ.รณรงค์ ปชช.ล้างมือ สวมหน้ากากเหมือนปีก่อน ด้านความต้องการฉีดวัคซีนส่อแววเกิน 2 ล้านโดส "จุรินทร์" สั่งเช็กยอดก่อนพิจารณาว่าจะสั่งซื้อเพิ่มอีก 2 แสนโดสหรือไม่ อภ.ลงนามญี่ปุ่นถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตวัคซีนหวัดใหญ่ชนิดเชื้อตายภาคอุตสาหกรรม คาด 3 ปีได้ใช้
     ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา คณะแพทยศาสตร์ รพ.จุฬาลงกรณ์ กล่าวในการประชุมสัมมนา ประจำปี 2553 ครั้งที่ 3 ในการเสนอผลงานวิจัยทุนพัฒนากลุ่มวิจัย สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษาถึงการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ในขณะนี้ว่า จากการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ในประเทศไทย พบว่า ช่วงฤดูฝนเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดสูงสุด แต่ปีนี้มีการระบาดค่อนข้างมาก เนื่องจากเป็นการแพร่ระบาดพร้อมกันถึง 3 สายพันธุ์ คือ 1.เชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 หรือ H1 N1 2.เชื้อไข้หวัดชนิด B และ 3.เชื้อไข้หวัดชนิด H3 N2 ซึ่งเป็นเชื้อไข้หวัดตามฤดูกาล ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งของคนที่เป็นไข้หวัดจะเป็นโรคไข้หวัด 2009 และ 1 ใน 4 จะเป็น H3 N2 และที่เหลือเป็นเชื้อไข้หวัดชนิด B ขณะที่ปีที่แล้วเชื้อไข้หวัด 2009 เป็นสายพันธุ์ที่ระบาดเพียงสายพันธุ์เดียว โดยในพื้นที่ภาคใต้มีการระบาดของเชื้อ H3 N2 มากที่สุด ส่วน กทม.เป็นการระบาดของเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ขณะที่เชื้อไข้หวัดชนิด B พบได้ทั่วประเทศ
     สำหรับกลุ่มเสี่ยงต่อการป่วยและรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตยังเป็นกลุ่มเดิม ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ คนอ้วน และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เป็นต้น ซึ่งควรได้รับวัคซีนป้องกัน 3 สายพันธุ์ ทั้งนี้วัคซีนที่ประเทศไทยมีอยู่ขณะนี้รวมทั้งสิ้น 3 ล้านโดส แบ่งเป็นสถานพยาบาลภาครัฐ 2 ล้านโดส และเอกชนอีก 1 ล้านโดส แต่ยังมีสัดส่วนแค่ 4% ของประชากรทั้งประเทศ ที่ต้องกระจายให้กับผู้ที่จำเป็น และถือว่าเรายังมีวัคซีนจำนวนน้อยที่จะควบคุมการแพร่ระบาดได้ ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ควรเน้นการรณรงค์ด้านสุขอนามัยอย่างการล้างมือ สวมหน้ากากอนามัย เช่นเดียวกับปีที่แล้วอย่างเข้มข้น ทั้งนี้โรคไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์ คาดว่าจะลดการแพร่ระบาดลงในช่วงเดือน ต.ค.นี้ เนื่องจากเป็นช่วงปิดเทอม และจะกลับมาระบาดอีกครั้งในเดือน พ.ย.ที่เป็นช่วงเปิดเทอม
     ศ.นพ.ยง กล่าวว่า ที่ผ่านมาเราได้ทำการศึกษาวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เพื่อดูการกระตุ้นภูมิกัน โดยทำการทดลองที่ อ.ชุมแพ จ.ขอนแก่น พบว่า วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้เพียง 70% เท่านั้น จากที่ สธ.บอกว่าสามารถกระตุ้นได้ถึง 90% ซึ่งหากจะฉีดและป้องกันให้ได้ผลจะต้องฉีด 2 เข็มถึงจะเพียงพอ แต่ในความเป็นจริงไม่สามารถทำได้ เพราะว่าเรามีวัคซีนที่จำกัดและต้องเฉลี่ยให้กลุ่มเสี่ยงอย่างทั่วถึง ดังนั้นจึงฉีดได้เพียงคนละ 1 เข็มเท่านั้น แม้ว่าจะไม่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ 100% แต่ดีกว่าที่จะมีความเสี่ยงไม่มีภูมิคุ้มกันเลย
     นอกจากนี้ นพ.ยงยังได้กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาจากการเฝ้าระวังการดื้อยาโอเซลทามิเวียร์พบว่า จากการเก็บตัวอย่างเชื้อจากผู้ป่วยจำนวน 1,100 ตัวอย่าง พบว่า ในจำนวนนี้มีผู้ป่วยที่มีเชื้อดื้อยา 4 ราย ในจำนวนนี้ 1 ราย เป็นการพบในการแพร่ระบาดระลอก 2 หรือในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา คิดเป็น 0.2% และอีก 3 ราย เป็นการพบในการแพร่ระบาดขณะนี้ หรือคิดเป็น 0.8% โดยทั้ง 4 รายนี้เป็นผู้ป่วยใน กทม.ทั้งหมด เพราะเป็นพื้นที่ซึ่งมีการใช้ยาเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ตามเกณฑ์องค์การอนามัยโลกระบุว่า การดื้อยาในระดับที่ตำกว่า 1% ถือว่ายังอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่น่าเป็นห่วง แต่ยังต้องเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องต่อไป เพราะหากเรามีการใช้ยารายการใดจำนวนมาก ก็อาจเสี่ยงทำให้เชื้อเกิดภาวะดื้อยาได้ และเชื่อว่าในการระบาดคราวต่อไป จำนวนการดื้อยาจะเพิ่มมากขึ้นไปอีก
     นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ขณะนี้มีการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัด 3 สายพันธุ์ไปแล้วมากกว่า 66% แต่ขณะนี้กำลังรวบรวมตัวเลขที่แท้จริงอยู่ บางจังหวัดที่ฉีดวัคซีนไปจนหมดแล้วแต่ยังมีปัญหาคนมาขอฉีดอยู่
     นพ.วิทิต อรรถเวชกุล ผอ.องค์การเภสัชกรรม (อภ.) กล่าวว่า ในการประชุมผู้บริหาร สธ. เมื่อวันจันทร์ที่ 20 ก.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการเสนอขอให้มีการจัดซื้อวัคซีนรวมป้องกันไข้หวัดใหญ่ 3 สายพันธุ์เพิ่มอีก 2 แสนโดส แต่ทางนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.สธ. ให้ไปตรวจสอบตัวเลขการฉีดวัคซีนก่อนว่าฉีดไปแล้วกี่ล้านโดส เพราะหากวัคซีนเหลืออยู่ประมาณ 30% แล้วมีการเกลี่ยจากจังหวัดที่เหลือไปให้จังหวัดอื่นๆ ก็คงไม่จำเป็นต้องมีการสั่งซื้อวัคซีนเพิ่ม
     นพ.วิทิตกล่าวว่า ในวันนี้ อภ.มีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ ความร่วมมือในการพัฒนาการผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในระดับอุตสาหกรรม ระหว่าง อภ. และบริษัท เคทซูเคน (Kaketsuken) ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะไม่มีใครถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้กันง่ายๆ โดยเฉพาะระดับอุตสาหกรรมที่สามารถผลิตวัคซีนไข้หวัดใหญ่จากไข่ได้เป็นหมื่นๆ ฟอง โดยการถ่ายทอดเทคโนโลยีในครั้งนี้เป็นไปตามข้อตกลงอาเซียนบวก 3 ที่ประเทศพัฒนาแล้วให้ความช่วยเหลือประเทศที่กำลังพัฒนาโดยไม่คิดมูลค่า ทั้งนี้คาดว่าจะสามารถผลิตวัคซีนรุ่นแรกในปลายปี 2554
     นพ.วิชัย โชควิวัฒน ประธานบอร์ด อภ. กล่าวว่า หลังญี่ปุ่นถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตวัคซีน ก็คาดว่าภายใน 3 ปีน่าจะผลิตวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลได้ ในกำลังผลิต 2 ล้านโดสต่อปี และสามารถขยายได้สูงสุด 10 ล้านโดส โดยขณะนี้โรงงานวัคซีนที่ จ.สระบุรี อยู่ระหว่างการก่อสร้าง.

ไทยโพสต์ 24 กันยายน 2553