ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อเงินไม่สามารถซื้อชีวิตได้อีกต่อไป  (อ่าน 2138 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9753
    • ดูรายละเอียด

ผู้ที่ติดตามเรื่องค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ของประเทศไทยจะทราบว่าค่าใช้จ่าย นี้สูงขึ้นทุก ๆ ปี  ทั้งนี้จะเห็นได้จากงบประมาณต่อหัวคนที่รัฐต้องจ่ายเพิ่มขึ้นนับจากเริ่มมี โครงการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือที่เรียกกันติดปากว่าบัตรทอง 30 บาท  ที่เป็นเช่นนี้เพราะการประชาสัมพันธ์อย่างหนักจากภาครัฐรวมทั้งความสามารถ ในการเข้ารับการบริการอย่างทั่วถึง  คนส่วนใหญ่ซึ่งมีสิทธิจึงมารับบริการเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ  ยิ่งไปกว่านั้นในปัจจุบันนี้คนไทยมีอายุยืนขึ้นซึ่งย่อมมีโรคภัยไข้เจ็บมาก ขึ้นด้วย และยิ่งการบริการทางการแพทย์ได้กลายเป็นสิทธิที่ประชาชนคิดว่าตนพึงมีพึงได้ การจ่ายเงิน 30 บาทเพื่อเข้ารับบริการทางด้านสุขภาพจึงกลายเป็นเรื่องถูกแสนถูกไปในทันที

                การที่ผู้คนมีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ด้วยต้นทุนของตนเองที่ถูกแสนถูก ประกอบกับการส่งเสริมการตรวจร่างกายประจำปีจึงมีผู้ป่วยใหม่ที่ป่วยด้วยโรค เรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือระดับไขมันในเลือดสูงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  การที่โรคเหล่านี้ถูกเรียกว่าโรคเรื้อรังก็เพราะมันเป็นโรคที่รักษาไม่หายจน กว่าผู้ป่วยจะเสียชีวิต  ยิ่งเมื่อผู้ป่วยได้รับการเน้นย้ำจากแพทย์ว่าโรคเหล่านี้เป็นบ่อเกิดของโรค ร้ายแรงต่าง ๆ เช่น โรคไตวายเรื้อรัง เส้นโลหิตสมองตีบหรือแตก เส้นเลือดหัวใจตีบ ผู้ป่วยจึงยิ่งเข้ารับการรักษาตัวอย่างต่อเนื่อง  ยิ่งไปกว่านั้นในปัจจุบันการบริการทางการแพทย์ของไทยส่วนใหญ่ใช้มาตรฐานการ รักษาเดียวกันกับของสหรัฐอเมริกาหรือประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป จึงยิ่งมีความจำเป็นที่แพทย์จะต้องตรวจหาโรคร่วมหรือโรคแทรกซ้อนอย่างจริง จัง  หนทางแห่งการลดลงของค่าใช้จ่ายจึงแทบไม่มี

                เป็นที่ทราบกันดีว่าข้าราชการเป็นกลุ่มคนกลุ่มแรกของประเทศที่รัฐให้คำมั่น สัญญาว่าจะดูแลรักษาพยาบาลให้ ไม่ว่าพวกเขาและครอบครัวจะเจ็บป่วยเป็นโรคใด ๆ ก็ตาม  นี่คือเหตุผลสำคัญเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ข้าราชการส่วนใหญ่รับราชการเพราะมัน คือหลักประกันตลอดชีวิต หรือการทำประกันสุขภาพแบบตลอดชีวิตโดยจ่ายเบี้ยประกันเป็นแรงงานของตนนั่น เอง   คนกลุ่มต่อมาที่รัฐให้การประกันคือ กลุ่มผู้ยากไร้ เด็กและพระสงฆ์  เมื่อประเทศไทยมีประกันสังคม สวัสดิการนี้ก็ให้ความคุ้มครองสุขภาพแก่ผู้ใช้แรงงานส่วนใหญ่ของประเทศโดย พวกเขาเป็นผู้ร่วมจ่าย  กลุ่มประชาชนทั่วไปเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เพิ่งได้รับสวัสดิการเมื่อไม่กี่ปี นี้เอง  การที่รัฐเพิ่มคำมั่นสัญญากับประชาชนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ค่าใช้จ่ายทางด้านสุขภาพเลยบานปลาย  รัฐจึงได้ออกมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายโดยใช้กลยุทธ์มากมายที่ประชาชนไม่เคย รับทราบ เช่น การจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลตามกลุ่มโรคซึ่งเป็นการควบคุมแบบปลายปิด (DRG)  ที่เรียกว่าการควบคุมแบบปลายปิดนั้นหมายถึง รัฐจะจ่ายเงินให้กับสถานบริการตามการวินิจฉัยโรคและงบประมาณที่มีอยู่  หากสถานพยาบาลไม่สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายเงินตามที่งบประมาณรัฐจ่ายให้สถาน พยาบาลจะต้องเป็นผู้ออกเงินส่วนเกินเอง และมาตรการที่กำลังจะนำมาใช้ในอนาคตคือ การบังคับใช้ยาเฉพาะในบัญชียาหลักแห่งชาติ  หากพิจารณาการควบคุมเหล่านี้ แง่ดีก็คือการลดค่าใช้จ่ายให้กับภาครัฐ แต่ในอีกแง่หนึ่งก็เป็นการบีบบังคับให้การรักษาพยาบาลเป็นไปตามตัวเงินหรือ ข้อกำหนดที่ค่อนข้างจำกัดซึ่งจะส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรงและวงการแพทย์โดย ทางอ้อมในอนาคต

                  การที่รัฐเลือกลดค่าใช้จ่ายภาครัฐด้วยการลดงบประมาณด้านการรักษาพยาบาลจึง น่าที่จะไม่ยุติธรรมกับประชาชนทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการที่ทำประกัน สุขภาพชั่วชีวิตไว้กับรัฐ  ซ้ำร้ายข้าราชการที่เกษียณอายุไปแล้วและทหารที่พิการจากการไปออกรบเพื่อปก ป้องชาติยังขาดโอกาสที่จะไปหากินอย่างอื่นเพื่อเก็บเงินไว้รักษาตัว  ที่เป็นเช่นนี้เพราะระเบียบราชการที่กำลังจะออกใหม่นี้บีบบังคับให้ข้า ราชการต้องจ่ายเงินเองสำหรับยานอกบัญชียาหลักซึ่งรัฐไม่อนุญาตให้เบิกได้อีก ต่อไปหลังจากที่รัฐได้ปฏิเสธการเบิกอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น เข็มฉีดยามาแล้วช่วงเวลาหนึ่ง  นั่นหมายความว่า ข้าราชการจะได้รับการปฏิบัติด้อยไปกว่าประชาชนทั่ว ๆ ไปที่ใช้สิทธิอื่น ๆ เพราะโดยปกติแล้ว ประชาชนที่เข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐส่วนใหญ่จะได้รับการ ปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน นั่นคือ สามารถใช้ยานอกบัญชียาหลักได้หากแพทย์เห็นสมควร  กฎระเบียบใหม่นี้จึงน่าที่จะละเมิดสิทธิอันพึงมีพึงได้ของข้าราชการและจะส่ง ผลร้ายต่อประชาชนทั่วไปโดยรวมต่อไปในอนาคต

                การที่วงการแพทย์ไทยในปัจจุบันสามารถพัฒนาได้ทัดเทียมกับประเทศต่าง ๆ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกานั้นเป็นผลมาจากการซื้อหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ และเวชภัณฑ์ยาจากประเทศเหล่านี้  เมื่อรัฐบาลเริ่มลดงบประมาณด้วยการจำกัดการใช้ยาให้เหลือเพียงยาในบัญชียา หลักแห่งชาติ (การจัดทำบัญชียาหลักแห่งชาติมักใช้เวลาในการจัดทำนานกว่า 5 ปีและยาที่จะถูกบรรจุอยู่ในบัญชีนี้ส่วนใหญ่มักต้องเป็นยาที่มียาสามัญหรือ ยาเลียนแบบขายแล้วในประเทศไทย) ในอนาคตบริษัทยาคงไม่นำยาใหม่ ๆ เข้ามาขายเพราะขนาดของตลาดที่จะขายยาใหม่ ๆ จะเล็กเกินกว่าที่จะคุ้มทุนต่อการนำเข้าเพราะการรอเพื่อให้ยาเข้าบัญชียา หลักต้องใช้เวลานานเกินไป อีกทั้งยาที่ไม่เคยมีการใช้ในวงกว้างยากที่จะเข้าบัญชียาหลักได้  เมื่อไม่มีตลาดหรือตลาดเล็กเกินไปบริษัทยาต่าง ๆ ก็จะไม่เสียเวลากับการขึ้นทะเบียนยาและขายยาให้กับประเทศไทย

                    บางคนอาจแย้งว่าคนไทยก็รอซื้อยาเลียนแบบของต่างประเทศ หรือเลียนแบบเองเช่นที่รัฐบาลกำลังคิดจะทำด้วยการละเมิดสิทธิบัตรยาจะมิ ประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าหรือ  คำตอบคือการผลิตยาเลียนแบบจะทำได้ก็ต่อเมื่อหมดสิทธิบัตรซึ่งต้องใช้เวลานาน และอาจยาวนานถึง 10 ปีเลยทีเดียว  การผลิตยาหรือการเลียนแบบยามีความจำเป็นต้องใช้วัตถุดิบจากบริษัทแม่ที่เป็น ต้นกำเนิดยาและความสามารถในการผลิตก็มิใช่เลียนแบบกันได้ง่าย ๆ  อินเดียซึ่งเป็นประเทศที่ผลิตยาเลียนแบบใหญ่ที่สุดก็ไม่สามารถผลิตยาเลียน แบบใหม่ ๆ ได้อีกต่อไปเพราะเขาได้จดทะเบียนเรื่องสิทธิบัตรยาไปแล้วเมื่อปี 2005  นั่นหมายความว่ายาใหม่ ๆ ที่ผลิตหลังปี 2005 อินเดียก็ไม่สามารถผลิตเลียนแบบเช่นกัน  นอกจากนี้ การละเมิดสิทธิบัตรยาก็สามารถทำได้เฉพาะในกรณีฉุกเฉินหรือเกิดโรคระบาดฉับ พลันไม่สามารถทำได้ในทุกกรณีด้วย  อีกเหตุผลหนึ่งคือ เมื่อยาใหม่ ๆ มิได้ขึ้นทะเบียนขายในประเทศไทย บริษัทยาไทยหรือบริษัทยาเลียนแบบย่อมไม่อาจขายยาในประเทศไทยได้  คงไม่มีบริษัทยาเลียนแบบรายใดลงทุนผลิตยาโดยที่ไม่ทราบว่าจะสามารถขายใน ประเทศได้หรือไม่

                 การที่บริษัทยาต่างประเทศไม่ขึ้นทะเบียนยาใหม่ ๆ ทำให้คนไทยหมดโอกาสที่จะได้ใช้ยาเหล่านั้น  ความก้าวหน้าของวงการแพทย์ไทยก็จะลดลง  ส่วนผู้ป่วยโรคร้ายแรงที่กำลังรอคอยยาใหม่ ๆ เช่น ผู้ป่วยมะเร็งซึ่งเป็นผู้ป่วยที่มีเวลารอคอยไม่นานนักคงต้องเดือดร้อนอย่าง แน่นอน  นั่นหมายความว่า แม้มีเงินก็จะไม่สามารถซื้อชีวิตได้อีกต่อไป

พญ.นภาพร ลิมปิยากร