ผู้เขียน หัวข้อ: "บิ๊กอายส์" ทำพิษ! สาว 18 ซื้อใส่เองจนติดเชื้อเกือบตาบอด  (อ่าน 1096 ครั้ง)

ABBA

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 2105
    • ดูรายละเอียด

อุทาหรณ์สาววัย 18 ปี ซื้อ “บิ๊กอายส์” ใส่เอง 1 วัน แต่เกิดอาการเคืองตาและไปขยี้ตา จนกระจกตาดำเป็นแผล ทำให้ติดเชื้อแบคทีเรีย “ซูโดโมแนส ออรูจิโนซ่า” กัดกินจนกระจกตาดำเกือบทะลุ หวิดตาบอด โชคดีพบแพทย์ทัน จักษุแพทย์เตือนภัยสาวอยากสวย ใส่ “คอนแทคเลนส์ - บิ๊กอายส์” ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
วันนี้ (8 ก.ค.) นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ จักษุแพทย์ รพ.พระนั่งเกล้า กล่าวว่า ปัจจุบันพบว่าวัยรุ่นหญิงยังนิยมใส่คอนแทคเลนส์ตาโต (บิ๊กอายส์) ซึ่งเป็นเลนส์ที่ไม่ใช่เลนส์สายตา แต่เป็นเลนส์เพื่อความสวยงาม เปลี่ยนสีตา ขยายขนาดของตาดำ เพราะต้องการเลียนแบบดารา นักร้อง นางแบบ อยากสวยอยากงาม ทั้งๆที่การใช้บิ๊กอายส์ หรือแม้กระทั่งคอนแทคเลนส์ที่เป็นเลนส์สายตา ย่อมเสี่ยงอันตรายทั้งสิ้น เพราะคอนแทคเลนส์เป็นสิ่งแปลกปลอม ซึ่งต้องสัมผัสกับกระจกตาโดยตรงเป็นระยะเวลานาน หากคอนแทคเลนส์สกปรก จะทำให้เกิดการติดเชื้อที่กระจกตาและอาจลุกลามถึงขั้นตาบอดได้ภายใน 2 วัน ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ป่วยจากการใส่คอนแทคเลนส์และบิ๊กอายส์ มารักษาที่โรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง
       
       นพ.ฐาปนวงศ์ กล่าวต่อไปว่า เคสผู้ป่วยรายล่าสุดที่พบเป็นหญิงอายุ 18 ปี ไปซื้อบิ๊กอายส์จากห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านบางลำภู โดยนำมาใส่เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 5 ก.ค. แต่เมื่อใส่ไปแล้วพบว่า ตาขวามีอาการแสบ ระคายเคือง และน้ำตาไหลต่อเนื่อง จึงได้ขยี้ตาและถอดบิ๊กอายส์ออก ต่อมาช่วงเย็นได้มีอาการตาบวม จึงเข้ามาพบแพทย์ที่รพ.พระนั่งเกล้า ซึ่งจากการตรวจทำให้ทราบว่า ผู้ป่วยเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณกระจกตาดำข้างขวา โดยเชื้อแบคทีเรียได้กัดกินบริเวณกระจกตาดำมีแนวยาว 5 มิลลิเมตร และลึกลงไปประมาณ 1 มิลลิเมตรจนเกือบทะลุกระจกตาดำ ซึ่งโชคดีมากที่มารักษาทัน เพราะหากมาช้า 1 วันตาบอดแน่นอน ส่วนเชื้อแบคทีเรียที่พบนั้นมีชื่อว่า "ซูโดโมแนส ออรูจิโนซ่า (Pseudomonas aeruginosa)" ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่พบได้ตามสภาพแวดล้อมทั่วไป หากมีบาดแผลแล้วเกิดติดเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวจะมีอันตรายมาก อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ป่วยรายนี้โชคดีที่มาพบแพทย์ได้ทันทำให้ตาไม่บอด แต่เมื่อทำการรักษาจนหายแล้วจะเกิดแผลเป็นที่ตาดำ ส่งผลให้เวลามองแล้วจะไม่ชัดเหมือนคนปกติ
       
       นพ.ฐาปนวงศ์ กล่าวอีกว่า คอนแทคเลนส์ตามมาตรฐานทางการแพทย์ จะมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 13.5 - 14.5 มิลลิเมตร ส่วนบิ๊กอายส์จะมีขนาดตั้งแต่ 15 - 19 มิลลิเมตร ซึ่งใส่แล้วจะทำให้ดวงตาเกิดอาการคับ แน่น และและไม่สบายตา จนต้องขยี้ตาบ่อยๆ ส่งผลให้เกิดแผลถลอกที่กระจกตาดำ และเชื้อโรคอาจเข้าไปทำให้เกิดการอักเสบเป็นแผลที่กระจกตาดำทำให้เกิดตาบอดได้ ส่วนการใส่บิ๊กอายส์เป็นเวลานานจะทำให้เกิดอาการเยื่อบุตาขาวอักเสบ เนื่องจากอาการแพ้เรื้อรัง ซึ่งจะทำให้เยื่อบุตาขาวแห้งและกระจกตาอักเสบ กลายเป็นโรคตาแห้ง (เยื่อบุตาขาวแห้งถาวร) โดยจะมีอาการตาผ่าวร้อน แพ้แสง ทำให้เกิดความรำคาญแก่ดวงตาไปตลอดชีวิต ขอเตือนว่าการใช้คอนแทคเลนส์ไม่ว่าชนิดใดก็ตาม ควรศึกษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ รวมทั้งต้องดูแลรักษาอย่างเคร่งครัด ต้องเก็บรักษาในน้ำยาแช่คอนแทคเลนส์โดยเฉพาะ และปิดฝาให้สนิท เปลี่ยนน้ำยาแช่เลนส์ทุกครั้งที่ใช้ ไม่ใช้น้ำยาแช่เลนส์ซ้ำๆ ห้ามล้างคอนแทคเลนส์ด้วยน้ำประปา เนื่องจากสารคลอรีนอาจทำให้เลนส์เสื่อมสภาพ และต้องล้างมือให้สะอาดก่อนสัมผัสคอนแทคเลนส์ทุกครั้ง
       
       ด้าน นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ได้รับแจ้งมาจากนพ.ฐาปนวงศ์ จึงส่งเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบจุดที่ผู้ป่วยระบุว่าไปซื้อบิ๊กอายส์มา พบว่าเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งเมื่อสอบถามกลับไปยังผู้ป่วยพบว่าไปซื้อบิ๊กอายส์มาตั้งแต่ยังไม่มีการเปลี่ยนเป็นห้างสรรพสินค้าในปัจจุบัน และซื้อเก็บไว้นานแล้วจึงนำมาใส่ และสงสัยว่าผู้ป่วยทนใส่บิ๊กอายส์ไปได้อย่างไร เพราะการใส่บิ๊กอายส์ หรือคอนแทคเลนส์ หากเกิดการระคายเคืองดวงตาให้รีบพบแพทย์ทันที และโดยปกติแล้วการใส่บิ๊กอายส์ หรือคอนแทคเลนส์ จะต้องมีการปรึกษาแพทย์ก่อน ขณะเดียวกันในปัจจุบันมีบิ๊กอายส์ที่ได้รับอนุญาตจากทางอย. เพียง 2-3 ยี่ห้อเท่านั้น ซึ่งประชาชนสามารถโทรมาสอบถามได้ที่เบอร์สายด่วน อย.โทร.1556