ผู้เขียน หัวข้อ: จดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังผ่านอธิบดีกรมบัญชีกลาง  (อ่าน 3000 ครั้ง)

ผู้สื่อข่าว

  • Global Moderator
  • Newbie
  • *****
  • กระทู้: 12
    • ดูรายละเอียด
จดหมายเปิดผนึกถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังผ่านอธิบดีกรมบัญชีกลาง

31 มค. 2553


เรื่อง สวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการและครอบครัว

เรียน รมช.กระทรวงการคลังผ่าน อธิบดีกรมบัญชีกลาง

สิ่งที่ส่งมาด้วย  1.ขู่ตัดงบรักษาพยาบาล

วันเสาร์ ที่ 23 มกราคม 2553 เวลา 7:58 น

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=562&contentID=44429

2.จดหมายเปิดผนึกถึงนายสมภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง

3.จดหมายเปิดผนึกถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

4.บทความเรื่อง ถึงเวลาต้องปฏิรูประบบบริการด้านสุขภาพ

5.กระทรวงสาธารณสุขควรพัฒนาอย่างไรรับปีใหม่ 2553

เรียน รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังผ่านอธิบดีกรมบัญชีกลาง

     จากสิ่งที่ส่งมาด้วยหมายเลข 1 นั้น นพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รมช.คลังบอกว่าจะตัดงบประมาณค่ารักษาพยาบาลของสวัสดิการข้าราชการลงประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาทเนื่องจาก อธิบดีกรมบัญชีกลางพบว่าค่าใช้จ่ายด้านสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการและครอบครัวสูงมาก รวมทั้งมีการทุจริต เบิกยาไปขายและได้ลงโทษปรับมากมายนับเป็นเงินหลายล้านบาทตามรายละเอียดในสิ่งที่ส่งมาด้วย 1.นั้น

  ดิฉันเป็นข้าราชการบำนาญ ที่ใช้สิทธิในการรักษาจากสวัสดิการข้าราชการ ซึ่งบัดนี้พบว่ากรมบัญชีกลางได้ยกเลิกยาหลายรายการไม่ให้ข้าราชการเบิกได้ ในขณะที่ผู้ใช้สิทธิประกันสังคมก็ถูกจำกัดสิทธิในการรักษาและการได้รับยาบางอย่างเช่นเดียวกัน

  แต่ประชาชน 47 ล้านคนที่ได้รับการบริการทางการแพทย์ในระบบหลักประกันสุขภาพ (บัตรทอง/ 30 บาท) ไม่ต้องจ่ายเงินของตนเองแต่อย่างใดทั้งสิ้น กลับได้รับการบริการทางการแพทย์อย่างเต็มที่แบบไม่มีขอบเขตจำกัด ( no limitation of medical treatment  and medicine)ทั้งยา เวชภัณฑ์  กระบวนการรักษาทุกชนิดรวมทั้ง อุปกรณ์การแพทย์

  ส่วนสาเหตุที่ค่ารักษาพยาบาลในระบบสวัสดิการข้าราชการเพิ่มขึ้นมากนั้น เกิดจากงบประมาณในระบบหลักประกันสุขภาพที่รัฐบาลจัดสรรให้แก่โรงพยาบาลนั้น เป็นงบขาดดุล คือไม่สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการบริการทางการแพทย์แก่ประชาชนบัตรทองได้ โรงพยาบาลของกระทรวงสาธารณสุข จึงต้องหาเงินมาชดเชยงบประมาณที่ขาดดุลในโครงการ 30 บาทนี้ โดยการ “เพิ่มอัตราค่าบริการทางการแพทย์ ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์” มากกว่าเดิมตั้งแต่ 30-100 เปอร์เซ็นต์(บางอย่างก็มากกว่า 100%)  เพื่อที่โรงพยาบาลจะสามารถเก็บเงินค่าบริการต่างๆเหล่านี้ จากประชาชนในกลุ่มผู้ประกันตน ผู้จ่ายเงินเองและผู้ใช้สิทธิสวัสดิการข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจหรือผู้มีประกันสุขภาพเอกชน

 ฉะนั้น โรงพยาบาลของราชการจึงทำตัวเหมือนโรบินฮู้ด คือถ่ายเทเงินจากกระเป๋าหนึ่ง(กรมบัญชีกลางหรือประกันสังคม) มาช่วย “เติมเต็ม” อีกกระเป๋าหนึ่ง คืองบเหมาจ่ายรายหัวในระบบ 30 บาท

  ทั้งนี้งบประมาณเหมาจ่ายรายหัวในระบบ 30บาท ในปีพ.ศ. 2552นั้น จ่าย 2,202 บาทต่อคนต่อปี โดยงบประมาณเหมาจ่ายรายหัวนี้ยังมีส่วนเงินเดือนของบุคลากรทางการแพทย์ด้วย และงบประมาณนี้ตกถึงโรงพยาบาลราชการแค่ 700 กว่าบาทต่อคนต่อปี(1) (เนื่องจากถูกหักออกเป็นเงินเดือนและอื่นๆจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ---สปสช)  ใน ขณะที่กลุ่มประชาชนในระบบ 30 บาทก็มีทั้งเด็กและคนชรา ซึ่งมีการเจ็บป่วยมากกว่ากลุ่มผู้ประกันตน ซึ่งอยู่ในวัยหนุ่มสาว ทำให้ในระบบ 30 บาท มีผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก จึงเป็นเหตุให้งบประมาณค่ารักษารายหัวในระบบ 30 บาทไม่สมดุลกับต้นทุนจริงที่โรงพยาบาลต้องใช้ในการรักษาพยาบาลประชาชนในระบบ 30 บาท

      แต่ในส่วนงบประมาณเหมาจ่ารายหัวของผู้ประกันตนก็จ่ายให้โรงพยาบาลเต็มจำนวน 1,900 บาทต่อคนต่อปี  และ ประชาชนที่ใช้สิทธิประกันสังคมนี้ก็เป็นผู้อยู่ในวัยหนุ่มสาว จึงไม่ป่วยบ่อย และขอบเขตการบริการทางการแพทย์ของผู้ประกันตนก็มีจำกัดกว่าในระบบบัตรทอง จึงทำให้เงินเหมาจ่ายรายหัวของผู้ประกันตนสามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการ บริการทางการแพทย์ และมีกำไรอีกด้วย จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า โรงพยาบาลเอกชนจะเข้าร่วมโครงการประกันสังคม มากกว่าโครงการบัตรทอง (ทั้งๆที่สปสช.ก็จะจ่ายเงินค่าหัวในระบบบัตรทองให้โรงพยาบาลเอกชนเต็มจำนวน ไม่หักเงินเดือนออกเหมือนโรงพยาบาลของราชการ) ถึงกระนั้นโรงพยาบาลเอกชนหลายๆแห่ง ก็ไม่อยากจะรับรักษาประชาชนบัตรทอง แสดงว่าอะไร ท่านก็คงจะบอกได้ว่า ก็เนื่องจากสปสช.จ่ายค่ารักษาพยาบาลไม่คุ้มกับต้นทุนที่โรงพยาบาลต้องจ่ายใน การรักษาผู้ป่วยนั่นเอง

 ฉะนั้นการที่ รมช,คลังคือนพ.พฤฒิชัย ดำรงรัตน์กล่าวว่าข้าราชการใช้งบประมาณในการรักษาแพงไป มีการคอรับชัน เบิกยาไปขายหลายล้าน ในขณะที่งบประมาณใช้ไป 60,000 ล้านบาทนั้น ถือว่าการคอรับชันไม่ถึง 0.00001 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งนับว่าต่ำมากๆ แต่ท่านรัฐมนตรีกลับจะมาลงโทษข้าราชการที่สุจริต ไม่ให้ใช้สิทธิในความเป็นข้าราชการที่เสียสละทำงานเงินเดือนน้อยเพื่อรับใช้ประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง

  ในฐานะที่กระทรวงการคลังต้องดูแลงบประมาณที่ได้มาจากภาษีประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ ดิฉันขอให้ท่านไปสอบถามกระทรวงสาธารณสุขและโรงพยาบาลในระบบ 30 บาทดูว่าปัญหาการเงินไม่พอใช้มันเกิดจากอะไร และเหตุใดค่ารักษาจึงแพงมากในระบบสวัสดิการข้าราชการ เพื่อจะได้รับทราบ “ความจริง” ในเรื่องงบประมาณค่ารักษาพยาบาลใน 3 ระบบดังกล่าวและแก้ปัญหาที่ “รากเหง้าของปัญหาอย่างแท้จริง” คืองบประมาณในระบบ 30 บาทไม่สมดุลกับต้นทุนรายจ่ายจริงดังรายละเอียดที่ได้นำเรียนมาแต่ต้น  นั่น คือเกิดความ”บิดเบี้ยว” ในการคิดค่ารักษาพยาบาลของโรงพยาบาลของราชการ ทำให้เห็นเป็นความผิดของข้าราชการว่าใช้เงินค่ารักษาพยาบาลมากเกินไป แต่ที่จริงนั้นเกิดจากสปสช.ให้เงินไม่คุ้มต้นทุนในการรักษาประชาชนบัตรทอง และโรงพยาบาลขึ้นราคาค่ารักษาโดยเก็บเอาจากสวัสดิการข้าราชการ

  อนึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนก่อนคือนายสมภพ สุสังกร์กาญจน์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีที่พยายามจะตัดงบประมาณสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลของข้า ราชการ ดิฉันได้เคยเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงท่านเหล่านั้น เพื่ออธิบายถึงสาเหตุความเป็นมาของค่ารักษาของข้าราชการว่าทำไมจึงสูงขึ้น ดังกล่าวแล้ว  ซึ่งดิฉันขอส่งจดหมาย 2 ฉบับดังกล่าวนั้น (สิ่งที่ส่งมาด้วยหมายเลข 2 และ3)มาให้ท่านพิจารณาพร้อมจดหมายนี้ด้วย

  นอก จากนั้นสาเหตุที่ยามีราคาแพงยังเนื่องจากวงการแพทย์สามารถผลิตยารักษาโรค ร้ายแรงอื่นๆ ทำให้อาการทุเลาลง แต่บางโรคก็ไม่หายขาด และยาเหล่านี้เป็นยาใหม่จึงมีราคาสูง สามารถรักษาชีวิตผู้ป่วยได้มากขึ้นกว่าเดิม ผู้ป่วยไม่ตาย จึงกลายเป็นโรคเรื้อรัง ทำให้ต้องการการรักษาอย่างยาวนาน โดยที่ผู้ป่วยก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีอายุยืนยาวขึ้น แต่ต้องได้รับยาอย่างต่อเนื่อง เช่น ยารักษาโรคมะเร็งต่างๆ รักษาโรคเอดส์ หัวใจ เบาหวาน อัมพฤกษ์ อัมพาต ฯลฯ จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์มีราคาสูงขึ้น

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ และดำเนินการแก้ปัญหาเรื่องงบประมาณค่ารักษาพยาบาลใน 3 ระบบให้เหมาะสม ตามข้อเสนอแนะในสิ่งที่ส่งมาด้วยหมายเลข 4 และ 5


ขอแสดงความนับถือ

พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา

ข้าราชการบำนาญ กระทรวงสาธารณสุข

เอกสารอ้างอิง 1.http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01lif01121052&sectionid=0132&day=2009-10-12
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01 กุมภาพันธ์ 2010, 01:48:20 โดย ผู้สื่อข่าว »