ถึงพี่น้องแพทย์ผู้ร่วมชะตากรรมทุกท่านโปรดทราบ
ท่านทราบหรือไม่ว่า ทำไมเราจึงต้องควรคัดค้านร่าง พรบ. คุ้มครองผู้เสียหายฯ ที่กำลังเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภาผู้แทนฯ ในขณะนี้ จึงขอชี้เฉพาะประเด็นที่ประทบต่อแพทย์ตามร่างพรบ.ของ ครม. ดังนี้
1. คณะกรรมการพิจารณาความเสียหายมีคุณสมบัติไร้ความสามารถในการตัดสิน
เพราะ มาตรา 7 ของร่าง ครม. ไม่มีตัวแทนวิชาชีพที่ชัดเจนและสัดส่วนต่ำจนน่าใจหาย (มีโอกาสเฉพาะปลัดกระทรวงสาธารณสุข และผู้แทนสถานพยาบาล 3 คนเท่านั้น) ซึ่งการตัดสินความเสียหายหรือไม่นั้น แม้ไม่ชี้ถูกผิดก็ต้องใช้ความรู้ทางการแพทย์ตัดสิน ในขณะที่การตัดสินอาศัยเสียข้างมากกว่า กึ่งหนึ่งจากกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีความรู้ทางการแพทย์ ดังนั้นพวกเราจะต้องถูกชี้ว่าเป็นผู้ทำให้เสียหายได้ง่าย ซึ่งต่อไปเราก็จะมีภาระกับคดีความ (ไม่ว่าทางแพ่งหรืออาญา) ตามมาอย่างแน่นอน เพราะความเสียหายจะเริ่มจากการตัดสินจากคณะกรรมการชุดนี้แทนที่จะเป็นแพทยสภา ดังนั้นเมื่อเราเคยมั่นใจในมาตรฐานการรักษาของตัวเองก็จะไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เพราะแม้ไปชี้แจงอย่างไรก็เหมือนสีซอให้.......ฟัง
2. ผู้รับบริการมีสิทธิฟ้องร้องความเสียหายตลอดชีพ
ตามมาตรา 25 เขียนไว้ว่า ผู้เสียหายอาจยื่นคำขอรับเงินค่าเสียหายตาม พรบ. ฉบับนี้ ต่อสำนักงานหรือหน่วยงานหรือองค์กรที่สำนักงานกำหนดภายใน 3 ปี นับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย
และรู้ตัวผู้ให้บริการสาธารณสุขซึ่งก่อให้เกิดความเสียหาย แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 10 ปี นับแต่วันที่รู้ถึงความเสียหาย ท่านอ่านดูแล้วโปรดคิดดูว่า นับเอาแต่ใจของผู้รับบริการว่าจะรับรู้เมื่อไหร่ ล่องลอยไม่แน่นอนแบบนี้เท่ากับตลอดชีพของผู้รับบริการ และเวชระเบียนที่เป็นหลักฐานในการชี้แจงมิต้องเก็บไปตลอดชีพของผู้รับบริการหรือไม่ ดีไม่ดีต้องเก็บตลอดชีพของทายาทผู้เสียหายด้วย (เผื่อการฟ้องร้องภายหลัง)
ฝ่ายกฎหมายบางท่านอ้างว่าเลียนแบบมาจากกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค อยากถามว่าเขียนกฎหมาย ไม่คำนึงถึงสามัญสำนึกและความเป็นจริงในทางปฏิบัติ แบบนี้เอาสมองพัฒนาส่วนไหนมาเขียน นักกฎหมายบางท่านหาว่าเราตีความมากไป ถามหน่อยว่ากรณีอดีตนายกสมัคร สุนทรเวช ถูกถอดถอนไปเป็นพิธีกรรายการทีวี บางครั้งศาลยังเปิดพจนานุกรมตัดสินเลยก็มี แบบนี้มีช่องโหว่ของกฎหมายฉบับนี้ทำไมเหตุการณ์แบบเดียวกันจะไม่เกิดขึ้นกับพวกเราได้ ถามว่าเป็นธรรมหรือไม่
3. ไม่มีการประนีประนอมยอมความตามที่ผู้สนับสนุน พรบ.อ้าง
เพราะแม้มาตรา 33 ในร่าง ครม. เขียนว่ามีการทำสัญญาประนีประนอม แต่มาตรา 37 กลับเปิดโอกาสให้ฟ้องร้องใหม่ คือ ในกรณีที่มีความเสียหายปรากฏขึ้นภายหลังการทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามมาตรา 33 โดยผลของสารที่สะสมอยู่ในร่างกายของผู้เสียหายหรือเป็นกรณีที่ต้องใช้เวลาในการแสดงอาการ ให้ผู้เสียหายมีสิทธิยื่นคำขอรับเงินชดเชย.... อยากถามว่า แล้วจะทำสัญญาไปทำไมกัน แม้แต่นักกฎหมายบางคนยังบอกว่าการทำสัญญาไม่สามารถตัดสิทธิในการฟ้องแพ่งและอาญาได้ แล้วจะทำสัญญาทำเชือกอะไร พวกเรายังคิดว่ายังได้รับความเป็นธรรมอีกหรือ เพราะผู้เสียหายฉีกสัญญาเองได้
4. ผู้เสียหายฟ้องศาลแพ่งแล้วแพ้กลับมา สามารถกลับขอรับเงินชดเชยใหม่ได้
เพราะตามมาตรา 34 วรรคท้าย เขียนว่า หากศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุด ยกฟ้องโดยไม่ได้วินิจฉัยว่าผู้ให้บริการสาธารณสุข หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความเสียหายไม่ต้องรับผิด คณะกรรมการอาจพิจารณาจ่ายค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหรือไม่ก็ได้ ทั้งนี้ตามระเบียบที่คณะกรรมการกำหนด แสดงว่ายังเปิดช่องให้ ฟ้องแพ้แล้วกลับมาขอรับเงินชดเชยใหม่ได้ แบบนี้เรียกว่าฟ้องไว้ก่อน ขอทีหลังพรบ.สอนไว้ แล้วเป็นธรรมกับพวกเราอย่างไร
สรุปเพียง 4 ข้อก็เพียงพอแล้ว ที่พวกเราจะคัดค้าน ทั้งนี้ยังมีอีกหลายมาตราอีกเพียบที่เป็นปัญหาไม่ว่าช่องโหว่ของการโกงเงินในกองทุน การเรียกเก็บเงินสมทบมหาโหดและอื่น ๆ
อยากถามพี่น้องแพทย์ทุกท่านว่า
ท่านจะยอมรับชะตากรรมอย่างวัวและควายที่ทำประโยชน์แล้วยังต้องยอมถูกเชือดเอาเนื้อหนังไปทำประโยชน์ให้ผู้อื่นอีก หรือท่านจะต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมให้สมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
เชื่อมั่นในพลังของพี่น้องแพทย์ทุกคน
จากแพทย์ผู้ร่วมชะตากรรมคนหนึ่ง