ผู้เขียน หัวข้อ: “โรคนอนไม่หลับ” ในวัยทำงาน  (อ่าน 1099 ครั้ง)

ABBA

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2105
    • ดูรายละเอียด
“โรคนอนไม่หลับ” ในวัยทำงาน
« เมื่อ: 14 กันยายน 2012, 20:57:51 »



       เรียบเรียงข้อมูลจากศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ
       
       การนอนหลับเป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักของมนุษย์ ประมาณกันว่าเราใช้เวลาไปกับการนอนถึง 1 ใน 3 ของช่วงชีวิต การนอนทำให้ร่างกายได้พักฟื้นจากความเหนื่อยล้าจากการทำกิจกรรมตลอดวันที่ผ่านมา ดังนั้น หากเราสามารถนอนหลับได้ปกติก็จะมีสุขภาพที่ดี ในทางตรงกันข้ามหากใครที่มีปัญหาการนอน ไม่ว่าจะเป็นปัญหานอนไม่หลับหรือปัญหาง่วงนอนมากเกินไป ก็จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพและการใช้ชีวิตประจำวันได้
       
       ปัญหาการนอนไม่หลับ มีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่าภาวะอินซอมเนีย (Insomnia) ซึ่งเป็นปัญหาการนอนที่พบมากที่สุดในกลุ่มประชากรวัยผู้ใหญ่โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัยผู้สูงอายุ ทั้งนี้เพราะการนอนหลับไม่ใช่การที่สมอง “หยุดทำงานชั่วคราว” อย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ แต่เป็นการทำงานของสมองในอีกลักษณะหนึ่งโดยอาศัยกลุ่มเซลล์ประสาทบางกลุ่มที่จะทำหน้าที่แทน ทำให้เกิดความรู้สึกง่วง อยากจะนอนหลับ และจัดระดับความลึกของการนอน รวมถึงทำให้เกิดการฝันอีกด้วย กลไกการนอนหลับจึงถูกควบคุมโดยตรงจากสมอง ดังนั้น หากมีโรคหรือภาวะใดๆ ที่มีผลต่อสมองก็ย่อมส่งผลถึงการนอนด้วย คำว่า “นอนไม่หลับ” จึงเป็นได้ทั้ง “อาการ” และ “โรค”
       
       ถ้าอาการนอนไม่หลับอาจเกิดขึ้นในคนปกติที่บังเอิญมีตัวกระตุ้นให้นอนไม่หลับ เช่น มีความกังวลที่จะต้องไปสอบสัมภาษณ์ในที่ทำงานใหม่ หรือมีความเครียดเพราะไม่มีเงินไปใช้หนี้ เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถเกิดภาวะนี้ได้ในผู้ป่วยโรคซึมเศร้า (Major depressive disorder) หรืออาจภาวะแทรกซ้อนของผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น อาการนอนไม่หลับในผู้ป่วยโรคมะเร็ง จะเห็นได้ว่า ภาวะนอนไม่หลับนั้นพบได้บ่อยมาก เพราะสามารถเกิดได้ทั้งในคนปกติและคนป่วย โชคดีที่ส่วนใหญ่อาการนอนไม่หลับมักเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว (Transient insomnia) โดยมีสาเหตุกระตุ้นที่แน่ชัดและสมเหตุสมผล และเมื่อกำจัดสิ่งกระตุ้นดังกล่าวก็สามารถนอนหลับได้ตามปกติ คนส่วนใหญ่จึงไม่จำเป็นต้องมาพบแพทย์ แต่หากอาการนอนไม่หลับเกิดขึ้นบ่อยครั้งหรือเกิดต่อเนื่องเป็นเวลานานเรื้อรัง โดยเฉพาะถ้าเกิดในผู้ที่มีโรคประจำตัวอื่นๆ ก็จำเป็นต้องได้รับการตรวจรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญต่อไป
       
       สำหรับแนวทางการรักษาภาวะนอนไม่หลับ ประกอบด้วย การรักษาโดยไม่ใช้ยา และการรักษาโดยใช้ยา
       
       การรักษาโดยไม่ใช้ยา (Non-pharmacologic treatment) เป็นการรักษาหลักสำหรับภาวะนอนไม่หลับ ประกอบไปด้วย
       
       1.การปรับให้มีสุขอนามัยการนอนที่ดี (Good sleep hygiene) เป็นการรักษาที่สำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นพื้นฐานของการรักษาภาวะนอนไม่หลับในผู้ป่วยทุกราย การมีสุขอนามัยการนอนที่ดี ทำได้โดยการปรับสภาพแวดล้อมในห้องนอนให้เหมาะสมต่อการนอนหลับ และนำหลักของการเหนี่ยวนำให้เกิดอาการง่วงนอนตามธรรมชาติมาใช้ เช่น การออกกำลังกายอย่างพอเหมาะในช่วงเย็นเพื่อให้เหนื่อยเพลีย ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงผลักดันของระบบ Homeostasis ให้มากขึ้น หรือการเข้านอนให้เป็นเวลาและปิดไฟในห้องนอนให้มืดสนิท เพื่อช่วยให้ระบบ Circadian rhythm ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยไม่ถูกรบกวนจากปัจจัยภายนอก เป็นต้น
       
       2.การฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย (Progressive relaxation training) ซึ่งช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อเพื่อทำให้นอนหลับได้ดียิ่งขึ้น
       
       3.การรักษาด้วยความคิดและพฤติกรรมบำบัด (Cognitive-Behavioral therapy) โดยเน้นที่การปรับความคิดเพื่อนำไปสู่การปรับพฤติกรรมและอารมณ์ การรักษาวิธีนี้ได้ประโยชน์มากสำหรับผู้ที่ปัญหานอนไม่หลับที่เกิดร่วมกับโรคทางอารมณ์และกลุ่มโรควิตกกังวล
       
       4.การควบคุมปัจจัยกระตุ้น (Stimulus control)
       
       5.การจำกัดชั่วโมงในการนอน (Sleep restriction)
       
       สำหรับรายที่มีอาการนอนไม่หลับรุนแรงหรือมีโรคประจำตัวอื่นๆ ร่วมด้วย แพทย์จะให้การรักษาด้วยการปรับสุขอนามัยการนอนและการรักษาโดยการไม่ใช้ยาวิธีอื่นๆ ร่วมไปกับการรักษาด้วยยา ดังจะได้กล่าวต่อไป



       การรักษาด้วยการใช้ยา (Pharmacologic treatment) สำหรับการรักษาภาวะนอนไม่หลับด้วยยานั้นเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในสังคม ยาเหล่านี้มักถูกเรียกว่า “ยานอนหลับ” แต่แท้จริงแล้วยานอนหลับไม่ได้หมายถึงยาชนิดใดชนิดหนึ่ง แต่เป็นชื่อที่ใช้เรียกกลุ่มของยาหลากหลายชนิดที่มีผลโดยตรงหรือมีผลข้างเคียงทำให้เกิดอาการง่วงและทำให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ยานอนหลับจึงมีหลายชนิด มีกลไกการออกฤทธิ์และผลข้างเคียงที่แตกต่างกันไป ยากลุ่มแรกที่นิยมใช้เพื่อทำให้เกิดอาการง่วง ได้แก่ ยาลดน้ำมูกในกลุ่มยาแอนตีฮิสตามีน (Antihistamine) เนื่องจากยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงคือทำให้เกิดอาการง่วง แต่ผลดังกล่าวมักจะไม่มากและความรู้สึกง่วงนอนของแต่ละคนก็แตกต่างกันอีกด้วย
       
       สำหรับยานอนหลับที่ออกฤทธิ์โดยตรงต่อสมอง คือ กลุ่มยาเบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepines) โดยออกฤทธิ์เพิ่มการทำงานของสารสื่อประสาทชนิดยับยั้ง ที่เรียกว่า ‘กาบา (GABA)’ ในสมอง เมื่อมีสารนี้เพิ่มขึ้นจะทำให้เกิดอาการนอนหลับโดยตรง นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์ช่วยคลายกังวล หยุดอาการชัก และคลายกล้ามเนื้อได้อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงมาก เพราะยาส่วนใหญ่ออกฤทธิ์ยาวนานกว่าการนอนหลับปกติของคนเรา ทำให้ผู้ที่รับประทานยารู้สึกง่วงนอน สะลึมสะลือในตอนเช้า ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ นอกจากนี้ ถ้าใช้ยากลุ่มนี้ติดต่อกันเป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการติดยา และทำให้สมองดื้อยา ลดการตอบสนองต่อยา ทำให้ปริมาณยาที่ใช้ในขนาดเดิมไม่ได้ผล ต้องใช้ขนาดยาสูงขึ้น เพื่อให้ได้ผลการตอบสนองเท่าเดิม เป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงจากยาได้มากยิ่งขึ้น และมีโอกาสที่จะติดยาได้มากขึ้นด้วย นอกจากนี้ ถ้าหยุดยากลุ่มเบนโซไดอะซีปีนอย่างทันทีทันใดหลังจากการรับประทานต่อเนื่องมาเป็นระยะเวลานาน จะมีความเสี่ยงต่อการเกิด ‘อาการขาดยา’ เช่น นอนไม่หลับ มือสั่น ใจสั่น ซึมเศร้า และอาจทำให้เกิดอาการชักได้
       
       สำหรับยานอนหลับกลุ่มอื่นมักจะเป็นกลุ่มยาที่ใช้สำหรับรักษาโรคทางระบบประสาทหรือโรคทางจิตเวชเป็นหลัก เช่น กลุ่มยารักษาโรคซึมเศร้า (Antidepressants) ยาเหล่านี้มักมีผลข้างเคียงมาก จึงใช้เฉพาะผู้ที่นอนไม่หลับจากโรคทางระบบประสาท หรือโรคทางจิตเวชเท่านั้น
       
       ปัจจุบันมีการนำเมลาโทนิน (Melatonin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนตามธรรมชาติที่ช่วยส่งเสริมการนอนหลับมาใช้ในการรักษา พบว่า ได้ผลดีในภาวะนอนไม่หลับที่เกิดจากการเดินทางข้ามเส้นแบ่งเขตเวลาหรือที่รู้จักกันในชื่อว่า Jet lag หรือในรายที่ต้องทำงานเป็นกะ แต่ประสิทธิภาพในการรักษาภาวะนอนไม่หลับโดยตรงยังไม่ชัดเจนและยังขาดข้อมูลการศึกษาผลของการใช้ยานี้ในระยะยาว
       
       ดังนั้น การรักษาด้วยการใช้ยานอนหลับจึงควรเลือกใช้เฉพาะรายที่จำเป็นเท่านั้น และควรเริ่มใช้ขนาดยาที่ต่ำที่สุด ใช้ยาให้น้อยครั้งที่สุด และไม่ควรใช้ยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ทั้งนี้เพื่อลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดผลอันไม่พึงประสงค์จากยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือการเกิดมะเร็งจากการใช้ยานอนหลับ ไม่ว่าจะใช้ปริมาณยานอนหลับมากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม ก็ทำให้เกิดความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 9 ดังนั้น การใช้ยานอนหลับจึงควรอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์ผู้มีประสบการณ์เท่านั้น
       
       โดยสรุป ภาวะนอนไม่หลับเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยทั้งในคนปกติและคนที่มีโรคประจำตัว นอกจากนี้ อาการนอนไม่หลับอาจบ่งถึงอาการของโรคสมองและระบบประสาทได้ ความเข้าใจกลไกการนอนของมนุษย์ จึงมีผลต่อการรักษาภาวะนอนไม่หลับ การวินิจฉัยและหาสาเหตุการนอนไม่หลับนั้น แพทย์จำเป็นต้องได้รับข้อมูลประวัติการนอนหลับที่ละเอียดรวมถึงประวัติการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้อง การตรวจการนอนหลับด้วยเครื่อง Polysomnography อาจจำเป็นสำหรับผู้ป่วยบางรายที่ยังหาสาเหตุการนอนหลับไม่ได้ชัดเจน หรือผู้ที่อาการยังไม่ดีขึ้นทั้งที่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม การรักษาหลักที่ใช้รักษาภาวะนอนไม่หลับคือการปรับสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการนอน การรักษาด้วยยานอนหลับจะใช้เฉพาะผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับเรื้อรังหรือมีปัญหาโรคประจำตัวอื่นร่วมด้วยเท่านั้น