เมื่อ 35 ปีที่แล้ว คณะนักวิจัยจาก มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ได้สกัดสารจากเปลือกมังคุดที่มีอยู่ในปริมาณมากจนเป็นมลภาวะต่อสภาวะแวดล้อมและพิสูจน์ว่า สารหนึ่งที่สกัดได้คือ GM-1 ที่มีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ดื้อต่อยาปฎิชีวนะราคาแพง ลดอาการอักเสบได้เป็น 3 เท่าของแอสไพริน, ต้านอนุมูลอิสระได้ดีกว่าไวตามินอี และ สามารถกำจัดเซลล์มะเร็งในหลอดทดลองได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้ผลิตครีมทาแผลที่สามารถรักษาแผลที่ติดเชื้อแบคทีเรีย Streptococci, Staphylococcus aureus ทั้งที่ดื้อต่อ Penicillin และ Methicillin ให้หายได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง ทำให้เกิดความสนใจเกี่ยวกับคุณค่าของมังคุดตั้งแต่นั้นมา
ในช่วงที่ราคามังคุดตกต่ำ จนก่อให้เกิดปัญหาแก่เกษตรกรชาวสวนมังคุด ในปี 2552 คณะนักวิจัยของศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทยจึงได้นำเนื้อมังคุดที่มีราคาตกต่ำในช่วงการผลิตสูงสุด ไปผลิตเป็นน้ำมังคุดซึ่งพบว่าสามารถช่วยดูแลสุขภาพของผู้ที่มีปัญหาความไม่สมดุลของภูมิคุ้มกันทุกประเภท โดยได้ควบคุมสารสำคัญ GM-1 ในการผลิตน้ำมังคุดให้อยู่ในปริมาณที่เหมาะสม และด้วยคุณสมบัติดังกล่าวส่งผลให้มังคุดได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์อย่างกว้างขวางมากขึ้น
ล่าสุด มังคุด ได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับวงการแพทย์ทั่วโลกอีกครั้ง เมื่อศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย จาก บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำโครงการร่วมวิจัยกับ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อให้ ศ.ดร.วัชระ กสิณฤกษ์ จากศูนย์วิจัยเทคโนโลยีชีวการแพทย์ ศึกษาผลของสูตรสารธรรมชาติที่มี GM-1 ผสมอยู่ในการปรับระดับภูมิคุ้มกัน แล้วพบว่า สูตรสารธรรมชาติเหล่านี้ สามารถปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุลได้ ( Balancing Immunity - BIM ) ในลักษณะแตกต่างกัน ส่งผลให้สามารถใช้ดูแลสุขภาพของผู้ที่มีปัญหาหลากหลายจากสภาวะภูมิคุ้มกันที่ไม่สมดุลของร่างกาย หนึ่งในสูตรสารธรรมชาติ BIM นี้ เมื่อให้อาสาสมัครบริโภควันละ 2 กรัม ต่อเนื่องกัน 15 วัน สามารถสร้างเม็ดเลือดขาว Th1 เพิ่มขึ้น 2 เท่า และ Th17 เพิ่มขึ้น 5 เท่า
นักภูมิคุ้มกันวิทยาเข้าใจกันมากว่า 20 ปีว่า เม็ดเลือดขาว Th1 ทำให้ระบบภูมิต้านทานของร่างกาย สามารถจัดการกับสิ่งแปลกปลอม เช่น เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส และ เซลล์มะเร็ง ได้ดีขึ้น ส่วนเม็ดเลือดขาว Th17 นักภูมิคุ้มกันวิทยา เพิ่งจะค้นพบในปี 2007 และ ยืนยันว่าเป็นเม็ดเลือดขาวที่สามารถป้องกันเซลล์มะเร็งและจัดการกับอาการมะเร็งได้ การค้นพบสูตรสารธรรมชาติ BIM ที่สามารถเพิ่มเม็ดเลือดขาวทั้งสองชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Th17 ในร่างกายได้ นับเป็นความสำเร็จที่มีคุณค่าสูงมาก
ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ในฐานะหัวหน้าคณะนักวิจัย ศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย ได้กล่าวถึงความสำเร็จของการค้นพบสูตรสารธรรมชาติ BIM นี้ และ ประสิทธิภาพในการเพิ่ม Th17 ในร่างกายว่า
การคิดค้นครั้งนี้ เกิดขึ้นด้วยฝีมือ และ มันสมองของนักวิทยาศาสตร์ไทย โดยเริ่มจากการค้นพบ GM-1 จากมังคุด ราชินีผลไม้ของไทย แล้วนำไปผสมกับสารธรรมชาติ BIM ที่สกัดได้จาก ฝรั่ง งาดำ ถั่วเหลือง และ ใบบัวบก โดยอาศัยปัญญาญาณที่ได้จากภูมิความรู้ และ ประสบการณ์จากการปฎิบัติงานในห้องทดลองมากว่า 30 ปี แล้วทำให้สูตรสารธรรมชาติ BIM ที่ได้มีประสิทธิภาพในการปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุลได้เพิ่มขี้นหลายเท่าโดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ จึงน่าที่จะใช้เพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งได้
บริษัท เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด (มหาชน) จึงได้สนับสนุนให้มีการนำสูตรสารธรรมชาติ BIM ที่ได้ไปทดสอบกับผู้ป่วยมะเร็ง โดยทำการทดสอบกับผู้ป่วยมะเร็งปอดระยะสุดท้ายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยเคมีบำบัดมาตรฐาน แล้วที่ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยการควบคุมของ ศ.พญ.สุมิตรา ทองประเสริฐ พร้อมๆ กับการทดสอบกับผู้ป่วยมะเร็งในส่วนอื่นๆ ที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยวิธีมาตรฐานแล้วในประเทศอเมริกา และ อิตาลี ผลปรากฎว่า สูตรสารธรรมชาติ BIM นี้สามารถเพิ่มคุณภาพชีวิต และ ช่วยยืดระยะเวลาให้กับผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาโดยเคมีบำบัดมาตรฐานได้อย่างน่าอัศจรรย์
ในขณะที่ ความเพียรพยายามของนักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วโลกในการเพาะ Th17 ในปริมาณเพียงพอเพื่อนำไปใช้ในการรักษามะเร็ง ยังไม่ประสบความสำเร็จที่แน่นอนและปลอดภัย คณะนักวิทยาศาสตร์ไทยได้ประสบความสำเร็จในการสร้าง Th17 ขึ้นในร่างกายโดยใช้สารสกัดจากผลไม้และธัญพืชไทยได้อย่างปลอดภัยแล้ว ด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมากเท่ากับที่ต้องใช้จ่ายให้กับการใช้ยาจากต่างประเทศในปัจจุบัน หรือ จาก Th17 ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต และได้พิสูจน์แล้วโดยแพทย์ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
ความสำเร็จของคณะนักวิจัย BIM ครั้งนี้ นอกจากจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรไทยและสากลแล้วยังจะนำมาซึ่งคุณค่าทางเศรษฐกิจ และ สังคมของไทยโดยการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่มีในประเทศไทยอีกด้วย
หากสนใจในงานวิจัยมังคุดสูตรสารธรรมชาติ BIM สามารถติดต่อขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์วิจัยและพัฒนามังคุดไทย โทร.02 646 4800
