ผู้เขียน หัวข้อ: ชาย-หญิงไทยคุมกำเนิดไม่เป็น!  (อ่าน 1267 ครั้ง)

ABBA

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2105
    • ดูรายละเอียด
ชาย-หญิงไทยคุมกำเนิดไม่เป็น!
« เมื่อ: 07 ตุลาคม 2012, 19:27:06 »
     ไม่ว่าจะเป็นปัญหา "การท้องไม่พร้อม" หรือ ปัญหา "การมีลูกมาก" สาเหตุหลักเกิดจากการ "คุมกำเนิด" ที่ผิดวิธี หรือความเชื่อผิดๆ ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย จนกลายเป็นปัญหาทางด้านคุณภาพชีวิตของสังคมไทย และเนื่องใน "วันคุมกำเนิดโลก" ซึ่งกำหนดให้ตรงกับวันที่ 26 กันยายน ของทุกปี ไบเออร์ เฮลธ์แคร์ จึงมีการณรงค์และสำรวจในหลายประเทศ ในหัวข้อ "อนาคตคุณ คุณเลือกได้ด้วยการคุมกำเนิด" โดยมีผู้ให้ข้อมูลกว่า 800 คนจาก 8 ประเทศในเอเชีย และมีผู้ให้ข้อมูล 104 คน จากประเทศไทย พบว่า อายุเฉลี่ยของผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก คือ 22 ปี แต่อายุเฉลี่ยของผู้หญิงที่วางแผนมีบุตรคนแรก คือ 30 ปี นอกจากนี้ผู้ให้ข้อมูลทั้งหญิงและชายมากกว่า 1 ใน 4 ไม่ต้องการมีบุตรหรือไม่แน่ใจว่าต้องการมีหรือไม่
  เห็นได้ค่อนข้างชัดเจนจากข้อมูลและแนวโน้มของโลกว่าผู้หญิงแต่งงานช้าลง รวมถึงมีบุตรช้าลง หรือไม่มีบุตรเลย โดยผู้หญิงต้องการวางแผนด้านอื่น และอยากประสบความสำเร็จมากกว่าเรื่องการมีครอบครับ โดยมองว่าไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด จนก่อความสงสัยว่าผู้หญิงเหล่านี้วางแผนอนาคต และรวมการคุมกําเนิดไว้ในแผนอนาคตหรือไม่
                             ในปี พ.ศ. 2555 อัตราการใช้เครื่องมือคุมกำเนิดก็ไม่สอดคล้องกับการวางแผนของคนกลุ่มนี้ ผู้ให้ข้อมูล 16 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช้วิธีคุมกําเนิดตอนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก นอกจากนี้ผู้ให้ข้อมูล 17 เปอร์เซ็นต์ ปัจจุบันใช้วิธีหลั่งภายนอก ซึ่งไม่มีข้อมูลยืนยันว่าเป็นวิธีคุมกําเนิดที่น่าเชื่อถือ หากเทียบกับการคุมกําเนิดที่มีประสิทธิผลมากกว่าอย่างยาเม็ดคุมกำเนิด ซึ่งมีประสิทธิภาพ 99 เปอร์เซ็นต์ หากใช้อย่างถูกต้อง
                             ยิ่งไปกว่านั้นการศึกษาเปรียบเทียบ ช่วงอายุเริ่มแต่งงานของผู้หญิง ในระยะที่ห่างกัน 60 ปี เผยให้เห็นว่า อายุของการแต่งงานเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ ในประเทศไทย โดยอายุเฉลี่ยของผู้หญิงที่แต่งงานในปี พ.ศ. 2463 คือ 22.1 ปี ขณะที่อายุเฉลี่ยของผู้หญิงที่แต่งงานในปี พ.ศ. 2523 คือ 24 ปี ส่วนการศึกษาเปรียบเทียบต่อเนื่อง อีกหนึ่งงานวิจัยเกี่ยวกับจำนวนบุตรของผู้หญิง ตลอดช่วงชีวิตแสดงตัวเลขที่ลดลงมาก จากข้อมูลของหน่วยประชากรแห่งสหประชาชาติ อัตราเจริญพันธุ์รวมลดลงกว่าครึ่งตลอด 40 ปีในประเทศไทย อัตราเจริญพันธุ์รวมในปี พ.ศ.2463 คือ  22.1 แต่ในปี พ.ศ. 2543 ลดลงเหลือ 24
                             เห็นได้ชัดว่า เวลาเปลี่ยนไปและเราก็เห็นแนวโน้มต่างๆ มากขึ้น แต่การรับรู้เรื่องการคุมกําเนิด กลับไล่ตามแทบไม่ทันแนวโน้มที่เกิดขึ้นเหล่านี้ อีกทั้งยังต้องอาศัยชุมชนและสังคม ในการทำให้ผู้หญิงเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการคุมกําเนิด และทำให้การคุมกําเนิดเข้าถึงง่ายสำหรับทุกคน
                             ในช่วงแรก งานสำรวจประจำปีวันคุมกําเนิดโลกถามผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการวางแผนครอบครัวระยะยาว วิธีการคุมกำเนิดยอดนิยมเพื่อการวางแผนครอบครัวระยะยาว คือ ถุงยางอนามัยผู้ชาย ทว่าผู้ให้ข้อมูลเกือบ 1 ใน 3 พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คุมกำเนิดโดยวิธีการหลั่งภายนอก ซึ่งเป็นที่น่าตกใจมาก
                             ศ.นพ.สุรศักดิ์  ฐานีพานิชสกุล คณบดีวิทยาลัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เชื่อว่าทั้งหมดนี้สรุปได้ว่า จำเป็นต้องให้การศึกษา เนื่องจากคนยังคงเข้าใจผิดว่า การหลั่งภายนอกเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่น่าเชื่อถือ ยิ่งไปกว่านั้น หลายคนยืนยันไม่จำเป็นต้องใช้วิธีคุมกำเนิด เพราะยังพบว่ามีคนจำนวนมากกินยาคุมกําเนิดฉุกเฉินและใช้วิธีที่รวดเร็ว เช่น ทำแท้ง การสำรวจเผยว่าตั้งแต่ปีที่แล้ว ผู้หญิง 40 เปอร์เซ็นต์ ใช้ยาคุมกําเนิดฉุกเฉินอย่างน้อยหนึ่งครั้ง จึงอยากสนับสนุนให้ผู้หญิงทุกคน กำหนดอนาคตด้วยตัวเอง เริ่มคุยกับคู่รักและแพทย์เพื่อหาวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสม เพื่อให้การใช้ชีวิตคู่ดำเนินไปอย่างราบรื่น พร้อมการคุมกำเนิดที่เหมาะสม
                             ด้าน นพ.กิตติพงศ์ แซ่เจ็ง ผู้อำนวยการสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ที่ผ่านมาเมื่อพูดถึงการคุมกำเนิด คนจะมองว่าเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิงเท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว เป็นเรื่องที่ทั้งฝ่ายหญิงและชายต้องร่วมมือกัน ฝ่ายชายก็คุมกำเนิดด้วยการใช้ถุงยางอนามัย ฝ่ายหญิงด้วยการใช้ยาคุม ซึ่งก็มีทั้งยาคุมฉุกเฉิน ยาเม็ดรายเดือน ยาฉีด ชนิดฝัง และแบบห่วงถาวร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับบุคคล และควรใช้ให้ถูกต้องตามความต้องการในการใช้งาน
                             “สำหรับคู่ชายหญิงที่จะมีเพศสัมพันธ์ ก็ควรรู้วิธีการคุมกำเนิดที่เหมาะสมด้วย ซึ่งไม่ได้เฉพาะเจาะจงว่าช่วงอายุใด ยิ่งใน วัยรุ่นที่มีเพศสัมพันธ์ ยิ่งต้องรู้จักการคุมกำเนิด เพราะปัญหาการมีบุตรไม่พร้อม และการทำแท้งในปัจจุบันเกิดขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นเป็นจำนวนมาก เพราะวัยรุ่นที่มีความต้องการมีเพศสัมพันธ์ แต่ไม่มีความกล้าและเข้าถึงการรับบริการในการคุมกำเนิด หันไปเลือกใช้ยาคุมฉุกเฉิน ซึ่งให้ผลแค่ 75 เปอร์เซ็นต์ ทั้งยังไม่สามารถกินเกินเดือนละ 4 เม็ดได้ นั่นก็หมายความว่า ใช้ในทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ เพราะอาจมีผลข้างเคียง เช่น รอบเดือนผิดปกติ มามากหรือน้อยเกินไป อีกทั้งเมื่อเทียบกับยาคุมกำเนิดแบบรายเดือน หรือแบบฝัง แบบฉีด ที่ให้ประสิทธิภาพถึง 99 เปอร์เซ็นต์  ซึ่งปลอดภัยแน่นอน ทั้งนี้ควรเลือกให้เหมาะสมกับผู้ใช้” นพ.กิตติพงศ์ กล่าว
                             ขณะที่ เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ (ประเทศไทย) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงยางอนามัยดูเร็กซ์ กระตุ้นให้ความรู้แก่วัยรุ่นในเรื่องเพศศึกษา เพื่อลดปัญหาการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควร ในโครงการ “ลดโรค เพิ่มสุข วัยรุ่นไทย” จากโพลล์สำรวจเด็กไทย 12 โรงเรียนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล พบว่าเด็กส่วนใหญ่รู้จักการใช้ถุงยางอนามัย แต่เกือบครึ่ง!! มองเรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องปกติ
                             สุภัทร์ ไพรสานฑ์กุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เรกคิทท์ เบนคีเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า มีการสุ่มสำรวจทำแบบสอบถามจากเด็กอายุ 13 - 17 ปี ที่อยู่ในวัยเสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์จำนวน 400 คน เป็นนักเรียนชาย 208 คน นักเรียนหญิง 192 คน จาก 12 โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ ในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล ผลสำรวจที่คิดออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์พบว่า เด็กวัยรุ่นจำนวน 35 เปอร์เซนต์ ยังเชื่อว่าการหลั่งข้างนอก เป็นการคุมกำเนิดที่ปลอดภัย 25 เปอร์เซนต์ คิดว่าการคุมกำเนิดเป็นหน้าที่ของฝ่ายหญิงเท่านั้น 40 เปอร์เซ็นต์ คิดว่าใครๆ ก็สามารถมีเซ็กส์ได้ไม่ใช่เรื่องแปลก ซึ่งในกลุ่มที่ยังมีความเชื่อเช่นนี้ อาจส่งผลให้เกิดความเสี่ยงของปัญหาจากการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร รวมไปถึงการตั้งครรภ์ และการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แต่ยังดีที่ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่าเด็กวัยรุ่นไทย 99 เปอร์เซ็นต์ รู้ว่าการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ สามารถป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และลดอัตราเสี่ยงของการตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรได้
                             "ปัจจุบันปัญหาการตั้งครรภ์ที่ไม่พร้อมในวัยรุ่น เป็นปัญหาที่ยังคงพบอยู่ ซึ่งประเทศไทยติดอยู่ในอันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชีย ที่มีสถิติการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่นหญิง ที่มีอายุไม่เกิน 20 ปี เฉลี่ยปีละ 1 แสนคน และสถิตินี้ส่งผลให้ประเทศไทย พุ่งขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ 2 ของโลกรองจากแอฟริกา อีกทั้งยอดตัวเลขของผู้ที่ติดเชื้อเอดส์ก็ยังพุ่งสูงขึ้น การจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อให้เยาวชนได้ตระหนักถึงคุณค่าของตัวเอง หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ก่อนเวลาอันสมควร รวมไปถึงความรับผิดชอบต่อสังคมหากเกิดปัญหาตามมานั้น ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะลดปัญหาต่างๆ ในสังคมได้ ยิ่งทำให้วัยรุ่นมีความเข้าใจในเรื่องนี้มากเท่าไรก็จะมีส่วนป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นได้เท่านั้น" สุภัทร์ กล่าวปิดท้าย

คมชัดลึก