ผู้เขียน หัวข้อ: 'ฆ่าโหด ชำแหละ แนบเนียน...' ปรากฏการณ์สยอง 'เสื้อกาวน์' เลือดเย็น...?  (อ่าน 951 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9759
    • ดูรายละเอียด
คดีความของหมอและตระกูลของชื่อดังที่ยังคงเป็นมหากาพย์ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากมาย ที่ยังหาบทสรุปไม่ได้ง่ายๆ นอกจากเรื่องคดีความแล้ว...

ความฮือฮา สยดสยองระดับสั่นประสาทผู้ที่อยู่รอบข้างต่างก็ตั้งคำถาม เพราะที่ผ่านมาทุกๆ ครั้งที่อาชีพหมอมีคดีฆาตกรรมแดงขึ้นมา สังคมก็จะตั้งประเด็นตัวใหญ่ๆ ว่า ความฉานฉลาด เก่งกาจ มันสมองดี มักจะมาพร้อมกับความโหด น่าสะพรึงกลัว เนียบ ชนิดจะลงมือฆ่าใคร ก็หั่น ชำแหละ และอำพรางได้แนบเนียนเสมอๆ

ไทยรัฐออนไลน์สอบถามไปยังผู้รู้และผู้ที่อยู่ในอาชีพหมอ เพื่อวิเคราะห์กันว่า เป็นอาชีพที่ถ้าลงมือฆ่าใครแล้วมักจะน่ากลัวมากมายกว่าอาชีพอื่นๆ แบบที่ใครๆ คิดจริงหรือ...!

ย้อนประวัติเสื้อกาวน์ฆ่าโหดสยองสังคมไทย

พูดเรื่องฆาตกรรมที่มาจากน้ำมือบรรดาอาชีพหมอนั้น คงจะไม่ผิดถ้าจะบอกว่า คดีนวลฉวี (ซึ่งภายหลังมาสร้างเป็นภาพยนตร์ไทย) เมื่อหลายสิบปีก่อนเป็นคดีเขย่าขวัญทุกโสตประสาท ที่ทำให้คนมองอาชีพหมอหรืออาชีพพ่อพระ อาชีพนักบุญ ด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

ภายหลังมีคนพบศพพยาบาลสาวถูกฆ่าข่มขืนอย่างทารุณ แล้วโยนศพทิ้งน้ำบริเวณสะพานนนทบุรี (ปัจจุบันคือ สะพานนวลฉวี) หลังการสืบสวนทราบว่าผู้ที่บงการสั่งฆ่า นั่นก็คือ หมออธิป สุญาณเศรษฐกร (หมออุทิศ ราชเดช คือชื่อในภาพยนตร์) สามีของเธอ สาเหตุก็มาจากความหวั่นวิตกว่าเธอจะเข้าไปทำลายครอบครัว จึงสั่งฆ่าทั้งๆ ที่ยังรักเธออยู่ แม้ว่าสุดท้ายหมออธิปจะสำนึกขึ้นได้และจะยกเลิกคำสั่งนั้น แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว

คดีเสริม สาครราษฎร์ เป็นอีกหนึ่งคดีที่กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ กระทบภาพลักษณ์อาชีพพ่อพระอีกครั้งหนึ่ง ไม่แพ้คดีนวลฉลี เมื่อนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 2 ก่อเหตุฆ่าหั่นศพ น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรีแฟนสาว โดยเสริมให้การว่า ใช้ปืนยิงที่ขมับแฟนสาวเนื่องจากตกลงกันไม่ได้เรื่องมีชายอื่นมาพัวพัน หลังจากนั้นได้ใช้มีดผ่าตัดเฉือนศพเป็นชิ้นๆ ทิ้งลงชักโครก จนมีผู้พบชิ้นเนื้อมนุษย์จนนำไปสู่การพิสูจน์ DNA ก็พบว่าตรงกับเจนจิรา

มาถึง คดีฆ่าหมอผัสพร บุญเกษมสันติ แพทย์หญิงโรงพยาบาลรถไฟที่หายตัวไปนานร่วมเดือน นำไปสู่การสืบสวนสอบสวน นพ.วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ  ผู้เป็นสามีซึ่งให้การปฏิเสธมาโดยตลอด จนเมื่อทีมสืบสวนและเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นอาคารวิทยนิเวศน์พบคราบเลือดและเส้นผมและหลักฐานสำคัญที่เป็นชิ้นส่วนของมนุษย์ในบ่อพักน้ำเสียของอาคาร ซึ่งตรงกับ DNA ของหมอผัสพร สอดคล้องกับพยานที่เห็นหมอวิสุทธิ์ อยู่กับหมอผัสพรเป็นคนสุดท้าย รวมถึงเรื่องการฟ้องหย่าที่มีปัญหาขัดแย้งกันมานาน จนนำไปสู่มูลเหตุจูงใจฆ่า ปัจจุบันศาลได้พิพากษาให้ประหารชีวิตแล้ว แต่ยังสามารถอุทธรณ์ได้อยู่

ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นคดีใหญ่ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า แม้จะเป็นการกระทำโดยอาชีพนี้ไม่กี่คน แต่ทว่ารายละเอียดแต่ละคดีชวนสยองขวัญ ส่งผลให้อาชีพนี้ถูกมองว่ามีความฉานฉลาด แต่ทว่ากลับแฝงความน่ากลัว

จิตวิเคราะห์อาชีพหมอโหดจริงหรือ!

ด้าน ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิเคราะห์ชื่อดัง กล่าวกับไทยรัฐออนไลน์ถึงประเด็นนี้ว่า ทุกครั้งที่ข่าวทำนองนี้ออกมามักจะช็อกความรู้สึกคนทั้งประเทศมากมาย เพราะสังคมมักจะให้ค่ากับอาชีพนี้ว่าเป็นอาชีพพ่อพระ เป็นอาชีพนักบุญที่ทุกคนต่างยกย่อง

"อาชีพนี้เมืองนอกมีการวิจัยมาแล้วว่าเป็นอาชีพที่น่ากลัว เพราะว่าเป็นอาชีพที่คร่ำเคร่งเรียนหนักมาก ต้องอยู่กับตำรับตำรา อยู่กับเรื่องวิทยาศาสตร์ การผ่า ความตาย ฉลาดและเก่งจริงๆ แต่สมองด้านสุนทรียภาพนั้น อาชีพนี้กลับขาดหายไม่เหมือนกับอาชีพอื่นๆ เราจึงเห็นได้ว่าบุคลิกของหมอส่วนใหญ่จะนิ่งๆ จนเหมือนเย็นชา พูดน้อย ไม่ค่อยมีเพื่อน และเก็บกด เนื่องจากไม่รู้จะระบายออกกับใคร เพราะว่าเพื่อนน้อย ไม่ค่อยเข้าสังคม ความเครียดจึงสะสม พอมีเรื่องก็ระเบิดอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นด้านมืดที่แตกต่างกับสิ่งที่แสดงให้สังคมรับรู้ออกมาอย่างโหดเหี้ยม รุนแรง”

ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจิตวิเคราะห์ยกตัวอย่าง นิยายเรื่อง Dr.Jekyll and Mr.Hyde (มีการสร้างเป็นภาพยนตร์ด้วย) เล่าเรื่องหมอ 2 บุคลิกกลางวันเป็นคนสุภาพดี แต่กลางคืนกลับฆ่าคน และทำสิ่งชั่วร้ายออกมา ภาษาจิตวิเคราะห์เรียกโรคนี้ว่า 2 คนในร่างเดียวเป็นบุคลิกภาพแปรปรวนควบคุมตัวเองไม่ได้ นิยายเรื่องนี้สะท้อนภาวะเรื่องความเครียดที่สะสมและไม่ได้ระบายเป็นระยะเวลานานๆ ของหมอที่มักจะมีข่าวสยองในการฆาตกรรมโหดคนได้อย่างชัดเจน

“หมอที่น่ากลัวและต้องระวังว่าจะเกิดพฤติกรรมรุนแรงอย่างที่เป็นข่าว ส่วนใหญ่คือกลุ่มหมอที่มีบุคลิกนิ่ง เย็นชา พูดน้อย ไม่ค่อยมีเพื่อน หลีกหนีสังคม และดูเหมือนกับวางท่าอยู่เหนือคนอื่นมากกว่าหมอที่แสดงออกปกติ ร่าเริง อัธยาศัยดี”

หมอวิเคราะห์หมอโหดจริงหรือ!

ขณะที่ในมุมมอง แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ กล่าวถึงเรื่องอาชีพหมอน่ากลัวนี้ว่า เป็นคำถามที่ในวงการหมอมักจะหยิบมาพูดคุยแลกเปลี่ยนเป็นประจำ ซึ่งแต่ละครั้งก็จะพบว่า ไม่ได้จำกัดแค่เพียงอาชีพหมอเท่านั้นที่แสดงออกความรุนแรงโหดเหี้ยมแบบแนบเนียน ความรุนแรงและเนียบเนียนดังกล่าวมันจะมีโจทย์ที่ว่า คนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้มาจากความเก่งกาจทางมันสมองเป็นหลัก อาชีพที่มีความฉลาดก็ได้แก่ วิศวะ ผู้พิพากษา หมอก็จะอยู่ในข่ายใช้ความฉลาดในทางที่ผิดๆ แสดงออกตามสไตล์ความถนัดของอาชีพนั้นๆ

“เช่น ถ้าเกิดการฆาตกรรม ถ้าเป็นหมอเราจะเห็นว่าเขาชำแหละศพเป็นชิ้นๆ แล้วแยกทิ้ง หรือถ้าคนฉลาดนั้นมีอาชีพวิศวกร เขาก็จะใช้ความถนัดของเขาจัดการศพ เช่น ฆ่าเสร็จก็จะโบกปูน หรือ ฝังเอาไว้ในที่ที่คนไม่เห็น หรือถ้าเป็นทนายหรือผู้พิพากษาเขาก็จะฆ่าและทำลายหลักฐานซะจนไม่มีร่องรอย พูดง่ายๆ ที่ผ่านมาข่าวหมอฆ่าคนอย่างสยองที่ออกมามากๆ สังคมจึงนึกว่าอาชีพหมอมันน่ากลัวมันโหด มันแนบเนียนนั้น จริงๆ แล้วปัจจัยของการฆาตกรรมโหดและแนบเนียนมีปัจจัยมาจาก 1. คนฆ่าต้องมีพื้นฐานเป็นคนเก่ง และ 2. เวลาคนเก่งเจอปัญหาจะหาทางออกไม่ได้ง่ายๆ เพราะมันจะเก่งจนเคยตัว ทำอะไรก็จะดูดุ  และ 3. เขาก็จะใช้ตามเทคนิคที่เขาถนัด ซึ่งประเด็นนี้กล่าวถึงเรื่องหมอนั้นเวลาบันดาลโทสะมันก็เหมือนกับคนอื่นๆ เพียงแต่ว่าเวลาจะจัดการกับศพ มันอาจจะเนียบ เพราะว่าเขาเป็นคนเก่งไง เขาก็ใช้วิธีการที่ตัวเองถนัด มันอาจจะดูน่ากลัวในแง่สังคม”

ถามย้ำว่าอาชีพหมอน่ากลัวอย่างที่หลายคนคิดและเห็นจากข่าวคราวไหม..?

“ไม่น่ากลัวเพราะว่าอย่างแรกก็คือ แนวคิดของคนที่เขามาเรียนจะใช้ความเก่งอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องใช้ความต้องการช่วยเหลือคนอื่น เพียงแต่ตอนจบการศึกษาจะเหลือแบบนั้นหรือเปล่าไม่รู้ สองคือเขาต้องสกรีนสุขภาพจิตก่อนจะมาเรียนหมอ ซึ่งตัวหมอ (หมายถึงหมอพรทิพย์) อายุ 58 ก็ยังตรวจสุขภาพจิตเลย ฉะนั้นกระบวนการตรวจสุขภาพจิตมันก็ช่วยสกรีนไปได้ในระดับหนึ่ง เรื่องสุดท้ายคำตอบสุดท้ายที่หมอให้มันกระทบทุกอาชีพอย่ายึดแต่อาชีพหมอนะ ทุกอาชีพมีปัญหาแน่นอนมันถูกหล่อหลอมขึ้นมาบนความกลวง ก็คือไม่ได้ถูกให้มีแต่เรื่องศีลธรรม ไม่มีเรื่องของประวัติศาสตร์อาชีพพลเมือง ตรงนี้มันจึงไม่มีความรักส่วนรวมมากนัก”

ฉะนั้นทุกคนก็จะพุ่งเข้าหาผลประโยชน์ตัวเอง เป็นทุกอาชีพ ซึ่งถ้าจะว่าอาชีพไหนโหดที่สุด ตั้งแต่หมอทำงานมาเป็นสิบๆ ปีหมอเจอคดีเผานั่งยาง ยิง ผลักทิ้งหุบเหว มากมายกว่าการฆาตกรรมของหมอซะอีก เพียงแต่ว่าเราไม่มีระบบการตรวจพิสูจน์ ถ้าไปดูตรงนั้นเราจะเห็นความเหี้ยมของเจ้าหน้าที่รัฐเพิ่มขึ้นทันที แต่ทหารเราไม่เคยเจอนะ ไม่ใช่แปลว่าไม่มี ส่วนตัวเจอศพนิรนามมาเยอะแล้ว คิลลิ่งฟิวส์ที่แม่สอดฆ่าทั้งภูเขา หรืออุ้มฆ่าทิ้งนิรนามมันเต็มเมืองอยู่แล้ว คำถามคืออาชีพไหนมีกุญแจมือ อาชีพนี้น่ากลัวกว่าอาชีพหมอมากมาย

เจาะทางออก ปรากฏการณ์เสื้อกาวน์โหด...?

สุดท้าย ดร.วัลลภ ยังแนะนำทางออกกรณีนี้ด้วยว่าให้อาชีพแพทย์โดยเฉพาะ หมอผ่าตัด หมอประสาทวิทยา และจิตแพทย์ออกไปผ่อนคลายบ้าง เพราะไม่เช่นนั้นจะอันตรายมากมาย

“หมอทั้งหมดที่ผมกล่าวมามีความเครียดมากๆ กว่าหมอแขนงอื่นๆ ดังนั้น ควรหาเวลาว่างไปออกกำลังกาย ออกไปสังสรรค์ ผ่อนคลายความเครียด วาดรูป และที่สำคัญอย่าคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ วิเศษแบบที่สังคมตีตรากัน เป็นหมอก็ป่วยไข้ เครียดได้ ร้องไห้ได้ ผิดพลาดได้ ดังนั้น จึงอยากแนะนำให้หาบัดดี้ เป็นเพื่อน พี่ พ่อ แม่ หรือภรรยา หาแบบที่เป็นที่ปรึกษาได้ทุกเรื่อง เอาไว้รับฟังความในใจดีกว่าเก็บเอาไว้คนเดียวแน่นอน”

ขณะเดียวกันหมอพรทิพย์ แนะนำทิ้งท้ายการแก้ปัญหาภาพใหญ่กรณีนี้ด้วยว่า ไม่เพียงอาชีพหมอที่น่ากลัว ปัจจุบันทุกคนน่ากลัวทั้งนั้น ที่สำคัญก็คือ ณ วันนี้เรามองทางกายภาพไม่ออกในการคบมนุษย์ ฉะนั้นคนยิ่งเก่งยิ่งประสบความสำเร็จ ยิ่งร่ำรวยก็เป็นอุทาหรณ์ให้เตือนว่าตกลงเราอยู่กับวัตถุกับสิ่งที่เป็นนามธรรม ถ้าเรารักรูปธรรมหรือวัตถุต้องเจอแน่ อาจจะโดนฆ่าทิ้งก็ได้ ไม่ใช่เป็นตัวหมอ มันเป็นเรื่องทั่วๆ ไป

"สิ่งที่หมออยากฝากก็คือยังมีศพนิรนามซ่อนอยู่ในหลายๆ ที่ สังคมอย่าสนเรื่องเดียว หลักอย่างนี้มันเป็นหลักของมนุษยชน ปีหนึ่งมีศพนิรนามทั่วประเทศมันสะท้อนอะไร นิรนามก็คือการฆาตกรรม มันก็คือจุดอ่อนของกระบวนการยุติธรรมอย่างหนึ่ง ความไม่มีชื่อมันทำให้คนไม่ให้ความสำคัญ” หมอชื่อดังทิ้งท้ายในที่สุด

ที่สุดแล้ว สิ่งที่ทั้งคู่พูดตรงกันก็คือ เรื่องราวปรากฏการณ์อาชีพที่หลายคนหวั่นเกรงนี้ อยากให้มองในเรื่องความโหดร้ายของแต่ละบุคคลเท่านั้น เพราะหมอดีๆ มีอีกมากมายเพียงแต่ว่าไม่เป็นข่าวเท่านั้นเอง

ไทยรัฐออนไลน์ 21 ตค 2555