ผู้เขียน หัวข้อ: แซม’-ยุรนันท์ เผยชีวิตหลังก้าวเข้าสู่‘วงการแพทย์’ แนะเหล่าบรรดาซุป’ตาร์ ‘ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี’  (อ่าน 2291 ครั้ง)

ABBA

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2105
    • ดูรายละเอียด
คือไม่ทันครับเข้ามาอยู่วงการได้ไม่ทันได้พิสูจน์อะไรคุณพ่อก็เสียตอนอายุยังไม่ 20 เลย ไม่มีโอกาสไปพูด หรือพิสูจน์ให้พ่อเห็น ว่าถ้าตัวเราจะเสียคนมันอยู่ที่ตัวของเรา ผมก็มีเชื้อในความรักศักดิ์ศรีเหมือนคุณพ่อมาก คือเป็นคนที่ถ้าไม่ใช่ คือไม่ใช่ ตัวผมเองก็ได้สรุปเช่นกันว่าสมัยนั้นพ่อพูดถูกหมด แต่ด้วยความที่อายุห่างคุณพ่อ?26 ปี มันเลยทำให้มีช่องว่าง เรามาเข้าใจพ่อมากที่สุดตอนที่เรามีลูกชาย

ซึ่งผมมีบทเรียนที่มันมีบางเรื่องที่เรายังข้ามไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของพ่อ เป็นเรื่องของพ่อกับลูกที่เราอยากกลับไปแก้ไขมันอีกครั้ง เพราะว่าด้วยความที่มันค้างคาใจว่า พ่อไม่ค่อยรักลูกหรือคือพ่อคิดอะไรยังไงไม่รู้แต่พอมีลูกแล้วมันรู้เลยว่าไม่มีพ่อคนไหนที่ไม่รักลูก

มันคือผลผลิตของเรา เขาคือส่วนหนึ่งของเรา มันเลยทำให้เราเข้าใจว่าชีวิตเป็นของเรานะเพราะฉะนั้นอย่ากำหนดชีวิตเขาจนมากเกินไปเพราะสุดท้ายเขาก็ต้องอยู่ด้วยตัวเขาเองอย่างมีความสุข อย่าไปเป็นอะไรที่แค่พ่อ-แม่อยากให้เป็นและก็ไม่ได้อยากเป็น

จะมีผลงานอื่นๆ ให้แฟนๆ ได้ติดตามบ้างไหม
“ไม่มีเลยครับก็มีคุยกันบ้างในฐานะเป็นเพื่อนๆ กันก็กระโดดไปจับละครกันแล้วบ้างก็มีพูดถึงกันบ้าง แต่ว่าตัวเองด้วยความที่เวลามันสำคัญอีกอย่างหนึ่งมันยังไม่เกิดความอยากเลยนะ มันต้องเกิดจากความอยากหรือเป็นบทที่มันแบบว่าไม่เล่นไม่ได้แล้ว แต่ถามว่าเรายังรักวงการอยู่ไหมเรายังรักอยู่เสมอ ว่างก็ดูละครเหมือนกันภรรยากับลูก ยังมีความรู้สึกอิน ชื่นชอบชื่นชม สนุกสนานบันเทิงอยู่แล้ว

อย่างเมื่อ 3 ปีที่แล้วก็ยังได้มีโอกาสไปเล่นของเอ็กแซ็กท์ เรื่อง “ตราบสิ้นดินฟ้า” เป็นเรื่องที่ค้างคาที่รับปากว่าจะเล่นให้ นั่นเป็นเรื่องสุดท้ายแม้จะไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรเพราะว่าหลายปัจจัยมาก แล้วเรื่องมันเครียดเศร้าตัวเองเล่นร้องไห้ทั้งเรื่องปวดตาไปหมด แต่ที่เราตัดสินใจเล่นเพราะว่าได้ร้องเพลงด้วย ได้เป็นพระเอกที่ได้ร้องเพลง อยู่ในวงการมา 30 ปี ไม่เคยได้เล่นละครหรือหนังเรื่องไหนที่พระเอกเป็นนักร้องเลยทั้งๆ ที่ตัวเองทำทั้งสองอย่าง ต้องขอบคุณ คุณบอย-ถกลเกียรติ ที่ให้โอกาสครับ รวมทั้งขอบคุณแฟนๆ ที่ยังติดตาม

ผันตัวออกจากวงการไปเรียนเป็น ‘คุณหมอ’
เป็นอีกหนึ่งเรื่องคือคุณย่าฝันอยากให้เราเรียนหมอ คุณย่าเป็นชาวเยอรมันจะสนใจเรื่องสุขภาพ เรื่องศาสตร์ทำยังไงให้คนไม่ป่วยไม่แก่นะครับ เราเลยไปเรียนนะครับ แรกๆ เราเริ่มจากเปิดคลินิกเล็กๆ กับเพื่อนแค่สนุกสนานจนกระทั่งเกิดความสนใจจริงๆ แล้วก็ไปเรียน ซึ่งตอนนี้เราได้เปิด “วิลล่า เมดิก้า” ประเทศไทย เป็นศูนย์ดูแลและฟื้นฟูสุขภาพ เป็นโฮลิสติก ครับเป็นเรื่องของการทำยังไงให้ดูแลองค์รวม ทำยังไงให้ไม่ป่วย ไม่เกิดภาวะเสื่อมก็แก่ช้าเราก็ตายช้า เป็นศาสตร์แพทย์ทางเลือกที่ทางยุโรปเขาโด่งดังกันมานานมาก แต่ว่าประเทศไทยยังไม่ค่อยมี ที่นี่จะมีการเช็คอัพหาอนาคตนะครับว่าเรามีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคอะไร แล้วจะป้องกันดูแลอย่างไร หรือถ้าเป็นแล้วจะรักษาอย่างไร แต่ทางที่ดีเราต้องป้องกันไว้ก่อนครับ

วิธีดูแลตัวเอง
“ตามที่เรียนมาเลยครับพักผ่อนให้พอ ทานอาหารให้ครบหมู่ ออกกำลังกายไม่เครียดถ้าเกิดอารมณ์จะต้องสดชื่นตลอด ทำได้ครบแค่นี้เราก็จะเป็นคนที่สุขภาพดีกว่าคนอื่น แต่ชีวิตประจำวันของเรามันยากที่จะทำได้ครบ เพราะฉะนั้นก็คือคงต้องมาเสริมกัน เราขาดส่วนไหนก็มาเสริมเติมให้เต็มให้เราพร่องน้อยที่สุดเราก็จะได้แข็งแรงแล้วก็เจ็บป่วยน้อย แทบจะไม่เป็นเลย นั่นก็หมายถึงว่าจะทำให้เราแก่ช้าลงแล้วก็ตายช้าลงในที่สุด ซึ่งพี่เองก็ดูแลตัวเองแบบนี้ด้วยเหมือนกันครับ

ผลตอบรับเป็นยังไงบ้าง
“ดีครับไม่ได้โฆษณาอะไรเลยแต่ก็ดูแลลูกค้าเป็นหมื่นคน ตอนนี้กำลังดำเนินการขยายสาขาไปที่เขาใหญ่ ภูเก็ต และในกรุงเทพฯ”

มุมมองการใช้ชีวิตยังไงบ้าง
ก็ยังยึดเหมือนเดิมครับถ้าเราอยากทำอะไรก็ต้องอยากที่จะทำก่อนแล้วเราจะมีความสุขที่จะทำ แล้วต้องทำให้ดีที่สุด ถ้าทำได้ไม่ดีไม่ทำดีกว่า ที่สำคัญคือต้องเป็นความสุขที่ไม่เบียดเบียนคนอื่นด้วยครับ

ฝากถึงนักแสดงรุ่นน้องว่าทำอย่างไรถึงจะรักษาชื่อเสียงให้อยู่นาน
“คือรักในสิ่งที่ตัวเองทำนะครับ ถ้าแค่มาสนุกสนานอย่าทำ เพราะว่ากว่าจะก้าวเข้าไปอยู่ตรงนั้นต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่ใช่แค่แสดงแล้วจบกันไป คุณต้องรับผิดชอบต่อสังคม คุณต้องระวังต้องเดินไปในเส้นทางที่มันถูกที่สุด การได้มาเป็นนักแสดงเป็นคนมีชื่อเสียงไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ แต่ยากกว่านั้นจะรักษามันไว้ยังไง พี่ถือคตินี้

กว่าจะขึ้นมาเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาได้ไม่ง่ายเลย แล้วพี่รักษาไว้ 30 ปี การเดินไปในทางที่เราชอบต้องดูแลสังคมดูแลรอบข้างด้วย บางครั้งสิ่งที่เราทำอาจมีผลกระทบแล้วยิ่งเดี๋ยวนี้สื่ออินเตอร์เนตค่อนข้างเร็ว ว่ากฎหมายแรงแล้ว กฎสังคมมันมีโทษแรงกว่า น้องๆ เป็นนักแสดงแล้วก็ต้องเป็นแบบอย่าง กฎสังคมลงโทษประหนึ่งฆ่าชีวิตเลยนะคือมันแรงมากเพราะฉะนั้นการที่ได้มามันต้องพร้อมที่จะเสียไปเพราะ คุณเป็นคนของสังคม คุณต้องเป็นตัวแทนที่ดีของสังคมด้วยก็เลยฝากน้องๆไว้ว่าพี่เอาใจช่วยแล้วก็ชื่นชม ทำตัวเป็นแฟนที่ดีคนหนึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยู่เบื้องหน้าแล้วก็ทำตัวเป็นประชาชนเป็นแฟนๆ

บางครั้งลูกอยากดูเขาประกวดเอเอฟ ก็พาไปนั่งดูให้รู้ว่าเราอยู่ตรงนี้ วันหนึ่งถ้าเขาอยากอยู่ข้างหน้ามันเป็นยังไง คือพี่มีความสุขกับทุกย่างก้าวที่พี่ได้ก้าวข้ามผ่านมาแล้ว และมีเรื่องราวต่างๆ ได้เก็บมาเป็นบทเรียนในชีวิต แล้วได้ถ่ายทอดให้กับลูกได้ฟังกันต่อว่าทุกย่างก้าวที่เราก้าวผ่านมาในทุกๆเรื่องมันมีประวัติศาสตร์ มันมีเรื่องที่ต้องจดจำทั้งด้านบวกแล้วก็ด้านลบ จงเลือกเก็บด้านดีไว้เป็นความทรงจำที่ดีแล้วก็เก็บด้านลบเอาไว้เพื่อเป็นบทเรียนเพื่อให้เราจะได้ไม่ต้องเจออีกหรือคนที่เรารักจะได้ไม่ต้องเจอสิ่งเหล่านี้”

แนวหน้า